เจี่ยไทเฮาก็เหมือนกับฮ่องเต้ เพราะความสัมพันธ์ของจิ่งหยางอ๋องจึงเคารพและยอมรับด้วยไมตรีกับพระชายาพาน ยามนี้ได้ฟังพระชายาพานกล่าวถึงอวิ๋นหว่านชิ่น ก็ทราบได้ว่านางมาขอร้องแทนอวิ๋นหว่านชิ่น จึงอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กคนนี้ไม่ว่าไปที่ใดก็เป็นต้องมีคนมาออกหน้าขอความเมตตาให้ ไม่พูดถึงฉินอ๋องแล้ว คราก่อนเฟิ่งจิ่วหลาง ครานี้ก็พระชายาจิ่งหยางอ๋องเดิมทีก็อยากจะใช้โอกาสวันนี้ยกโทษให้อวิ๋นหว่านชิ่น วันนี้เห็นพระชายาพานเปิดปากขอร้องมาเอง อารมณ์ยามนี้ก็เบิกบาน จึงคิดใช้วันเฉลิมฉลองอันมงคลนี้ให้อภัยโทษ พลางทอดพระเนตรมองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ด้านข้าง
หนิงซีฮ่องเต้ก็ทรงได้ยินคำขอร้องของพระชายาพาน แต่กลับไม่ตรัสแย้งอันใด เพียงยิ้มตรัสว่า “เรื่องของวังหลังก็ให้เสด็จแม่กับฮองเฮาเป็นคนจัดการเถิด ข้าไม่สอดมือไปยุ่ง”
ขาดเพียงความยินยอมของฮองเฮาเท่านั้น เรื่องนี้ก็จะสำเร็จ จึงหันกลับไปมองอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างปรีดา
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่รีบร้อนที่จะดีใจนัก นางไม่คิดว่าเจี่ยงฮองเฮาจะเห็นด้วยยินยอม ดูจากท่าทางของเจี่ยงฮองเฮาที่มีต่อนางแล้ว อย่างไรก็ต้องขัดขวางไว้แน่
หากฮองเฮาจะทรงหาทุกวิถีทางมากล่าวโทษนาง ไม่ยอมยกโทษให้ เจี่ยไทเฮาก็คงไม่สามารถไปบีบบังคับได้
ขณะนี้เองเจี่ยไทเฮามองเจี่ยงฮองเฮาคราหนึ่ง “ฮองเฮาเจ้าว่าอย่างไร เราเห็นว่าที่สำนักฉางชิงนั้นชายาฉินอ๋องก็ประพฤติตนดีไม่น้อย น่าจะสำนึกผิดแล้ว วันนั้นให้หม่าซื่อไปถามกับแม่ชีจิ้งอี้ นางกล่าวชมพระชายาว่าขยันอดทน ทำความเข้าใจในพระไตรปิฎกได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อยามนี้ขนาดพระชายาจิ่งหยางอ๋องยังออกปากพูดเช่นนี้ เจ้าควรใช้โอกาสวันเฉลิมฉลองมงคลนี้อภัยโทษแก่นาง อนุญาตให้นางกลับไปฉลองปีใหม่กับเจ้าสามเถิด”
“จริงเพคะ ไทเฮาตรัสได้ถูกต้อง” พระชายาพานยิ้มแย้ม “คู่สามีภรรยาเพิ่งแต่งงานใหม่ ปีใหม่ของปีแรกก็แยกจากกันเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่ง วันนี้ก็ให้สองคนสามีภรรยากลับไปดื่มด่ำพลอดรักกันสักหน่อยจะเป็นการดีเพียงใด”
ประโยคนี้ทำเอาบรรดาสตรีรอบข้างที่ได้ยินหัวเราะกันไปตามๆ กัน อวิ๋นหว่านชิ่นพลันหน้าร้อนขึ้นมา โชคดีที่มีแต่คนภายใน ซ้ำยังล้วนเป็นเหล่าสตรีทั้งสิ้น
เจี่ยไทเฮาทราบว่าพระชายาพานเป็นคนตรงไปตรงมา เกิดมาก็มีนิสัยเช่นนี้ จึงยิ้มตำหนิว่า “ซู่ผิงปากเจ้านี่นะ ช่างไม่มีขอบเขตอันใดเสียจริง” แล้วมองไปทางฮองเฮา
เจี่ยงฮองเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็วนักว่า “ข้าเห็นว่าพระชายาฉินอ๋องอยู่ที่อารามมาได้เกือบสองเดือนแล้ว ระยะนี้ก็ยังช่วยงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของข้า ช่วยงานน้อยใหญ่ เป็นเด็กดีเชื่อฟัง มานะพยายาม ซ้ำไม่อ้างว่าตนเป็นชายาขององค์ชายแล้วเกี่ยงโยนงาน ตั้งใจรับโทษได้ดีเยี่ยม ไม่เอ่ยปากบ่น จิตใจก้าวหน้าไม่น้อย คุมอารมณ์ตัวเองได้ดี”
โอ๊ะ นี่ช่างเป็นสิ่งที่หาได้ยากกว่าทองคำที่ตกลงมาจากฟ้าเสียอีก นั่นใช่ฮองเฮาแน่หรือ กล่าวชมเสียนางแทบจะจำตัวเองไม่ได้!
