งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ตำหนักเจียสี่ที่อยู่ในตำหนักฉือหนิงซึ่งเป็นตำหนักที่ใช้จัดงานมงคลโดยเฉพาะ
ที่นั่งไหมแดงภายในตำหนักถูกจัดไว้เรียบร้อย ด้านบนมีจันทร์เทศหมักชั้นดีวางอยู่ ด้านหลังที่นั่งนั้นเป็นนักดนตรีสวนหลี มือดีดพิณ อกกอดขิม เสียงดนตรีโอบล้อมไปทั่วทั้งตำหนัก
เชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ต่างมาถึงก่อนเวลาเริ่มงาน นั่งแบ่งแยกบุรุษสตรี
เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับจิ่งหยางอ๋อง พระชายาพานจึงมีหน้ามีตาและถูกจัดให้นั่งอยู่ที่นั่งฝั่งสตรีด้านขวาแถวแรกใกล้บันไดหิน ไม่ไกลจากไท่จื่อนัก ซ้ำยังอยู่ข้างฮองเฮาและพระชายาองค์อื่นๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลงพร้อมพระชายาพาน ไม่นานนัก หน้าประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ผู้คนต่างพากันลุกขึ้น ขันทีป่าวประกาศการเสด็จมาถึง หนิงซีฮ่องเต้และเจี่ยไทเฮาเสด็จก้าวเข้ามาในตำหนัก
เจี่ยงฮองเฮาพยุงเจี่ยไทเฮาทั่วร่างสวมอาภรณ์สีแดงชาด ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ท่าทางงดงามน่าเกรงขาม ให้ภาพลักษณ์เป็นสะใภ้ดีคุณธรรมสูงส่งของมารดาต่อหน้าธารกำนัลเหมือนกาลก่อน
ผู้คนต่างถวายคำนับกันอย่างเป็นระเบียบ ส่งเสียงสรรเสริญฮ่องเต้อายุยืนหมื่นปี ไทเฮาฮองเฮาผาสุกพันปี
“วันนี้งานเลี้ยงในราชวงศ์คนกันเอง กินข้าวพร้อมหน้าเหมือนดั่งคนทั่วไป ไม่ต้องมีพิธีรีตองอันใด” หนิงซีฮ่องเต้วันนี้สีพระพักตร์ดูดี มีสีเลือดกว่าวันก่อนๆ บ้างแล้ว ได้เห็นผู้คนคึกคักในยามนี้ อารมณ์พลันเบิกบาน มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม แม้ว่าน้ำเสียงในการพูดคุยจะอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่แรงกำลังเพิ่มขึ้นไม่น้อย
“ฝ่าบาททรงประชวรอยู่ที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน กระหม่อมเป็นกังวลนัก แต่ฝ่าบาททรงไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเฝ้า กระหม่อมจึงมิได้ไปเยี่ยมเยือน ยามนี้เห็นพระพักตร์ดูดีไม่น้อย กระหม่อมก็วางใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จิ่งหยางอ๋องกล่าวเริ่ม พระญาติคนอื่นๆ จึงต้องกล่าวตามกันมา “ขอฝ่าบาททรงรักษาพระองค์ด้วย!”
หนิงซีฮ่องเต้ยิ้มพลางมองเจี่ยงฮองเฮาคราหนึ่ง “ราชสำนักมีไท่จื่อและขุนนางทั้งหลายจัดการแทนเรา วังหลังมีฮองเฮาคอยดูแล เราวางใจได้มาก อาการป่วยจึงดีขึ้นได้ไว พอวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งก็ออกว่าราชกิจได้แล้ว”
ประโยคนี้นับว่าให้หน้าเจี่ยงฮองเฮามาก
บรรดาพระญาติต่างหันไปมองเจี่ยงฮองเฮา ประสานมือโค้งคำนับพลางกล่าวคำชมเชยสองสามประโยค
รอจนหนิงซีฮ่องเต้ประทับในพระที่นั่ง เจี่ยไทเฮาจับเจี่ยงฮองเฮาไว้ พลางยิ้มกล่าว “ฮองเฮามานั่งกับเราเถิด”
เจี่ยงฮองเฮานัยน์ตาเรียบนิ่ง ยืดอกขึ้น มุมโอษฐ์ยกวาดเป็นรอยยิ้ม
ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ใจนางจึงโล่งสบายขึ้นหน่อย
เป็นคนข้างกายของฮ่องเต้มานานประสบการณ์มากมาย พระองค์ทรงมีทั้งคนที่ลืมไม่ได้ทั้งคนที่ปักใจรักมั่น มีวังหลังที่เต็มไปด้วยสาวงามมากมาย แต่ทว่า คนที่สามารถพาออกงานได้อย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางเชื้อพระวงศ์มากมายเช่นนี้นั้น กลับมีเพียงตนเท่านั้น
ข้างๆ เจี่ยงฮองเฮาเป็นเจี่ยงอวี๋ วันนี้แต่งองค์ได้สง่างามยิ่ง บนใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ
เห็นเจี่ยงฮองเฮาทอดพระเนตรชื่นชมความเคารพของเหล่าบรรดาพระญาติ ทั้งความกรุณาส่งเสริมจากฮ่องเต้กับไทเฮา รอยยิ้มบนใบหน้าเจี่ยงอวี๋แย้มบานอย่างสดใสแวววาว พอหันหน้าไป สายตาก็ไปตกอยู่ที่บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ข้างๆ เขามีบุรุษอายุน้อยอีกคน รูปร่างอ้วนท้วม สวมอาภรณ์สูงค่า ยังไม่เปิดงานก็ตื่นเต้นเสียจนหน้าแดง ดูๆ แล้วเหมือนกับลูกชายที่อาศัยเกาะบิดากินดื่มเที่ยวเล่นในเมืองหลวง
นั่นคือบิดาแท้ๆ ของเจี่ยงอวี๋ น้องชายของฮองเฮานามว่าเจี่ยงผิง ที่อยู่กองการทูตอย่างว่างๆ ไปวันๆ ส่วนข้างๆ นั่นคือพี่ชายแท้ๆ ของนาง เจี่ยงหงจี้เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เจี่ยงผิงรักสุดหัวใจ
“ท่านพ่อ ท่านดูสิ เจี่ยงอวี๋อยู่ข้างๆ ฮองเฮากูกูล่ะ สง่าน่าเกรงเกรงขามยิ่ง เมื่อครู่ข้าเดินเข้าตำหนักมา จวิ้นอ๋องหลายคนต่างพากันมาทักทายข้ากันใหญ่! ท่านว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราจะได้เชิดหน้าชูตา หลังงานเลี้ยงครั้งนี้ท่านไปหานางให้ช่วยพูดกับฮองเฮาหาตำแหน่งว่างๆ ให้ข้าได้หรือไม่” เจี่ยงหงจี้ยิ้มจนเห็นฟัน ถูๆ มือ วันนี้ได้ใจอย่างยิ่ง
เจี่ยงอวี๋ลูกสาวคนนี้ไม่สนใจบ้านของมารดามาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ถูกพี่สาวของเขาเลือกเข้าตงกงไป เจี่ยงผิงก็รู้สึกเหมือนไม่มีลูกสาวคนนี้อีก สองปีก่อนอยากจะหาตำแหน่งขุนนางดีๆ ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสุดรัก ให้คนไปบอกเจี่ยงอวี๋ให้ไปกราบทูลไท่จื่อ ในเมื่อนางเป็นถึงพระชายารอง พูดไม่กี่คำ อย่างไรเสียงเขาก็ต้องไว้หน้าให้อยู่แล้ว
เจี่ยงอวี๋กลับตอบกลับมาอย่างเย็นชาว่านางทำไม่ได้ ซ้ำยังบอกอีกว่าท่าทางอ้วนท้วมที่วันๆ รู้จักแต่เที่ยวเล่นกินดื่มเช่นนั้น เป็นขุนนางก็ทำนางขายหน้าไท่จื่อเปล่าๆ เจี่ยงผิงไม่สมใจในปรารถนา ซ้ำยังถูกบุตรสาวกล่าวประชดประชันให้ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตั้งแต่นั้นมาก็ทำเป็นไม่มีลูกสาวคนนี้มาก่อนอีกเลย
ครั้งนี้พอรู้ว่าเป็นลูกสาวที่ออกปากให้เชิญเขาสองคนพ่อลูกเข้าวัง เจี่ยงผิงประหลาดใจอยู่บ้าง จริงๆ แล้วจนถึงยามนี้ก็ยังไม่หลุดจากภวังค์ เมื่อครู่ได้ยินลูกชายขอร้อง จึงตอบไปอย่างฉงนว่า “น้องสาวเจ้าเหตุใดจึงดูเป็นคนละคน ท่าทางแปลกๆ นัก ข้าว่าเรากินอิ่มแล้วก็กลับกันเถิด อย่าก่อเรื่องให้มากเลย เรื่องหาตำแหน่งให้เจ้า พ่อจะหาวิธีให้ภายหลัง”
เจี่ยงหงจี้รู้ดีว่าบิดากลัวความยุ่งยาก เห็นเขาตกอยู่ในภวังค์สงสัยเป็นนาน พอสะบัดแขนเสื้อก็ไม่ทนต่อไปอีกแล้ว “ท่านพ่อ ลูกมิได้กล่าวเรื่องใหญ่ร้ายแรงอันใดเสียหน่อย เพราะท่านซื่อสัตย์ซ้ำยังอ่อนแอเกินไป ทำอันใดก็ต้องดูหน้าดูหลังให้รอบคอบถี่ถ้วน จับนั่นจับนี่ก็มิกล้าปล่อยมือ แต่ไหนแต่ไรฮองเฮาจึงไม่สนใจท่าน ท่านดูสิ เหล่าอาๆ ลุงๆ ล้วนทำกันได้ดี ลุงใหญ่เจี่ยงยิ่นยิ่งเก่งกล้าสามารถนัก เขาปราดเปรื่องสามารถ วันนี้ยังอาศัยอิทธิพลใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบังความจริงเอาไว้ได้! ต่อให้ยามนี้ได้ไปเป็นนักบวชในป่าในเขา อำนาจยังแกร่งกล้ากว่าท่านนัก! แต่ท่านตำแหน่งก็ต่ำ เงินเดือนยังนับว่าไม่เลว แต่หากให้พูดถึงตำแหน่งแล้ว กลับไม่สมกับน้องชายของฮองเฮาแม้แต่น้อย! ท่านว่าน่าขายหน้าหรือไม่ วันนี้เป็นโอกาสที่ดียิ่ง ท่านยังจะเป็นเช่นนี้อีก เด็กนั่นจะเปลี่ยนอันใดไปได้ ไม่ว่าอย่างไร นางก็คือธิดาของสกุลเจี่ยง จะมาทำร้ายเราได้อย่างไร ข้าไม่สนแล้ว ท่านพ่อบอกจะหาตำแหน่งขุนนางมาให้ข้าตั้งกี่ปีแล้ว ผลกลับยังไม่ไปถึงไหน ครานี้หากไม่จัดการให้ลูก ลูกก็จะเร่งเร้าแล้ว!”
