ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ นี่มันเป็นบาปกรรมอันใดเล่า” หลัวกั๋วกงฮูหยินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง คิดว่าหลัวกั๋วกงยังหมดสติไม่ฟื้น ในใจนั้นลนลานยิ่งนัก นางขยุ้มผ้าเช็ดหน้าและออกแรงตบอกตนเอง
หลัวซืออวี่นั้นราวกับวิญญาณไม่อยู่กับร่างเช่นกัน
ภายในห้องข้างๆ นั้น เสียงร่ำไห้อย่างเจ็บปวดของฮั่วชิงเอ๋อร์ดังเข้ามาในหู ทำให้คนได้ยินแล้ว พูดไม่ออกบอกไม่ถูกถึงความทุกข์ทรมานนั้น
ขณะที่สองแม่ลูกไม่รู้จะทำอย่างไรดีนั้น พบว่าหลัวเถิงรีบรุดเข้ามาอย่างรีบร้อนจากด้านนอก
“เถิงเอ๋อร์” ดูเหมือนหลัวกั๋วกงฮูหยินราวกับเพิ่งจะพบหัวใจของตนเองเช่นนั้น รีบก้าวขึ้นไปทันที
หลัวซืออวี่จึงได้สติกลับคืนมาเช่นกัน รีบเงยหน้ามองข้ามไป
เห็นได้ชัดว่าหลัวเถิงรีบรุดเดินทางมา เสื้อคลุมทั้งตัวเปียกชุ่มไปหมด บนไหล่ยังมีหยดน้ำทั้งแผ่น ดูท่าทางแล้วมีความเหน็ดเหนื่อยอยู่หลายส่วน
“ไฉนเจ้าจึงเพิ่งมาเล่า? ข้าและน้องสาวของเจ้าร้อนใจจะแย่แล้ว” หลัวกั๋วกงฮูหยินกล่าว พูดแล้วน้ำตาไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่ หันกลับไปมองหลัวกั๋วกงที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง
หลัวเถิงเดินก้าวใหญ่ข้ามไป ยืนอยู่ข้างเตียงหลัวกั๋วกงจ้องมองเขา พูดด้วยความกังวลว่า “ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? มีหมอหลวงมาดูแล้วหรือยังขอรับ?”
“มาดูแล้ว” แม่นมจางรีบตอบแทนทันที พูดแล้วสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงบอกว่าด้านหลังศีรษะของหลัวกั๋วกงถูกของหนักทำร้ายเจ้าค่ะ มีรอยเลือดเล็กน้อย เวลานั้นยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอื่นรออยู่ จึงได้เขียนใบสั่งยาสำหรับลดอาการบวมเอาไว้ให้ แต่หลัวกั๋วกงได้ดื่มยาไปแล้ว กลับไม่ฟื้นคืนสติ ไม่รู้จะมีปัญหาหรือไม่เจ้าค่ะ”
สีหน้าหลัวเถิงเต็มไปด้วยความกังวลใจ ไม่ได้ตอบรับใดๆ
เวลานี้เองหลัวซืออวี่จึงเดินเข้ามา เรียกเขาเบาๆ “พี่รอง”
หลัวเถิงค่อยๆ สูดหายใจ นี่จึงจะเหมือนผู้ที่นางจำได้ หันกลับไปมองนาง
สองพี่น้องได้แต่มองตากัน
หลัวเถิงมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม
หลัวซืออวี่กลับมีสีหน้าเรียบเฉย หลบสายตาจับจ้องของเขา นางมองหลัวกั๋วกงที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยสายตาวิตกกังวลเช่นกัน
“ไม่รู้ว่าบิดาของเจ้าจะฟื้นคืนสติเมื่อใด” หลัวกั๋วกงฮูหยินเดินเข้ามา ถอนใจพูดว่า “แต่เหตุการณ์วันนี้อันตรายยิ่งนัก สามารถยื้อชีวิตคืนมาได้ก็นับว่าพวกเราโชคดีแล้ว เวลานี้ต้องสวดมนต์ภาวนาให้บิดาเจ้าไม่เป็นอันใด คิดไม่ถึงว่าหยางอวิ๋นชิงจะมีใจคิดคด ยังดีที่คังจวิ้นอ๋องมาทันเวลา หาไม่แล้วม่แน่ว่าบิดาของเจ้าจะต้องเสียท่าให้เขาแน่”
หลัวกั๋วกงฮูหยินพูดแล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ นางจับมือของหลัวเถิงเอาไว้อย่างตื่นเต้น “รอให้กลับจวนแล้วเราต้องเตรียมของขวัญอย่างดี รอให้บิดาของเจ้าฟื้นแล้ว พวกเจ้าพ่อลูกไปด้วยกัน ต้องไปขอบคุณคังจวิ้นอ๋องด้วยตนเองจึงจะถูกต้อง”
หลัวซืออวี่หลุบตาลงต่ำไม่ได้พูดอันใด
“อืม เรื่องนี้รอให้ท่านพ่อฟื้นแล้วค่อยว่ากันเถิด” หลัวเถิงรับคำไปก่อน จากนั้นเขาเงยหน้ามองไปข้างนอก แม้ว่าทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลาย ทว่าสายฝนข้างนอกกลับทำให้มองไม่เห็นสีของท้องฟ้าแม้แต่น้อย กล่าวว่า “เมื่อคืนมีผู้ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ในเมื่อท่านพ่อไม่มีอันตรายใดๆ ถึงชีวิต ข้าต้องไปจัดการเสียก่อน พวกเรายังคงกลับจวนก่อน จากนั้นค่อยเชิญท่านหมอมาดูเถิด”
“เช่นนี้ก็ดี“ หลัวกั๋วกงฮูหยินไตร่ตรองแล้ว จึงพยักหน้าเห็นด้วย
