ตอนที่ 188.4 งานฉลองก่อนวันปีใหม่ในราชวงศ์ (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ก่อนงานจะเริ่มเป็นเจี่ยงอวี๋ที่ใช้นามของฮองเฮาสั่งให้คนตำหนักฉือหนิงให้จัดที่นั่งให้เช่นนี้

เจี่ยงหงจี้เห็นเจี่ยงอวี๋เดินมาก็รีบกระตุกแขนเสื้อบิดาแล้วยิ้มอย่างประสบสอพลอ “น้องอวี๋”

เจี่ยงผิงยิ้มอย่างเปี่ยมรักเปี่ยมเมตตา “อวี๋เอ๋อร์ พ่อกับพี่ชายเจ้ามิได้พบเจ้านานมากแล้ว”

แต่เจี่ยงอวี๋กลับตอบว่า “น้องอวี๋อันใด อวี๋เอ๋อร์อันใด ในวังหลวงแห่งนี้มิมีพ่อลูกพี่น้อง ข้าเป็นเหลียงตี้ พระชายารองแห่งตำหนักบูรพา ใต้เท้าเจี่ยงกับคุณชายจะมิใช้คำเรียกที่นบนอบแล้วถวายคำนับสักหน่อยหรือ”

สองพ่อลูกหยุดหายใจ ที่คิดว่าเจี่ยงอวี๋เชิญพวกเขาเข้าวังนั้นนึกว่าจะดึงพวกเขาที่เป็นพ่อและพี่ชายมาเป็นพวก คิดไม่ถึงว่ากลับแสดงท่าทีเช่นนี้มาให้

เจี่ยงผิงโมโหไม่น้อย แต่ทำได้เพียงดึงลูกชายให้ลุกขึ้นมาทำความเคารพเจี่ยงอวี๋แล้วกัดฟันกล่าว “เหลียงตี้”

แล้วเจี่ยงผิงก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเบาๆ ว่า “ในเมื่อเหลียงตี้ทรงแสดงท่าทีเช่นนี้กับเรา เช่นนั้นจะเรียกเราเข้าวังมาทำไม!”

เจี่ยงอวี๋ก้าวไปหาก้าวหนึ่งโน้มกายลง แล้วกล่าวเสียงเย็น “ทำไมหรือ ท่านพ่อคงไม่ใสซื่อจนคิดว่าข้าเรียกพวกท่านเข้าวังมาเพื่อเสวยสุขหรอกกระมัง”

“หมาย…หมายความว่าอย่างไร เช่นนั้นเจ้าเรียกพวกข้าเข้าวังมาทำไม” เจี่ยงผิงรู้สึกว่าสีหน้าบุตรสาวเย็นชาโหดเหี้ยม หน้าผากจึงมีเหงื่อเย็นไหลซึม

ใบหน้าอ้วนๆ ของเจี่ยงหงจี้ก็พลันตะลึง

“ปีนั้นท่านพ่อรับตำแหน่งอยู่นอกวัง ทำเรื่องที่มีความผิดร้ายแรงมากจนความตายมิอาจชดใช้ได้ พอดีวันนี้มีฮ่องเต้และฮองเฮารวมทั้งพระญาติทั้งหมดในราชวงศ์อยู่กันพร้อมหน้า ท่านก็สารภาพออกมาให้หมดอย่างสัตย์ซื่อเสีย สารภาพออกไปก่อนด้วยความยินยอม ไม่แน่ว่าจากโทษถึงตายอาจจะลดลงมา นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะสามารถตอบแทนบุญคุณของท่านที่เลี้ยงดูข้ามาได้” เจี่ยงอวี๋เอ่ยอย่างมีจังหวะจะโคน แววตาเปี่ยมด้วยความเหี้ยมโหด

