ตอนที่ 9 เนี่ยเถิง

“เหวินเสวี่ย วันเกิดนี้เจ้าไม่อยู่กับพ่อแม่ที่บ้านหรือ?”

ในระหว่างทางไปสู่ภัตตาคารรวมเซียนนั้น ซูอี้ก็ถามตามปกติ

“ข้าอายุสิบหกแล้ว ในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของข้า ข้าก็ย่อมตัดสินใจเองได้”

เด็กสาวที่อยู่ด้านข้างเขากะพริบดวงตาอันงดงาม และพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่อย่างไร ตอนเย็นข้าก็จะไปอยู่กับท่านพ่อและท่านแม่อยู่ดี”

หลังจากที่หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดต่อ “อีกอย่างหนึ่ง วันมะรืนนี้ก็จะเป็นวันเกิดปีที่แปดสิบของท่านย่าข้าด้วย เป็นงานใหญ่เลยทีเดียว ท่านพ่อกับท่านแม่ และคนอื่นในตระกูลต่างก็ยุ่งเพราะเรื่องนี้ พวกเขาจะมีเวลามาสนใจข้าได้อย่างไร”

ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อยและพยักหน้า

ย่าของเหวินหลิงเสวี่ย คือแม่เฒ่าเหลียงเวินปี้ นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเหวิน ตำแหน่งของนางในสกุลเหวินนั้นเป็นที่น่าเกรงขาม กระทั่งผู้นำตระกูลเช่นเหวินฉางจิ้งยังไม่กล้าขัดใจนาง

ในวันเกิดปีที่แปดสิบของนาง คนในตระกูลเหวินย่อมไม่กล้าละเลย

“ท่านพี่เขย เรารีบเร่งฝีเท้ากันเถอะ ตอนนี้เที่ยงวันแล้ว” เหวินหลิงเสวี่ยหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด

“เอาสิ” ซูอี้ยิ้มและตามไป

อย่างไรน้องสาวของเขาก็อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น

รูปโฉมงดงาม อยู่ในวัยเริงร่าไร้เดียงสา

ภัตตาคารรวมเซียน

ภัตตาคารที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในเมืองกว่างหลิง พูดได้ว่าเป็นที่หนึ่งของเมืองกว่างหลิงนี้

คนที่เข้าออกภัตตาคารแห่งนี้ ต่างเป็นผู้ดีมีสกุล

มีเรื่องขำขันที่ว่าแก้วสุราในภัตตาคารรวมเซียน มีมูลค่าขนาดช่วยครอบครัวอนาถาได้เป็นสิบปี!

…และเรื่องที่ว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแม้แต่น้อย!!

เมื่อซูอี้และเหวินหลิงเสวี่ยมาถึง พวกเขาก็ถูกบริกรภัตตาคารนำไปอย่างอบอุ่นด้วยความเคารพ พาไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสามที่แต่งกลิ่นอบอวลด้วยเครื่องหอมแบบโบราณ

ในห้องส่วนตัวนั้นมีคนราวเจ็ดแปดคน นอกเสียจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คนที่เหลือล้วนเป็นสตรีอายุราวสิบห้าสิบหกทั้งสิ้น

เมื่อเหวินหลิงเสวี่ยมาถึง นางก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทันที

“หลิงเสวี่ย วันนี้เจ้าสวยมาก นี่คือของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษ ข้าขออวยพรให้เจ้าเข้าสำนักดาบชิงเหอได้ก่อนวัย!”

“ฮิฮิ ถ้าเหล่าสหายร่วมชั้นของเรารู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของโฉมงามอันดับหนึ่งในสำนักดาบซ่งอวิ๋นล่ะก็ ข้าเกรงว่าพวกเขาทั้งหมดคงจะรีบเข้ามาต่อแถวมอบของขวัญให้กับเจ้า”

…บรรดาหญิงงามกำลังพูดคุยกับเหวินหลิงเสวี่ย ในขณะที่มอบของขวัญที่ตนเองได้เตรียมมาให้นาง

ซูอี้ชำเลืองดูภาพที่เกิดขึ้น และเห็นความเป็นไปในแง่ที่แตกต่าง

เหวินหลิงเสวี่ยกับสหายร่วมชั้นกลุ่มนี้เเต่งกายเเบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เห็นได้ชัดว่าพวกนางมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา และมาจากตระกูลที่สำคัญไม่ใช่น้อย