“เช่นนั้นท่านแม่ พวกท่านรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าไปครู่เดียวก็กลับมาขอรับ” หลัวเถิงกล่าว ไม่เสียเวลาแม้แต่อึดใจ หันกายแล้วเดินออกประตูไป
หลัวซืออวี่รีบเงยหน้าขึ้น กล่าวกับหลัวกั๋วกงฮูหยินว่า “ท่านแม่ ข้าไปด้านข้างดูคุณหนูฮั่วนะเจ้าคะ”
“ไปเถิด นางเป็นคนน่าสงสารเช่นกัน ข้าทิ้งทางนี้ไปไม่ได้ เจ้าไปปลอบใจนางสักสองประโยค” หลัวกั๋วกงฮูหยินกล่าวกำชับ
“อืม” หลัวซืออวี่รีบพยักหน้า รีบหันกายอย่างรีบร้อนอยู่บ้างแล้วเดินออกไป
นางตามออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าขณะเดียวกันหลัวเถิงก็อยู่ห่างออกไประยะหนึ่งไม่ใกล้นัก
“พี่รอง” หลัวซืออวี่เรียกขึ้น ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วรีบก้าวตามไป
หลัวเถิงหยุดเดิน หันมามอง
บังเอิญมีนางกำนัลสองนางประคองยาเดินผ่านมา หลัวซืออวี่จึงเอียงกายหลีกทางให้ รอจนกระทั่งทั้งสองเดินไปไกลแล้ว นางจึงกัดฟันดึงแขนเสื้อของหลัวเถิง ไม่เอ่ยวาจาใดๆ แต่ดึงเขาอ้อมข้ามไปอีกทางหนึ่ง เมื่อมาถึงทางเดินที่ไร้ซึ่งสายตาผู้คน
สีหน้าของนางปรากฏความกลัดกลุ้มผิดปกติออกมาอย่างชัดเจน ทว่านางไม่ได้ส่งสัญญาณหรือให้โอกาสแก่เขา นางเงยหน้ามองหลัวเถิงและกล่าวว่า “ข้าเป็นคนตีท่านพ่อจนหมดสติเองเจ้าค่ะ”
คำพูดประโยคเดียว แม้จะสั้นและง่าย ทว่าราวกับมันได้ใช้พลังในตัวนางไปทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากพูดไปแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของนางดูเหมือนจะพังทลายลงในชั่วพริบตา กลายเป็นคนที่จิตใจกระวนกระวาย เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ
หลัวเถิงได้ยินประโยคนี้แล้ว ใบหน้าคมสันของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ไม่มีความรู้สึกตกตะลึง แม้กระทั่งความรู้สึกบนสีหน้าก็ไม่ปรากฏออกมา
หลัวซืออวี่ปิดบังความลับนี้ไว้กับตัวเองมาตลอดทั้งคืน หากจะบอกว่าในใจไม่กลัดกลุ้มเลย นั่นคือการโกหก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก ต่อให้เป็นต่อหน้าหลัวกั๋วกงฮูหยินนางก็ไม่กล้าให้เห็นพิรุธ
มีเพียงรอการมาของหลัวเถิงเท่านั้น ความอดทนและความสงบนิ่งของนางตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาจึงมลายลงในเวลานี้
เมื่อเดินไปเดินมาสองรอบด้วยความกระวนกระวายใจและหวาดกลัว หลัวซืออวี่จึงค่อยๆ ใจเย็นลงมาได้ หลังจากนั้นจึงรู้สึกขึ้นในภายหลัง…
ปฏิกิริยาของหลัวเถิงนั้นผิดปกติอย่างยิ่ง
นางหยุดก้าวเดิน หัวใจของนางเริ่มเต้นระรัว ราวกับระแวดระวัง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายแท้ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมและสงบนิ่ง
“พี่ชาย…” หลัวซืออวี่จึงเรียกเขา นางกลับพบว่าเสียงของตนเองนั้นกำลังสั่น
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมาสนใจอีกแล้ว ต่อไปให้ทำเหมือนไม่รู้ก็พอแล้ว” หลัวเถิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคงและตรงไปตรงมา
สีหน้าของหลัวซืออวี่ขาวซีด ประกายตาในแววตามีความหวาดกลัวพาดผ่าน พูดเสียงสั่น “พี่รอง ท่าน…”
“ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ต่อไปเจ้าควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้ามารดา ห้ามแสดงพิรุธเป็นอันขาด” หลัวเถิงกล่าว พูดแล้วก็มองท้องฟ้าแล้วทอดถอนใจ จากนั้นไม่หันมามองหลัวซืออวี่อีก ย่างเท้าก้าวเดินฝ่าสายฝนออกไป
ฝ่ามือของเขาที่ตบลงมานั้นที่จริงนั้นเบาอย่างยิ่ง แต่เมื่อตกลงอยู่บนไหล่ของหลัวซืออวี่ กลับเหมือนมีน้ำหนักพันชั่ง ราวกับจะทำให้เท้าของเขาจมลงไปอีก
เมื่อตั้งตัวได้สักครู่ หลัวซืออวี่จึงได้สติคืนกลับมา หันกายทันใดรีบรุดเดินตามไป ร้องเรียกเสียงดัง “พี่รอง…”
ราวกับหลัวเถิงไม่ได้ยินเสียงเรียกของนาง ย่างก้าวของเขากลับยิ่งเดินยิ่งเร็ว เดินด้วยฝีเท้าที่เร็วที่สุดจนกระทั่งหายไปท่ามกลางสายฝน