ตอนที่ 189.2 ฟื้นคืนชีพ (2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เจี่ยไทเฮากลับไม่อยากให้เรื่องตีฝีปากของสตรีมาทำลายความสัมพันธ์ของตนกับพระชายาจิ่งหยางอ๋องลง หากฮองเฮาลงโทษพระชายาพาน ทำให้จิ่งหยางอ๋องไม่พอพระทัย เกิดใจเอนเอียงขึ้นมา ก็จะเป็นความเสียหายของราชวงศ์ ยามนี้แดนเหนือไม่ค่อยสงบนัก สถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวาย จึงเอ่ยปากตรัสขึ้น “ฮองเฮากล่าวเช่นนี้ มีสตรีในใจแล้วหรือ”

เจี่ยงฮองเฮาเห็นไทเฮาตั้งใจจะปกป้องพระชายาพานก็ไม่กล้ากล่าวว่าอะไรนางอีก ก้มหน้าทูลว่า “ทูลเสด็จแม่ หม่อมฉันกับฮ่องเต้ถูกใจบุตรสาวสายตรงของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์หานทงเพคะ อายุอานามก็เหมาะกับฉินอ๋องนัก รู้หนังสือและหลักคุณธรรม หน้าตาสะสวย ทำงานรอบคอบ ซื่อสัตย์สุจริต อ่อนโยนเชื่อฟัง นิสัยเหล่านี้มาช่วยเสริมส่วนที่พระชายาฉินอ๋องขาดได้ดี ซ้ำยังรู้จักกับพระชายาฉินอ๋องดี หม่อมฉันได้ยินมาว่าล่าสัตว์ครั้งนั้นทั้งคู่ดูแลช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี ไปมาหาสู่กันได้ไม่เลว มีพื้นฐานความรู้สึกที่ดีต่อกันเช่นนี้ ภายหน้าคงเข้ากันได้ไม่ยาก อีกทั้งเสด็จแม่คงยังไม่ทราบว่า สิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ เด็กสกุลหานคนนี้ชื่นชมฉินอ๋องมาโดยตลอด ผูกใจไว้กับฉินอ๋อง หลังจากพรหมลิขิตทำให้ได้เจอกันในพิธีล่าสัตว์ครานั้น กลับมาก็ล้มป่วยหนัก กล่าวคำสัตย์ว่าชาตินี้จะแต่งให้เพียงฉินอ๋องผู้เดียวเท่านั้น บนโลกนี้หาสตรีที่ปักใจรักมั่นได้ยากนัก หากองค์ชายสกุลซย่าโหวได้สตรีเช่นนี้มา ช่างเป็นเรื่องน่าสรรเสริญยิ่ง เรียกได้ว่าสะเทือนฟ้าสะเทือนดินกันได้ทีเดียวเพคะ”

ทางฝั่งบรรดาพระญาติต่างยกสุรายินดี ยกดื่มกันอย่างครึกครื้น จนแต่ละคนหน้าแดงหูแดงกันไปหมด

บางส่วนนั้นเริ่มจะเมากันแล้ว ใบหน้าแดงก่ำ หนิงซีฮ่องเต้ก็ทรงดื่มกับหลานชายข้างกาย

ฝ่าบาททรงได้ยินเจี่ยงฮองเฮากล่าวตั้งแต่ต้น เพียงแต่ไม่เอ่ยคำใดออกมา ฟังมาถึงตรงนี้ก็ชำเลืองมองอย่างไม่รู้ตัว ไม่อยากเห็นสายตายินดีของฮองเฮาตรงๆ ได้ยินนางหัวเราะพลางกล่าว “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ตรัสเรื่องการอภิเษกดีหรือไม่เพคะ วันนี้นับว่าเป็นโอกาสที่ดียิ่ง”

หนิงซีฮ่องเต้รู้ว่านางตั้งใจพูดในงานนี้โดยเฉพาะ พระองค์จะได้ลังเลต่อไปอีกไม่ได้ หากไม่พอใจนางก็จะได้ยื่นมือมาสอดได้สะดวก แต่เรื่องนี้ต้องมีข้อสรุปในท้ายที่สุด จะยืดเยื้อต่อไปอีกไม่ได้ ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ขนงขมวดมุ่นตรัสเบาๆ ว่า “เหยาฝูโซ่ว”

เหยาฝูโซ่วทราบว่าฮ่องเต้อยากให้จัดงานแต่งขึ้น จึงรับคำแล้วก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าว เดินลงบันไดหินมา หันกวาดตามองหาฉินอ๋อง สายตาเพิ่งจะเห็นเขา ปากก็ป่าวประกาศเสียงดัง “ฉินอ๋องรับ…”