“เจ้า!” เจี่ยงผิงตระหนกตกใจ เพียงฟังก็เข้าใจได้แล้ว เรื่องใหญ่เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของตนจะทำได้กี่เรื่องกัน หากไม่ใช่เรื่องนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน พลันเข้าใจเจตนาของบุตรสาวที่เรียกตนเข้าวังมาในวันนี้ ที่แท้ก็ใช้โอกาสที่ราชวงศ์มารวมตัวกันในท้องพระโรงแห่งนี้ เพื่อเปิดโปงโทษของฮองเฮาที่เคยทำมา เหงื่อเย็นผุดซึมออกมาฉับพลัน น้ำเสียงก็สั่นเครือ “เจ้า นางเป็นป้าของเจ้า เจ้าทำเช่นนี้ มีประโยชน์อันใดต่อตัวเจ้ากัน หากนางจบสิ้น เจ้าจะยังได้ประโยชน์อันใดอีก เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”

เจี่ยงอวี๋สีหน้าดุดัน กล่าวเสียงเย็นชาตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “นางมิใช่ป้าข้า เจ้าก็มิใช่พ่อข้า ไอ้หมูตอนนี่ก็มิใช่พี่ชายข้า ใต้หล้านี้มิมีคนในครอบครัวคนไหนทำร้ายลูกสาวตัวเองได้เช่นนี้! หากนางอยู่ ไม่ช้าข้าก็คงจบสิ้น หากนางจบสิ้น ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยังมีทางรอด! เจ้าไม่ต้องถามแล้ว! อย่างไรเสียวันนี้หากเจ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ!”

เจี่ยงผิงกลืนน้ำลายจับมือลูกชายไว้แน่น “ไป หงจี้ เรากลับกัน…”

เจี่ยงอวี๋ยิ้มเย็นมองไปที่เจี่ยงหงจี้ “หากพวกเจ้าทำได้ดี ตำแหน่งขุนนางที่ดีๆ ของพี่นั้นก็มิใช่ปัญหา”

โอกาสที่เจี่ยงหงจี้จะได้เข้าวังสักครั้งนั้นหาได้ยากยิ่ง จึงหวังจะใช้โอกาสนี้ได้มีตำแหน่ง จะยอมเดินคอตกกลับไปเช่นนี้ได้อย่างไร ดวงตาประกายวาบสะบัดมือของบิดาออก เจี่ยงผิงโมโหลูกชายจนควันออกหูแล้ว “หงจี้!”

เจี่ยงหงจี้ป้องปากกระซิบ “ท่านพ่อ ท่านดูท่าทางนางสิ ดูท่าคงจะทุ่มสุดตัวกับฮองเฮาแล้ว หากเราไม่ทำ นางก็จะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ถึงเวลานั้นโอกาสที่จะได้ทำคุณลดโทษก็ไม่มีแล้ว ซ้ำนางยังบอกอีกว่าจะหาตำแหน่งให้ข้า…”

“ตำแหน่งๆๆๆ ตำแหน่งบ้าตำแหน่งบออันใดของเจ้า เจ้าถึงขั้นขายป้าแท้ๆ ของตัวเองเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมั่งคั่งได้เชียวหรือ ข้ากลับทำร้ายพี่สาวตัวเองไม่ลง!” เจี่ยงผิงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

“ป้าแท้ๆ พี่สาวแท้ๆ อันใดกัน หากนางมองเราเป็นญาติจริงๆ หลายปีมานี้ข้าจะอยู่เปล่าๆ ไม่มีตำแหน่ง ท่านจะเป็นขุนนางต๊อกต๋อยที่ขนาดท้องพระโรงก็ยังมิได้เข้าเฝ้าเช่นนี้หรือ” เจี่ยงหงจี้พูดฉอดๆ อย่างคิดว่าตนมีเหตุผลเต็มที่

เจี่ยงผิงอ้ำอึ้งพูดไม่ออก เดิมเป็นคนเงื้อง่าราคาแพงไม่มีความคิดจะทำการใดแต่แรกอยู่แล้ว ขณะกำลังลังเลอยู่นั้นก็โดนลูกชายดึงให้นั่งลง