บ้างก็ร่าเริงและใจกว้าง บ้างก็อ่อนโยนและช่างเก็บตัว บ้างก็ดูกล้าหาญ… อีกทั้งรูปลักษณ์และอุปนิสัยของพวกนางก็ดีมากเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เสื้อผ้าของเหวินหลิงเสวี่ยในวันนี้อาจสวยและดูแพรวพราวมากเกินไปหน่อย

เมื่อหญิงสหายร่วมชั้นเหล่านี้กำลังคุยกับเหวินหลิงเสวี่ย พวกนางต่างก็ลอบแสดงอาการอิจฉาตาร้อนซึ่งไม่อาจหาได้ง่าย ๆ

แม้พวกนางจะปกปิดอาการนี้ไว้อย่างดี แต่ก็ไม่อาจพ้นจากสายตาของซูอี้ได้

เขาอดขบขันไม่ได้ มิตรภาพระหว่างหญิงงามเหล่านี้แม้จะดูสนิทสนมดี แต่ความจริงแล้วพวกนางต่างก็เก็บซ่อนความคิดของตัวเองไว้

เดชะบุญที่สิ่งนี้มิได้เป็นพิษภัยแต่อย่างใด

“เนี่ยเถิง เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?” เหวินหลิงเสวี่ยรีบชายตาไปยังเด็กหนุ่มคนเดียวในห้อง พลางคิ้วยับย่นลงเล็กน้อย การแสดงออกของนางดูเย็นชาขึ้นมาก

บรรยากาศที่ครึกครื้นพลันรู้สึกกร่อยลงไป

เด็กหนุ่มผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนราวกับหยก คิ้วคมเหมือนดาบ ตาเป็นประกายดังดวงดาว ลักษณะดูมีภูมิฐานยิ่งนัก

เขายกยิ้มก่อนก้าวมาด้านหน้าแล้วพูด “หลิงเสวี่ย วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า นี่เป็นของเล็กๆ น้อย ๆ จากข้า ได้โปรดรับไว้ด้วย”

เขาหยิบกล่องสมบัติที่ฝังประดับด้วยทองและหยกในมือทั้งสองข้าง ก่อนจะเปิดออกอย่างเบามือ

ปิ่นหยกสีม่วงอ่อนอันหนึ่งปรากฏแก่สายตาของทุกคน

ปิ่นหยกอันนี้ใช้วิธีอันละเอียดประณีตในการแกะสลักเป็นรูปนกหลวนที่กำลังกระพือปีก มันประณีตมากจนดูราวกับมีชีวิต มองปราดเดียวก็เห็นว่านี่เป็นผลงานจากช่างยอดฝีมือ

“ปิ่นนกหลวนม่วงทะยานนภา! นี่เป็นผลงานอันแสนภูมิใจของปรมาจารย์โม่จากเขตปกครองอวิ๋นเหอ ว่ากันว่าวัสดุนี้เป็นชิ้นส่วนของหยกวิญญาณเยือกแข็งสีม่วงในธรรมชาติ แค่เฉพาะตัวก้อนหยกอย่างเดียวก็มีราคาถึงสามร้อยตำลึงเงิน!”

“และหลังจากถูกแกะสลักโดยฝีมือของปรมาจารย์โม่ มูลค่าของปิ่นหยกนี้ ก็แพงถึงหนึ่งพันตำลึงเงิน”

บรรดาเด็กสาวที่อยู่ในห้องดวงตาพลันเป็นประกาย หลังจากรู้ที่มาของปิ่นปักผมอันนี้แล้ว

“นี่… มันจะไม่แพงเกินไปหรือ?” เด็กสาวที่มีชาติตระกูลดีบางคนอดที่จะเดาะลิ้นตัวเองไม่ได้ และนึกฉงนกับความใจป้ำของเนี่ยเถิง

เนี่ยเถิงพึงพอใจกับผลเช่นนี้มาก ก่อนยิ้มจาง ๆ และพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “หลิงเสวี่ย เจ้าชอบหรือเปล่า? ข้าเตรียมให้เจ้าเป็นพิเศษเลยนะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเด็กสาวที่อยู่รอบ ๆ เขาก็เปลี่ยนไป และพวกนางก็อดไม่ได้ที่จะริษยาเหวินหลิงเสวี่ย