เจี่ยงผิงเห็นลูกรักโมโหจนหน้าอ้วนๆ แดงก่ำก็รีบโอ๋ปลอบทันที “เอาล่ะๆ ดูเจ้าสิ พูดแค่นี้ก็มิได้ พ่อจะจัดการให้เจ้าเอง หายโกรธได้แล้ว นะ?”
เจี่ยงหงจี้พอใจขึ้นมาก
ห่างจากพ่อลูกสกุลเจี่ยงไปไม่ไกลนัก
เจี่ยงอวี๋มองพี่ชายอย่างเจี่ยงหงจี้ทำท่าทำทางเป็นลูกแหง่เช่นนั้น แล้วหันไปมองบิดาตนที่กำลังเอาอกเอาใจลูกรักอยู่ นางก็ขยะแขยงนัก
มารดานางเป็นเพียงบ้านเล็กของเจี่ยงผิง แต่เล็กจนโตนางและมารดาโดนภรรยาเอกและพี่ชายคนนี้ดูถูกเหยียดหยามมาโดยตลอด มักจะว่าแม่ว่าเป็นนางปีศาจ แล้วนางเป็นลูกปีศาจ
ยามที่แม่ได้รับความโปรดปราน เจี่ยงผิงยังมาช่วยไว้ในบางครั้ง ต่อมาแม่อายุมากขึ้น โดนเจี่ยงหงจี้เย้าแหย่ หรือกระทั่งทุบตีด่าทอนางและแม่ เจี่ยงผิงก็ไม่สนใจแม่อีกเลย ภายหลังแม่ล้มป่วยลง เจี่ยงผิงเกรงใจภรรยาเอกจึงไม่สนใจแยแส พี่ชายคนนี้ยิ่งโหดร้ายกว่า เขาจงใจวานคนให้ไปตามหมอมาทำร้ายแม่ให้ป่วยหนักขึ้นจนตาย
เจี่ยงอวี๋โชคดีที่ถูกเจี่ยงฮองเฮาเลือกเข้าตงกงมาเป็นพระชายารองปรนนิบัติรับใช้ไท่จื่อ ในตอนนั้นก็ได้สาบานไว้ว่าจะไม่ไปแยแสกับบ้านมารดาอีก เรื่องช่วยเหลือพวกเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่กล่าวถึงก็อย่าได้กล่าว นางไม่หาโอกาสมาแก้แค้นก็ดีเท่าใดแล้ว ดังนั้นหลายปีมานี้จึงไม่เคยกล่าวถึงบ้านมารดาต่อหน้าไท่จื่อและฮองเฮาเลย
ครานี้หากไม่เป็นเพราะมีธุระ นางคงไม่เชิญมา
คิดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงอวี๋ก็กล่าวเสียงเล็กเสียงน้อย “ฮองเฮาเพคะ อวี๋เอ๋อร์เห็นบิดาและท่านพี่แล้ว มิทราบว่าจะไปพูดคุยกับพวกเขาสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
เจี่ยงฮองเฮาตรัสอย่างนิ่งเฉยว่า “รีบไปรีบมาล่ะ”
เจี่ยงอวี๋ขอบพระทัยแล้วเดินไปยังบิดาและพี่ชายที่นั่งอยู่
เนื่องจากตำหนักเจียสี่นี้เป็นสถานที่ใช้จัดงานโดยเฉพาะ เนื้อที่กว้างขวาง สะดวกต่อการยกสุราและข้าวปลาอาหารเข้าออก เดินสวนก็ไม่ชนกัน ที่นั่งทุกแถวล้วนห่างกันในระยะเท่าๆ กัน แต่ตำแหน่งที่นั่งของสองพ่อลูกสกุลเจี่ยงนั้นถูกจัดไว้แถวสุดท้ายของพระญาติ ซ้ำยังเป็นมุมอับลับสายตา ห่างจากที่นั่งอื่นๆ มากโข