“คิดได้เช่นนี้น่ะถูกแล้ว” เจี่ยงอวี๋พอใจ “ยามปกติท่านพี่โง่จนสมควรตาย ครานี้กลับปราดเปรื่องไม่น้อย” กล่าวจบก็ได้ยินขันทีประกาศว่าถึงเวลาเปิดงานแล้ว จึงเดินกลับไป

ที่นั่งของสตรีทางนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเจี่ยงอวี๋ไปกระซิบกระซาบกับสองพ่อลูกสกุลเจี่ยง เจี่ยงผิงอารมณ์ฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเห็นเจี่ยงอวี๋อมยิ้มเดินกลับมานั่งข้างฮองเฮาก็เดาได้ว่าละครวันนี้ สองพ่อลูกสกุลเจี่ยงต้องได้รับบทหนักแน่ๆ สายตาชำเลืองมองไปทางไท่จื่ออย่างไม่รู้ตัว

คิดไม่ถึงว่าไท่จื่อได้มองมาก่อนแล้ว จึงได้สบตากันเข้า สายตาเต็มไปด้วยความนัยที่รู้กันโดยไม่ต้องกล่าวคำใด

เยี่ยนอ๋องเห็นเข้าก็ขยับไปพูดข้างหูพี่สามของตน “พี่สาม ข้าไม่ได้อยากบอกท่านจริงๆ นะ แต่ข้าทนไม่ได้จริงๆ…”

ซย่าโหวซื่อถิงจะไม่เห็นฉากนั้นได้อย่างไร พระพักตร์ยังคงอึมครึมไม่คลายตั้งแต่นอกตำหนักมาจนถึงยามนี้

เขาไม่ได้เห็นกับตา ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ วันนี้เห็นนางส่งสายตาให้ไท่จื่อจากด้านนอกไม่ขาดท่ามกลางสายตาของธารกำนัล มีพรมแดงกั้นระหว่างกลางกลับยังย้ายสายตาออกจากกันมิได้ ทำอารมณ์เขาขึ้นๆ ลงๆ ผันผวนปรวนแปร

ถ้วยแก้วในมือของเขาส่งเสียงดัง เปรี๊ยะ เพราะถูกบีบจนแตกละเอียด

เยี่ยนอ๋องรีบแย่งหยิบมาแล้วส่งให้นางกำนัลข้างกาย กำชับว่า “เปลี่ยนเอาถ้วยสำริดที่แข็งแรงทนทานมาแทน”

งานเลี้ยงในราชวงศ์ได้เริ่มขึ้น หนิงซีฮ่องเต้และเจี่ยไทเฮา รวมถึงเจี่ยงฮองเฮายกจอกขึ้นเพื่อร่วมดื่มฉลองและฝากฝังความปรารถนาให้กับปีใหม่ที่จะถึงนี้กับเหล่าบรรดาพระญาติ

จากนั้นพระญาติที่ตำแหน่งและอำนาจสูงส่งก็เป็นตัวแทนออกมากล่าวแสดงความยินดีแก่ฮ่องเต้และเชื่อพระวงศ์องค์อื่นๆ ที่ทรงปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็นเป็นสุข รวมทั้งคำเยินยอแม่น้ำสะอาดใสทะเลครามสงบนิ่ง[1]อะไรเทือกๆ นั้น

นอกตำหนักเจียสี่ เหล่าขันทีของตำหนักฉือหนิงได้จัดเตรียมประทัดและดอกไม้ไฟสำหรับเฉลิมฉลองคืนก่อนวันปีใหม่ในค่ำคืนนี้ ได้ยินเสียงประทัดดังลั่น ดอกไม้ไฟเปล่งแสงแวววาวสดใสให้ตำหนักคึกคักละลานงามตา