เนี่ยเถิง บุตรชายคนโตของเนี่ยเป๋ยหู่ผู้บัญชาการกองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง เขาเป็นบุรุษที่เก่งกล้าสามารถ รูปโฉมงดงามราวต้นหยกลู่ลม

เขามีอายุเพียงสิบหกปี และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักดาบซ่งอวิ๋น และมักจะได้รับการชื่นชมจากสหายร่วมสำนักรุ่นหนุ่มสาวอีกหลายคน

คนมีความสามารถเช่นเขาใช้เงินจำนวนมากในการแสดง ‘น้ำใจ’ ผ่านของขวัญปิ่นหยกชิ้นนี้ นี่ถือเป็นสิ่งที่รักษาหน้าฝ่ายหญิงเป็นอย่างมาก

ผู้ใดบ้างที่ไม่อยากให้เหตุเช่นนี้เกิดขึ้นกับตนเอง?

กระนั้นคิ้วของเหวินหลิงเสวี่ยกลับยับย่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และท่าทีการแสดงออกของเด็กสาวก็เฉยชามากขึ้น นางกล่าวว่า “ของขวัญชิ้นนี้สูงค่าเกินไป เจ้าเอากลับไปเถอะ”

ท่าทีของเนี่ยเถิงหยุดชะงัก ความอับอายปรากฏขึ้นผ่านคิ้วของเขา

และก่อนที่เขาจะทันพูด เหวินหลิงเสวี่ยก็ได้กล่าวทักทายขอให้ทุกคนนั่งลง และเจาะจงให้ซูอี้นั่งข้างตนเอง

ตั้งแต่ต้นจนจบนั้น เนี่ยเถิงถูกเมินเฉยโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี เมื่อเห็นเนี่ยเถิงตกอยู่ในสถานการณ์น่าขายหน้า เหล่าหญิงงามบางคนกลับทนไม่ได้ ดังนั้นพวกนางจึงกล่าวทักทายเนี่ยเถิงเพื่อชักชวนให้นั่งลงด้วย

เนี่ยเถิงรีบเปลี่ยนอารมณ์และนั่งลงพร้อมรอยยิ้ม ราวกับว่าเขาได้ลืมเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเผลอชำเลืองไปยังซูอี้ที่นั่งด้านข้างเหวินหลิงเสวี่ย เขาพลันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเนี่ยเถิงหรือเด็กสาวคนอื่น ๆ พวกเขาต่างก็สงสัยว่าเหตุใดเหวินหลิงเสวี่ยจึงพาซูอี้มาในงานเลี้ยงนี้

อย่างไรก็ตามด้วยฐานะที่เหวินหลิงเสวี่ยเป็นเจ้าของวันเกิด พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไร

ตั้งแต่แรกจนบัดนี้นั้น ไม่มีผู้ใดมีปฏิสัมพันธ์กับซูอี้เลย และคงไม่ต้องกล่าวถึงการทักทายและแสดงไมตรีจิต

หากไม่ใช่เพราะเหวินหลิงเสวี่ย พวกนางก็คงไม่เต็มใจจะนั่งร่วมห้องกับซูอี้

ผู้ใดเล่าอยากจะสานสัมพันธ์กับบุตรเขยที่ทุกคนหยามเหยียด?

แม้ซูอี้จะนั่งอยู่ที่นั่น แต่ก็ถูกเมินเฉย และถูกมองข้ามราวกับเป็นอากาศธาตุ

“ท่านพี่เขยไม่ต้องกังวล แม้พวกนางจะเมินเฉยต่อท่าน แต่ข้าจะคอยดูแลท่านเอง ท่านอย่าได้เก็บใส่ใจเลย” เหวินหลิงเสวี่ยฉวยโอกาสขณะที่ทุกคนกำลังนั่งลง เข้ากระซิบข้างหูของซูอี้

ลมหายใจของเด็กสาวแผ่วเบานุ่มนวลราวกับบุปผชาติ ดวงตานางเป็นประกายเหมือนน้ำ ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยสีสันละมุนตา

ทำเอาซูอี้เคลิบเคลิ้ม

จิตของเขาราวกับกำลังเกิดใหม่ แล้วเขาจะสนใจเรื่องไร้สาระอื่นได้อย่างไรอีก?

