อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปตามเสียงก็พลันแย้มยิ้มบาง เป็นคนคุ้นเคยกันนี่เอง
พระชายาเอกจิ่งหยางสกุลพานสวมอาภรณ์ของวังหลวงอย่างสง่างาม ติดตามพระสวามีอย่างจิ่งหยางอ๋องมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย นางเพิ่งจะเดินเข้ามายังตำหนักฉือหนิงได้เมื่อครู่
นางผละจากสาวใช้เดินไปยังอวิ๋นหว่านชิ่น ขมวดคิ้วกล่าวเสียงเบา “ช่างน่าสงสารนัก! มีความดีความชอบแท้ๆ แต่กลับโดนให้ไปรับโทษที่อาราม ทนทุกข์แยกจากสามี เรียกคุณธรรมอันใดกัน!” พระชายาเอกพานนี้เกิดที่ศาลาว่าการ ทั้งยังถูกบิดาพาไปค่ายทหารตั้งแต่เด็ก จึงดูแคลนวิธีรังแกกักขังผู้หญิงอันน่าเบื่อเช่นนี้นัก ซ้ำยังมีความสัมพันธ์อันดีกับอวิ๋นหว่านชิ่นมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้ย่อมไม่พอใจและเจ็บใจแทนอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นธรรมดา
เสียงบุรุษก้องกังวานมาจากด้านหลัง ฟังดูแล้วจะเบิกบาน อีกทั้งเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูและอ่อนโยนยามพูดคุยกับชายา แต่ไม่ใช่เพราะคำที่ชายาตนกล่าวมานั้นผิดแปลกแหวกธรรมเนียมจึงได้ขัดขึ้น แย้มยิ้มกล่าวว่า “ผิงเหนียง ท่านนี้คือพระชายาฉินอ๋อง สหายเก่าก่อนของเจ้าใช่หรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปมอง เห็นจิ่งหยางอ๋องที่เคยมีโอกาสพบหน้ากันที่ชานเมืองและตำหนักซานชิง ตอนนั้นกำลังอกสั่นขวัญแขวน จึงไม่ได้มองอย่างละเอียด เห็นเพียงบุรุษท่าทางองอาจห้าวหาญสง่าผ่าเผยคนหนึ่ง แค่มองจากฐานะและประสบการณ์ก็รู้ได้ว่าคืออู่จวิ้นอ๋อง[1]ผู้มีฝีรบอันล้ำเลิศ พระชายาเอกพานนั้นมีนามว่าซู่ผิง ยามนี้จิ่งหยางอ๋องเรียกนามของภรรยาท่ามกลางธารกำนัลมากมาย ปราศจากความห้าวหาญยามอยู่ในสนามรบแม้แต่น้อย มีแต่ท่าทางอ่อนโยน
อวิ๋นหว่านชิ่นให้มอมอตงกงรอนางก่อน แล้วเดินไปยอบกายถวายคำนับแก่สามีภรรยาจวิ้นหยาง
พระชายาเอกส่งสัญญาณให้สวามีถอยไปสักหน่อย นางกับอวิ๋นหว่านชิ่นอยากพูดกันเรื่องผู้หญิงๆ จากนั้นเดินไปหาแล้วจับมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้
จิ่งหยางอ๋องผู้ซึ่งเคยแต่ใช้ปืนยาวยิงศีรษะชาวเหมิงหนูกำจัดศัตรูพอได้ยินดังนั้น ก็ถอยไปหลายก้าวโดยไม่กล่าวคำใด
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจิ่งหยางอ๋องรักใคร่เอ็นดูชายาจนดูแล้วชายาแทบจะขึ้นเป็นใหญ่ในบ้านแล้ว จึงยิ้มออกมา กล่าว “พระชายาพานช่างโชคดีนัก”
พระชายาพานชำเลืองสวามีคราหนึ่ง ยิ้มตอบอย่างถ่อมตนว่า “ไม่มีข้อดีอื่นใดเลย นอกจากฟังคำของข้าบ้างแค่นั้น” กล่าวจบสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้น “ความจริงแล้วข้าได้ยินเรื่องนั้นของเจ้าแล้วก็คับแค้นใจนัก คิดอยากเข้าวังมาอธิบายแก้ต่างให้เจ้ามาตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่มีโอกาสเสียที วันนี้ช่างเหมาะนักได้มาร่วมงานเลี้ยงพอดี