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่ดีใจสักนิดที่โดนชมเช่นนี้ ฮองเฮาชื่นชมนางโดยไม่มีแผนการได้หรือไร
เห็นพระชายาพานขยิบตาให้ อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บงำความคิดแล้วขึ้นหน้ากล่าว “ขอบพระทัยฮองเฮาที่เมตตา หม่อมฉันจะไม่ทำผิดซ้ำอีกเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮามองนางด้วยท่าทางของผู้ใหญ่เมตตาผู้น้อยที่ทำผิดในครอบครัว น้ำเสียงอ่อนโยน “ดูท่าแล้วภายหน้าต้องเป็นชายาที่ดี เป็นยอดหญิงอันดับหนึ่งของฉินอ๋องเป็นแน่”
เจี่ยไทเฮาเห็นฮองเฮาโหดร้ายทารุณกับอวิ๋นหว่านชิ่นมาโดยตลอดจึงช่วยตรัสสองสามประโยค “อายุยังน้อย มักจะก้าวร้าวอยู่บ้าง จะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างได้อย่างไร ในเมื่อเด็กคนนี้ได้รับบทเรียนแล้ว ก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานแล้ว ภายหน้าต้องทำตามกฎของวังหลวง เชื่อฟังปฏิบัติตามการปกครองฮองเฮา” แล้วหันมากล่าวกับอวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ใช่หรือไม่” เป็นความหมายให้นางรับปาก นับว่าเป็นการปิดฉากในวันนี้ได้อย่างราบรื่น
อวิ๋นหว่านชิ่นตามน้ำไทเฮาไป “ภายหน้าหม่อมฉันจะปฏิบัติตัวให้ดี ไม่ทำผิดอีกเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮายิ้มมองไทเฮาคราหนึ่ง น้ำเสียงยังคงอ่อนโยน “เสด็จแม่กล่าวได้ถูกต้องเพคะ หม่อมฉันเห็นพระชายายามนี้จัดการเรื่องราวได้เหมาะสมงดงาม เจออุปสรรคหนึ่งครา ได้บทเรียนหนึ่งครา[1] มิใช่เด็กไม่รู้ความอีกต่อไป ถือโอกาสงานเลี้ยงวันนี้ที่เหล่าญาติมารวมตัว อีกทั้งล้วนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น หม่อมฉันก็ได้โอกาสพูดถึงเรื่องนั้นเสียที”
ประโยคนี้จบลง พระชายาพานและสตรีคนอื่นๆ ต่างตะลึง
อวิ๋นหว่านชิ่นคาดเดาได้นานแล้ว รู้ว่าเจี่ยงฮองเฮาไม่มีทางจิตใจดีเช่นนี้ ยามนี้จึงไม่ประหลาดใจอันใด มือพลันกำแน่นใต้แขนเสื้อกว้าง
เนื่องจากไม่กี่วันก่อนเจี่ยไทเฮาจับไข้ จึงอยู่รักษาพระอาการอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงไม่ได้ออกไปไหน ซ้ำไม่ได้ถามไถ่เรื่องราวภายในวังว่าเป็นเช่นไร ยามนี้จึงฉงนขึ้น “ฮองเฮา…จะพูดอันใดหรือ”
“หม่อมฉันได้ปรึกษากับฮ่องเต้มาก่อนหน้านี้แล้วเพคะ จวนฉินอ๋องว่างนัก มีเพียงคนสกุลอวิ๋นแค่คนเดียว ยามนี้ฉินอ๋องไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีผลงานชิ้นใหญ่ หน้าที่การงานเพิ่มขึ้น นับวันยิ่งได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ จะให้คนนอกมาว่าเราตอบแทนเขาได้ไม่ดีไม่ได้เด็ดขาด เพิ่มคนให้วังหลังเสียหน่อย พูดออกไปล้วนฟังดูดี อีกทั้ง” เจี่ยงฮองเฮาหันไปมองอวิ๋นหว่านชิ่น “พระชายาฉินอ๋องอายุก็ยังน้อย ดูแลจวนอ๋องที่กว้างขวางครั้งแรกคนเดียว ประสบการณ์ก็ยังไม่มี ต่อไปหากมีเรื่องมีราวขึ้นอีก หากมีพี่น้องมาช่วยเหลือตักเตือน ไม่เพียงดีต่อจวนอ๋อง ยังมีประโยชน์ต่อนางเองด้วย เช่นนี้การดูแลก็จะตกหล่นได้น้อยแล้ว ที่พระชายาฉินอ๋องรับโทษในครานี้ทำการใดก็น่าจะเห็นส่วนรวมเป็นสำคัญมากขึ้นแล้ว คำแนะนำของข้าจึงไม่ควรปฏิเสธอย่างเด็ดขาด”