ไม่นานนักเหล่าสาวใช้แสนสวยก็เข้ามา พร้อมกับยกอาหารอันโอชะซึ่งล้วนแต่เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง

เหวินหลิงเสวี่ยนึกสงสัย “ข้าไม่ได้สั่งอาหารมากมายขนาดนี้นี่?”

เนี่ยเถิงรู้สึกชื่นบานก่อนพูดด้วยเสียงอันดังว่า “หลิงเสวี่ย วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า จะให้เจ้าเป็นคนออกเงินได้อย่างไร? ให้ค่าใช้จ่ายในภัตตาคารรวมเซียนวันนี้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”

เขาชำเลืองมองเด็กสาวคนอื่น ๆ และกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “วันนี้ทุกคนโปรดกินดื่มกันให้อิ่มหนำสำราญ เช่นนั้นก็จะเป็นคำอวยพรอันประเสริฐแก่หลิงเสวี่ย”

หญิงงามทุกคนพากันหัวเราะร่า

แม้พวกนางจะมาจากภูมิหลังอันสูงส่ง แต่พวกนางก็ไม่มีโอกาสมากนักในการมาดื่มกินใน ‘แหล่งละลายทรัพย์’ อย่างภัตตาคารรวมเซียนได้

เหวินหลิงเสวี่ยรู้สึกลำบากใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “วันนี้เจ้าใช้เงินไปเท่าไหร่ เดี๋ยวข้าจะคืนเงินให้เจ้าวันหลัง”

เนี่ยเถิงยิ้มและพูด “เหวินเสวี่ย เจ้าอย่าได้เกรงใจเลย มันก็แค่มื้ออาหารเท่านั้น หากเจ้าคิดจะใช้คืนข้าจริง ๆ ข้าคงถูกมิตรสหายในสำนักดาบซ่งอวิ๋นดูแคลนเอาแน่”

เด็กสาวหลายคนหัวเราะเห็นดีด้วย พวกนางพยายามเกลี้ยกล่อมเหวินหลิงเสวี่ยว่าอย่าได้สนใจเรื่องนี้มากนัก

เหวินหลิงเสวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จนที่สุดนางก็ไม่พูดอะไร

อย่างไรก็ดี นางกระซิบเบา ๆ ข้างหูของซูอี้ “ชายคนนี้ก็เป็นเช่นนี้แหละ ชอบทำตัวให้เป็นที่โดดเด่นยามที่อยู่ในสำนักดาบซ่งอวิ๋น คนเช่นนี้คือแบบที่ทำให้ข้ารำคาญมากที่สุด ไร้สาระสิ้นดี!”

“อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เชิญเขามางานเลี้ยงนี้ด้วย เขามาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาช่างหน้าด้านจริง ๆ !”

ซูอี้ยิ้ม

ก็แค่เรื่องไร้สาระ ปัญหาทั่วไปของคนหนุ่มสาว มันไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น

ในขณะนี้ เนี่ยเถิงก็หันมาทันที

เขาไม่ได้ยินสิ่งที่เหวินหลิงเสวี่ยบอกกับซูอี้ในก่อนหน้านี้เลย

แต่เขากลับเห็นความสนิทสนมของเหวินหลิงเสวี่ย โดยดูจากริมฝีปากสีชมพูที่กระซิบข้างหูของซูอี้!

สิ่งนี้ทำให้รอยยิ้มของเด็กหนุ่มหุบลง ความหึงหวงอันยากจะควบคุมผุดขึ้นมาในใจ เขาอยากจะลุกขึ้นและเข้าไปทุบตีซูอี้อย่างแรง และโยนอีกฝ่ายให้หายไปจากสายตาของตนในทันที

เขาระงับความรู้สึกเกลียดชังเอาไว้ในใจก่อนที่จะแสร้งเป็นผ่อนคลาย และพูดด้วยความสงสัย

“ซูอี้ เจ้าเป็นพี่เขยของหลิงเสวี่ย และไหน ๆ เจ้าก็ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย ข้าเลยสงสัยว่าครั้งนี้เจ้าจะมอบของสิ่งไหนให้เป็นของขวัญแก่หลิงเสวี่ยหรือ?”

ริมฝีปากของซูอี้ปรากฏแนวโค้งจาง ๆ

อีกฝ่ายเป็นคนอย่างไรนั้น เพียงมองปราดตาเดียวก็เห็นอย่างชัดเจนว่าเด็กหนุ่มอีกฝั่งคนนี้ดูไม่พอใจ และคิดจะมีเรื่องกับเขา!