ได้ยินประโยคนี้ เสียงจอแจในตำหนักก็เบาลง

คำว่า ‘ราชโองการ’ ยังไม่ทันจะออกมาก็ต้องหยุดลง

เหยาฝูโซ่วตกใจไปชั่วแวบหนึ่ง หันไปมองฮ่องเต้คราหนึ่งแล้วรีบลงบันไดมา

ณ ที่นั่งของบรรดาองค์ชาย ฉินอ๋องดื่มจนหน้าเริ่มแดง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม เสื้อคลุมถูกคนรับใช้ถอดออกไปนานแล้ว ยามนี้ไหล่สองข้างเปิดอ้าพิงอยู่ที่เก้าอี้ทั้งสองข้างเป็นท่าแหงนพิง ตาสองข้างฉายแววมึนเมาหรี่ลง

“เหยากงกง” เยี่ยนอ๋องตบหลังพี่สามไปพลาง สงสัยไปพลาง “เสด็จพ่อมีรับสั่งว่าอย่างไรหรือ”

“นี่ เกิดอันใดขึ้นกันพ่ะย่ะค่ะ” เหยาฝูโซ่วถามอย่างตะลึง

เยี่ยนอ๋องทำอะไรไม่ถูก “เหยากงกงก็ทราบว่าพี่สามเป็นคนไม่ดื่มสุราในงานเลี้ยง คอก็ไม่ได้แข็งมากนัก วันนี้อารมณ์ดีนักจึงแหกกฎตัวเองดื่มเยอะไปหน่อยเลยเป็นเช่นนี้ กงกงให้อภัยด้วย”

เหยาฝูโซ่วเห็นท่าทางเมามายของฉินอ๋องอย่างกับโคลนเปียก ปล่อยตัวตามอำเภอใจ แตกต่างจากทุกทีอย่างมาก คาดว่าพยุงก็คงไม่ขึ้น พูดคุยก็เกรงว่าจะพูดอะไรไม่รู้เรื่อง หากบังคับให้ฟังราชโองการต่อ คงได้ทำเรื่องอะไรขายขี้หน้าออกมาแน่ จึงเดินกลับขึ้นไปยังบันไดหิน ถวายรายงานเสียงเบา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฉินอ๋องทรงเมาแล้ว เกรงว่าคงจะรับฟังราชโองการยังมิได้”

พระชายาพานปิดปากขำออกมา

หนิงซีฮ่องเต้รู้ดีว่าเจ้าสามนั่นแกล้งเมา จึงยกแขนเสื้อกำลังจะส่งสัญญาณให้คนพยุงฉินอ๋องไปพักที่ตำหนักด้านข้าง แต่กลับได้ยินเจี่ยงฮองเฮาตรัสเอ่ยขึ้นมาว่า “เมาแล้ว? ให้นางกำนัลบอกห้องเครื่องยกน้ำแกงสร่างเมามาสองสามถ้วยถวายฉินอ๋องดื่ม วันมงคลเช่นนี้ จะมาเมาได้อย่างไร”

อยากจะใช้ความเมามาขัดขวาง? จะไม่สร่างไปได้ตลอดหรือ เขาจะเมาไปได้สักกี่น้ำ! เก่งนักก็เมาให้ตายไปเสีย!

หนิงซีฮ่องเต้เห็นเจี่ยงฮองเฮาบีบบังคับจะเอาให้ได้ ความไม่พอพระทัยก็มากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบานัก “ฮองเฮา” แต่ได้ยินนางขมวดคิ้วกล่าวเสียงเบากลับมาว่า “ฝ่าบาท วันนี้ไม่ได้ วันหน้าก็มี ดูซิว่าจะยืดเยื้อไปได้ถึงเมื่อใด หรือว่าพระองค์เปลี่ยนพระทัยแล้ว รับปากหม่อมฉันแล้วจะกลับคำหรือเพคะ”

หนิงซีฮ่องเต้เห็นน้ำเสียงนางเจือแววขอร้องอย่างหาได้ยากนัก เนตรงามดั่งหงส์คู่นั้นมองมาที่พระองค์ด้วยความหวังล้น พระทัยสั่นไหว จึงไม่ได้แสดงท่าทีอันใดอีก

เจี่ยงฮองเฮานั่งลง กล่าวเสียงเข้ม “ทำไม ยังจะเหม่ออยู่อีก! ไปช่วยพยุงฉินอ๋องสิ!”

เหยาฝูโซ่วเข้าใจทันที จึงสั่งออกไปว่า “ไปห้องเครื่องต้มน้ำแกงสร่างเมามาให้ฉินอ๋อง!”

นางกำนัลรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

เหยาฝูโซ่วเห็นบรรยากาศในตำหนักใหญ่เงียบลงจึงกล่าว “เจ้านายทุกท่านโปรดเชิญต่อ!”