อีกประเดี๋ยวข้าจะให้นางยกโทษให้เจ้าต่อหน้าไทเฮา จะได้ให้เจ้ารีบกลับไปเสีย มาทำให้คู่สามีกับชายาที่พึ่งแต่งงานกันมาแยกจากกันเช่นนี้ ต่อให้เป็นราชวงศ์ก็ทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ไม่ได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวอย่างจริงใจว่า “ขอบพระคุณพระชายาพานยิ่งนัก” เดิมทีที่พูดคุยกับพระชายาเป็นเพราะเรื่องของสกุลอวี๋ แม้จะรู้ว่าสกุลพานนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่นึกไม่ถึงว่าจะตรงได้เพียงนี้ นางคิดแล้วกล่าวว่า “แต่ระยะโทษของข้าเหลือไม่มากนักแล้ว พระชายาพานมิต้องขอร้องแทนข้าหรอก จะได้ไม่โดนเหล่าพระสนมเกลียดขี้หน้า จะพลอยโดนหางเลขไปด้วยเสียเปล่าๆ”
พระชายาพานเป็นคนประเภทเจ้าดีต่อข้า ข้าจะดีกับเจ้าสิบเท่า เห็นอีกฝ่ายปฏิเสธเช่นนี้จึงตบๆ มืออวิ๋นหว่านชิ่นเบาๆ “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เป็นเรื่องใหญ่มากหรือ แค่ร้องขอความเมตตาแค่นี้ ยังจะมาเล่นงานข้าอีก คนอย่างข้ามิมีอันใดมาก มีแต่ทนเห็นคนที่ข้าถูกชะตาทนลำบากไม่ได้ คนที่เกลียดขี้หน้าน่ะหรือ ข้าจะส่งนางไปรับทุกข์ทรมาน ต่อให้ไทเฮามิฟังคำข้า ยังมีสามีข้าทั้งคน” พูดจบก็หันไปมองพลางยิ้มกล่าว “ใช่หรือไม่เพคะ จวิ้นอ๋อง”
จิ่งหยางอ๋องแม้จะยืนอยู่ไกล แต่กลับได้ยินทั้งคู่พูดคุยกันอย่างชัดเจน จึงรับคำชายาว่า “เจ้าพูดอันใดก็อันนั้นแหละ” ในเมื่อพระชายาพานอยากจะปกป้องพระชายาฉินอ๋อง เช่นนั้นพระองค์ก็จะยืนข้างชายาโดยไม่บ่ายเบี่ยง
ในราชวงศ์ ‘บุ๋นมีสกุลเสีย บู๊มีจิ่งหยาง’ ประโยคนี้นั้นมิใช่ซี้ซั้วกล่าวกัน
จวนจิ่งหยางอ๋องนั้นฝีมือทางทหารเป็นเลิศ โดยเฉพาะยามนี้ที่ตอนเหนือยังไม่สงบ หลายปีมานี้เหมิงหนูเคลื่อนไหว คอยรังควานชายแดนและผู้คนอยู่ตลอดเวลา กองกำลังทหารที่ใช้สกัดกั้นที่ชายแดนเหนือนั้น มีพี่ชายของท่านหญิงหย่งจยาอย่างอี๋ซื่ออ๋องแล้ว ก็ยังมีกองทัพสายตรงของจิ่งหยางอ๋องอีก หากจิ่นหยางอ๋องและชายาพูดอันใดต่อหน้าไทเฮา โทษตายก็ทำให้รอดกลับมาได้ นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด
คิดได้ดังนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่กล่าวคำใดอีก
สมควรแก่เวลา ขันทีของตำหนักฉือหนิงก็ออกมาทูลเชิญจิ่งหยางอ๋องและพระชายาเข้าไปด้านใน
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมาอยู่ข้างมอมอ
พระชายาพานยังพูดคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นไม่หนำใจดีจึงมีท่าทางอาลัยอาวรณ์อยู่
จิ่งหยางอ๋องรู้ใจชายาดี จึงบอกกับมอมอของตงกงว่า “ให้พระชายาฉินอ๋องอยู่เป็นเพื่อนชายาข้าในคืนนี้เถิด”
มอมอตงกงหลายคนไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนอันใดก็ไม่กล้าปล่อยไป สบตาปรึกษากันครู่หนึ่ง กลับได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากระเบียงหน้าประตูตำหนัก “จิ่งหยางอ๋องเข้าวังมาก็มาแย่งคนของข้าแล้ว?”