แน่นอนว่าในสายตาของคนอื่น ทุกคนต่างมองด้วยท่าทีที่ต่างกัน ทว่าทุกคนต่างเดาไปว่าเนี่ยเถิงมีความคิดที่จะประชันกับซูอี้

เนี่ยเถิงอาจใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้ซูอี้ขายหน้า

และเมื่อพินิจดูแล้ว บุตรเขยขยะผู้นี้มีคุณสมบัติอะไรที่จะมานั่งกับคนอย่างพวกเขา?

ทำให้ตัวเองขายหน้าอย่างไม่รู้ตัวโดยแท้!

“เนี่ยเถิงผู้นี้น่ารำคาญเสียจริง!”

เหวินหลิงเสวี่ยมีน้ำโหเล็กน้อย นางรู้ว่าซูอี้ลืมวันเกิดของตนเอง ดังนั้นเขาจะไปเตรียมของขวัญได้อย่างไร?

อย่างไรก็ดี ตอนนี้เนี่ยเถิงดันหยิบกาที่น้ำยังไม่ทันเดือดเสียได้*[1]!

แต่ก่อนที่เหวินหลิงเสวี่ยจะทันพูด ซูอี้กลับเอ่ยขอโทษเสียก่อน

“คราวนี้ด้วยธุระต่าง ๆ ที่ข้าหมกมุ่น ข้าจึงเผลอลืมวันเกิดของหลิงเสวี่ยจนไม่มีเวลาได้เตรียมของขวัญล่วงหน้า แต่ข้าจะชดเชยให้นางทีหลังเมื่อกลับถึงจวนคืนนี้”

ขณะที่พูด เขาก็หันไปทางเหวินหลิงเสวี่ย

ด้วยที่ประโยคดังกล่าวตั้งใจจะพูดเพื่อเหวินหลิงเสวี่ย เขาจึงไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร

เหวินหลิงเสวี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง นางเม้มริมฝีปากสีชมพูเล็กน้อย หัวใจรู้สึกเปี่ยมสุขอย่างอธิบายไม่ได้ ท่านพี่เขย… เขายังใส่ใจวันเกิดของข้า!

อืม เขาแค่ยุ่งเกินไปจนเผลอลืมชั่วขณะเท่านั้น

พอคิดดังนี้แล้ว ดวงตาและริมฝีปากของนางก็ค่อย ๆ ผุดรอยยิ้มอย่างแช่มช้า

“ดังนั้นก็เลยไม่ได้เตรียมของขวัญ…”

ครั้งนี้เนี่ยเถิงผู้มีใจริษยาก็ได้โอกาสระบายโทสะ และอดกล่าวถากถางไม่ได้ “เสียแรงที่หลิงเสวี่ยใจดีกับพี่เขยอย่างเจ้า ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะลืมกระทั่งวันเกิดของนาง!”

เด็กสาวคนอื่นในห้องเองก็ส่ายหัวเช่นกัน

ว่าง่าย ๆ ซูอี้เป็นดั่งโคลนที่ไม่อาจค้ำจุนกำแพงได้

เมื่อคิดในทางกลับกัน เขาก็เป็นเพียงบุตรเขยที่อยู่กินอย่างเสียข้าวสุกในบ้านตระกูลเหวิน ดังนั้นเขาจะเอาปัญญาจากไหนมาหาของขวัญได้?

ซูอี้ไม่มีทางจะหาของขวัญที่เทียบเทียมได้กับปิ่นหลวนหยกสีม่วงของศิษย์พี่เนี่ยเถิงได้หรอก!

ไม่อาจรู้จริง ๆ ว่าเหตุใดเหวินหลิงเสวี่ยจึงสนใจพี่เขยของตัวเองอย่างมาก

เด็กสาวหลายคนต่างงงงวยกับเรื่องนี้มาก และพวกนางก็นึกดูถูกซูอี้ในใจมากขึ้น

เมื่อเห็นเหตุทุกอย่างแล้ว เนี่ยเถิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เขาคิดจะฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน และเหยียบเท้าซูอี้อย่างแรง แต่ทันใดนั้น!

ปัง!

ประตูห้องส่วนตัวที่ปิดอยู่กลับถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน!

[1] หยิบกาที่น้ำยังไม่ทันเดือด หมายถึง พูดในประเด็นที่ไม่ควรเอามาพูด