ผู้คนจึงดื่มกินกันต่อ เสียงพูดคุยหัวเราะจึงได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง

เจี่ยงฮองเฮามองบุรุษที่เมามายใบหน้าแดงก่ำผู้นั้นแล้วสรวลเสียงเย็น

ขณะนี้ พระชายาพานที่กลับมานั่งข้างอวิ๋นหว่านชิ่นตั้งนานแล้วความโกรธในใจก็ยังไม่ดับลง เอียงหน้าไปกล่าวข้างหูนางว่า “เจ้าอย่ารีบร้อนไป รออีกหน่อยข้าจะพูดแทนเจ้า…”

อวิ๋นหว่านชิ่นราวกับไม่ได้ฟัง สายตามองที่ข้างๆ ฮองเฮา คนที่คอยปรนนิบัติดูแลเจี่ยงฮองเฮาอยู่ข้างๆ ไม่ห่างนั้นกลับหายไปแล้ว

นางตบมือพระชายาพานเบาๆ แล้วกล่าวเสียงค่อย “ข้าออกไปข้างนอกสักครู่ ประเดี๋ยวจะรีบกลับมา”

พระชายาพานเห็นนางดูเหมือนมีเรื่องสำคัญจึงพยักหน้า “อื้ม ไม่เป็นไร หากมีคนถามข้าจะบอกว่าเจ้าช่วยไปทำธุระให้ข้า”

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวขอบคุณแล้วเดินฝ่าฝูงชนออกมาจากที่นั่งด้านในออกตำหนักเจียสี่ไป

นอกตำหนักนั้น แสงจันทร์เย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็ง เศษประทัดและดอกไม้ไฟแดงที่ยังไม่ได้ถูกทำความสะอาดเกลื่อนกลาดเต็มพื้น

นางมองไปรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่ที่สวนเล็กๆ ข้างตำหนักด้านข้าง

ตรงนั้นไม่มีคนคอยเฝ้า นางค่อยๆ เดินย่องไปอย่างเงียบๆ

เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูสวนก็ได้ยินเสียงสตรีลอยออกมาจากกำแพงด้านนั้นเบาๆ น้ำเสียงดูรีบร้อน “ทำไม หลานเจาซวิ่นยังยืนกรานไม่ยอมมาหรือ นางคงไม่อยากให้ลูกชายมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง”

เป็นเสียงของเจี่ยงอวี๋

“หลานเจาซวิ่นร้องไห้โวยวาย ยืนยันจะขอเห็นหน้าพระนัดดาน้อยก่อนเพคะ พระชายารองก็ทราบดี ในตอนที่ท่านอุ้มไปวันนั้น พระนัดดาน้อยมีไข้อยู่เล็กน้อย ซ้ำยังไอหนัก ผ่านไปหลายวันเช่นนี้หลานเจาซวิ่นไม่ได้พบหน้าลูก ไม่ทราบว่าอาการป่วยของลูกเป็นเช่นใดแล้ว จะกังวลก็คงมิแปลก แต่… แต่ก็ไม่ควรให้นางเจอพระนัดดาน้อยนะเพคะ หากได้มาเห็นว่า…พระนัดดาน้อยอาการย่ำแย่ เกรงว่าหลานเจาซวิ่นคงได้เสียสติแน่ ทีนี้จะช่วยพระสนมจัดการเรื่องราวได้อย่างไร” สาวใช้กล่าวด้วยความกังวล

เด็กทารกนั้นถูกซ่อนไว้ที่ห้องมืดเล็กๆ หลังเรือนของเจี่ยงอวี๋หลายวัน เพราะกลัวใครมาเห็นเข้าจะตกใจ หน้าต่างประตูปิดไว้แน่น อากาศไม่ถ่ายเท ให้สาวใช้คนสนิทป้อนแค่นมแพะเล็กน้อย อาการจะไม่หนักขึ้นได้อย่างไร

เจี่ยงอวี๋คิดเพียงแต่จะใช้ทารกคนนี้มาบีบบังคับหลานเจาซวิ่น แต่กลับนึกไม่ถึงว่าแค่ไม่กี่วันนี้เด็กจะอดทนไม่ไหว ยามนี้จะกล้าเชิญหมอหลวงมาดูได้อย่างไร นางทั้งโกรธทั้งรีบอย่างหมดหนทางอยู่ครู่หนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงได้ยินดังนั้นก็ตกอกตกใจยกใหญ่ เจี่ยงอวี๋เอาลูกชายของหลานเจาซวิ่นไป แม้ว่าเรื่องนี้จะปิดบังฮ่องเต้และฮองเฮาได้ แต่จะปิดบังไท่จื่อแห่งตงกงได้หรือ ยกเว้นก็แต่ไท่จื่อจะทรงปล่อยให้เจี่ยงอวี๋อุ้มเอาเด็กไป…เพราะอยากจะให้เจี่ยงอวี๋ยืมมือหลานเจาซวิ่นมาโจมตีฮองเฮา

ไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองมากนัก นางเดินออกจากหลังประตูเข้าไปทันที