ภายใต้การอนุญาตอย่างเงียบๆ ของฮ่องเต้นั้น บรรดาพระญาติต่างลุกขึ้นไปชื่นชมดอกไม้ด้านนอก

รอจนดอกไม้ไฟนอกตำหนักมอดดับลง ผู้คนจึงได้เข้ามาด้านในอีกครั้ง เสียงจอแจเงียบลงไปมากทีเดียว ตอนที่บรรดาพระญาติชื่นชมดอกไม้ไฟกันอยู่นั้น บ่าวรับใช้ก็จัดยกสุราอาหารมาวางให้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงได้เริ่มทานอาหารอีกครั้ง ฮ่องเต้และเจี่ยไทเฮาต่างพูดคุยกับญาติๆ เป็นครั้งคราว บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริง เดินกันไปมาอย่างอิสระไม่เหลือแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ระหว่างกษัตริย์ขุนนางดั่งยามปกติอันใด

ยามดื่มจนได้ที่แล้ว หนิงซีฮ่องเต้ยังทรงยิ้มตาหยีเรียกเหล่าชินอ๋องว่าพี่ว่าน้อง

เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นหว่านชิ่นได้เข้าร่วมงานเลี้ยงภายในราชวงศ์ ท่ามกลางเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา เห็นพระญาติชนชั้นสูงมากมายที่ยามปกติไม่มีทางได้เห็น แต่ในงานจริงๆ แล้วนั้นสบายๆ ต่างกับที่ตนเคยคิดไว้นัก ไม่แตกต่างอันใดกับงานเลี้ยงอาหารค่ำของสามัญชนครอบครัวใหญ่ๆ ที่มีลุงป้าน้าอาหลานสาวหลานชายมาร่วมโต๊ะทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข

เจี่ยงฮองเฮาสดับฟังคำสรรเสริญเยินยอจากบรรดาสตรีในราชวงศ์แต่นัยน์เนตรกลับไปตกอยู่ข้างกาย เห็นพระชายาจิ่งหยางอ๋องกับอวิ๋นหว่านชิ่นที่กำลังพูดคุยกันอย่างอบอุ่น พระชายาพานนั่นจับมืออวิ๋นหว่านชิ่นเป็นครั้งคราวด้วยท่าทางสนิทสนม

ไม่ทราบว่าถูกพระชายาจิ่งหยางอ๋องคนนั้นเอาชนะใจไปตั้งแต่เมื่อใด

ทุกคราที่เห็นนางกลับรู้สึกสบายใจนัก

มุมโอษฐ์ของเจี่ยงฮองเฮาปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ มองฉินอ๋องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม วางแผนไว้ในใจหาโอกาสพูดเรื่องฉินอ๋องกับธิดาของหานทงออกไป กวาดตามองคนในงาน หากพูดออกไปยามนี้ไม่มีทางที่ฮ่องเต้จะทรงปัดตกได้แน่

พระชายาพานพูดคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่พลันหยุดลง แล้วมองไปยังเจี่ยไทเฮา อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าพระชายาพานอยากจะใช้บรรยากาศที่กำลังดีนี้ กราบทูลเรื่องลดโทษให้แก่ตน จึงดึงมือนางไว้ “พระชายาพาน”

พระชายาพานยิ้มเป็นนัยๆ ว่าให้นางวางใจ หยิบจอกสุราเดินไปยังข้างกายเจี่ยไทเฮา กล่าวเรื่องทั่วไปตามมารยาทหลายประโยค เห็นไทเฮาสุขพระทัยจึงได้ทีกล่าวคุณงามความดีของอวิ๋นหว่านชิ่นไปให้อีกไม่น้อย

[1] แม่น้ำสะอาดใสทะเลครามสงบนิ่ง สันติภาพและความสุขสงบ​ดั่งแม่น้ำที่สะอาดใสและท้องทะเลครามที่สงบนิ่งไร้คลื่นลม