บุรุษในอาภรณ์สีม่วงเข้มลายเมฆามังกร ชั้นนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกยืนอยู่ท่ามกลางองครักษ์และขันทีของตน เสด็จเดินจากทางเดินเข้ามา
คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันยอบกายคำนับ “ไท่จื่อ”
จิ่งหยางอ๋องยิ้มกล่าวเสียงกังวาน “ฝ่าบาทพูดไม่ถูกนะพ่ะย่ะค่ะ พระชายาฉินอ๋องแม้จะรับโทษอยู่ในวัง แต่ก็พูดไม่ได้ว่าเป็นของตงกง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองไป มีเพียงจิ่งหยางอ๋องเท่านั้นที่พูดกับไท่จื่อว่า ‘พูดไม่ถูกนะพ่ะย่ะค่ะ’ ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ได้ ตำแหน่งของจิ่งหยางอ๋องในราชวงศ์ซย่าโหวนี้ นับว่าสูงไม่เบา ได้ยินว่าไม่เพียงแต่ขุนนางเท่านั้นที่ประจบสอพลอเขา กระทั่งเหล่าองค์ชายเองยังต้องแอบดึงเขามาเป็นพวก หนึ่งในนั้นรวมเว่ยอ๋องอยู่ด้วย คิดว่าไท่จื่อก็น่าจะรวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
แต่ก็สมเหตุสมผลนัก บุรุษผู้นี้มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยเหล่าทหารที่เชื่อถือได้ ผู้ใดที่อยากทำได้เช่นนี้ เกรงว่าในใต้หล้านี้จะมีได้เพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
มิน่าไท่จื่อจึงไม่มีปฏิกิริยาอันใดต่อคำพูดของจิ่งหยางอ๋องแม้แต่น้อย กลับยิ้มเอ่ย “จิ่งหยางอ๋องทำเพื่อพระชายาพาน นับว่าทุ่มเทไปจนหมดที่มี หากวันนี้ข้าไม่ยกพระชายาฉินอ๋องให้พระชายาพาน คงได้กลายเป็นผู้ร้ายที่ทำลายความรู้สึกจิ่งหยางอ๋องและพระชายาเป็นแน่” ตรัสจบก็หันไปมองอวิ๋นหว่านชิ่น “เช่นนั้นคืนนี้พระชายาฉินอ๋องก็อยู่กับพระชายาพานเถิด”
จิ่งหยางอ๋องช่วยบรรลุความต้องการในใจชายาแล้ว ใจก็พลันสบายปลอดโปร่ง จึงประสานมือยิ้มกล่าวว่า “ขอบพระทัยไท่จื่อ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าสบตากับไท่จื่อ ก่อนจะเดินไปอยู่ข้างๆ พระชายาพาน
ไท่จื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมองมา นัยน์เนตรจึงอ่อนโยน ท่าทางแพรวพราว “เช่นนั้นพระชายาฉินอ๋องก็ถือโอกาสนี้พูดคุยกับพระชายาพานเสีย” ไท่จื่อมองตามนางจนนางเดินมาถึงด้านหน้าพระชายาพานจึงได้ดึงสายตากลับไป แล้วเดินเข้าไปกับจิ่งหยางอ๋องก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ข้างพระชายาพานนั้นกำลังจะเข้าไปเช่นกัน พอหันหน้าใจกลับตระหนก มีดวงตาดำสนิทคู่หนึ่งมองมาทางนางอย่างเฉียบคมจากทางเดินยาวอีกฝั่ง
แม้จะอยู่ห่างกันมาก แต่กลับทำคนร้อนๆ หนาวๆ ได้
ฉินอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น ด้านข้างคือเยี่ยนอ๋อง ด้านหลังที่ติดตามมาคือซือเหยาอันและเฉียวเวย อีกทั้งขันทีและนางกำนัลจำนวนหนึ่ง
เขาเห็นหมดแล้ว
ในสายตาของเขา กลัวเพียงว่าตนจะเป็นคนที่ ‘เพียงไท่จื่อเรียกก็รีบวิ่งไปไวกว่ากระต่ายเสียอีก’ กระมัง
ไม่ต้องเดาก็รู้ หน้าตาเช่นนี้ อีกทั้งสายตาที่จะกินคนเข้าไปได้ทั้งตัวนั่นอีก ท่าทางพวกนี้ล้วนอธิบายหมดแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มขื่น หันหน้ากลับ เดินตามพระชายาพานเข้าไปด้านใน
“พี่สาม ท่านดูสิ พี่สะใภ้สามไม่มองหน้าท่านสักนิด แต่กับไท่จื่อกลับมองตาไม่กะพริบ” เยี่ยนอ๋องอดปากไม่อยู่ที่จะแหย่ออกไป จึงได้รับการถลึงตามองกลับมา เห็นคนข้างกายสะบัดแขนเสื้อรุนแรงเสียจนคนขนลุก จึงลูบๆ ต้นคอตามไปกล่าวต่อ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าจะบอกว่าพี่สะใภ้สามสบตากับไท่จื่อก็เท่านั้น…ไม่ใช่ ไม่ได้จะสื่อเช่นนี้…เอาเถิดเอาเถิด ข้าไม่พูดแล้ว”
[1] จวิ้นอ๋อง เป็นตำแหน่งรองจากอ๋อง และเป็นตำแหน่งเริ่มต้นที่จักรพรรดิจะมอบให้กับพระโอรส ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งจวิ้นอ๋องนอกจากพระโอรสในองค์จักรพรรดิแล้ว โดยมากยังมีพระโอรสในหวงไท่จื่อ หรือพระโอรสในอ๋อง ซึ่งเป็นพระนัดดาในองค์จักรพรรดิด้วย นามที่ได้รับพร้อมตำแหน่งจวิ้นอ๋องโดยมากจะมี 2 ตัวอักษร ซึ่งเป็นชื่อของเมืองหรือเขตการปกครองที่ใหญ่กว่าอำเภอของจีน (郡) ในสมัยโบราณ