เจี่ยไทเฮาคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะปรึกษาเรื่องหาภรรยาให้ฉินอ๋องกันตามลำพัง ยิ่งเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมองอย่างไม่แปลกใจก็รู้ได้ว่านางคงจะได้ยินมาบ้างแล้ว ในใจย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน เพียงแต่ครั้งนี้นางทำผิดจริง ฮองเฮาก็กล่าวได้สมเหตุสมผล นางจึงพูดอะไรไม่ได้
ฮองเฮากล่าวจบ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีปฏิกิริยาอันใดตอบกลับมา แต่เป็นพระชายาพานที่ในใจพลันโกรธแค้น กล่าวชื่นชมอวิ๋นหว่านชิ่นมาครึ่งค่อนวันก็เพื่อให้อวิ๋นหว่านชิ่นจำเป็นต้องยินยอมให้ฉินอ๋องรับสนม? ก่อนหน้าชมนางเสียสูงเสียดฟ้า ว่านางกิริยามารยาทเหมาะสม ซ้ำยังให้นางรับปาก หากยามนี้อวิ๋นหว่านชิ่นต่อต้านหรือปฏิเสธแม้เพียงครึ่งคำ คงได้รับโทษต่อไปอีกแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะโดนเพิ่มโทษเข้าไปให้อีกด้วย สุดท้ายก็จะโดนตราหน้าว่าเป็นชายาไร้คุณธรรมหึงหวงสามี
พระชายาพานเคยได้รับความทุกข์จากการโดนฮ่องเต้พระราชทานสนมให้สวามีมาก่อน จึงเกลียดคนที่ชอบเพิ่มบ้านเล็กบ้านน้อยให้คนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร คำพูดของเจี่ยงฮองเฮากระแทกโดนใจดำของนางเข้าจังๆ จึงอดที่จะสอดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ขอฮองเฮาทรงพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีอีกรอบเถิด”
เจี่ยงฮองเฮายิ้มฉงน พลางกล่าวเสียงเย็นว่า “พิจารณา? พระชายาจิ่งหยางอ๋องข้าไม่ห้ามหากเจ้ามีใจคิดช่วยพระชายาฉินอ๋อง แต่เรื่องการอภิเษกสมรสขององค์ชายนั้น เป็นสิ่งที่เจ้ายื่นมือเข้ามาสอดได้หรือ ข้ากับไทเฮาเคารพเจ้านั่นเพราะว่าเจ้าเป็นพระชายาเอกของจิ่งหยางอ๋อง เจ้าก็ควรปฏิบัติตามมารยาทด้วย”
นี่คือพระชายาพานใช้นิสัยที่อดทนของตนพูดกับนาง หากนางไม่มีน้ำอดน้ำทนล่ะก็ น้ำเสียงก็จะยิ่งแข็งขึ้น ยามนี้ได้ฟังคำฮองเฮาแล้วก็แทบจะระงับไฟโกรธที่แผดเผาใจเอาไว้ไม่อยู่ สะบัดแขนเสื้อ เอียงคอ ขมวดคิ้วกล่าวเสียงต่ำ “สตรีในวังหลังลดลงไปแล้วหรือ ฮองเฮาก็ทรงเป็นถึงพระมเหสีเอก เหตุใดจึงไม่รู้บ้างว่าชายาคนอื่นมีความสุขหรือไม่”
ประโยคนี้จบลง สตรีคนอื่นๆ ก็สีหน้าพลันเปลี่ยน
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบดึงพระชายาพาน
พระชายาพานมองอวิ๋นหว่านชิ่นคราหนึ่ง ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย หากตนไม่ขอความเมตตาแทนนางก็คงไม่ถูกเจี่ยงฮองเฮาใช้โอกาสนี้กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงดึงมือนางออกเป็นความหมายว่าไม่เป็นไร
เจี่ยงฮองเฮาได้ยินคำพูดประชดประชันของพระชายาพาน พระพักตร์ก็แดงก่ำ โกรธกริ้วจนตัวสั่น
เจี่ยงอวี๋ที่อยู่ข้างกายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่มองไปนอกประตูตำหนัก รอให้สาวใช้คนสนิทมากล่าวรายงานคำตอบของหลานเจาซวิ่น เห็นฮองเฮาถูกพระชายาจิ่งหยางอ๋องกวนโทสะจึงดึงสติกลับมา แล้วช่วยพยุงเจี่ยงฮองเฮาไว้ “ฮองเฮาโปรดทรงระงับโทสะเถิดเพคะ”
[1] เจออุปสรรคหนึ่งครา ได้บทเรียนหนึ่งครา ผิดเป็นครู