บทที่ 267.2 ดาบโบราณหมื่นปีในใจที่ถูกเกลาจนเสียหาย โดย ProjectZyphon
เด็กหนุ่มชุดไม้ไผ่มองประเมินเฉินผิงอันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ส่วนเฉินผิงอันคิดว่าเมื่อไหร่เด็กหนุ่มจะกลับไปสักที
หญิงชราเป็นคนทำลายความเงียบ “ก่อนหน้านี้ที่เจียวชั่วสีทองออกกระบี่ต่อเจ้าสองครั้ง ครั้งแรกอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคนเกินไป ส่วนครั้งหลังต่อให้เป็นข้าก็ยังขวางไว้ไม่อยู่ เว้นเสียแต่ว่าข้าจะทุ่มสุดชีวิต แต่ออกจากบ้านครานี้ ข้าจำเป็นต้องดูแลนายน้อยของตัวเองให้ดี ดังนั้นเรื่องครั้งนี้นายน้อยต้องเอ่ยขอบคุณเจ้า ส่วนหญิงชราที่ไร้ประโยชน์อย่างข้าก็ต้องเอ่ยขออภัยเจ้า”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกมือกุมประสาน “น้ำใจครั้งนี้ ข้ารับไว้แล้ว!”
หญิงชราผงกศีรษะ คลี่ยิ้มบางๆ “คุณชายมีคุณธรรม วันหน้าหากไปเยือนธวัลทวีป ต้องมาเป็นแขกที่ตระกูลหลิวของเราให้ได้”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
หญิงชราจึงพาเด็กหนุ่มแซ่หลิวที่สวมชุดไม้ไผ่ ‘หลีกเลี่ยงความร้อน’ บอกลาจากไป
คนทั้งสองเดินสวนไหล่กับหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง พอนางประสานสายตากับเฉินผิงอันก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยังดีที่หญิงสาวหมุนกายจากไปเสียก่อน
เฉินผิงอันถึงได้เดินกลับไปที่ลานบ้าน แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดเดิน หันไปมองแม่นางกุ้ยฮวาที่มีท่าทางกระวนกระวายแล้วยิ้มบางๆ พูดกับนางว่า “รบกวนแม่นางหน่อย หากหลังจากนี้มีคนมาพบข้า แม่นางช่วยขวางไว้ให้ข้าด้วย”
แม่นางกุ้ยฮวาพยักหน้ารับอย่างแรง
สองวันต่อมา เฉินผิงอันไม่ได้ฝึกวิชาหมัดหรือฝึกกระบี่อย่างหาได้ยาก เขาเอาแต่เปิดตำราและแผ่นไม้ไผ่ทั้งหลาย นั่งอาบแดดอ่านเนื้อหาที่อยู่ด้านใน
กลางดึกคืนหนึ่ง เฉินผิงอันที่นอนอยู่บนเตียงแล้วลืมตา ลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้อง กระโดดขึ้นไปบนหลังคา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับไป จากนั้นไม่นานเงาร่างหนึ่งก็พุ่งมานั่งลงข้างกายเขา ในมือของแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้หิ้วเหล้าหมักเก่าแก่มาด้วยสองไห
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ “ท่านผู้อาวุโส หาเพื่อนดื่มหรือ?”
เขาก็คือคนพายเรือเฒ่าที่ต่อสู้กับเจียวเฒ่าชุดทองอย่างห้าวหาญแม้ตายก็ไม่ยอมถอย
ผู้เฒ่าที่ใช้สถานะคนพายเรือปกปิดตัวตนแท้จริงมาโดยตลอดหัวเราะเสียงดังกังวาน “ทำไม รังเกียจที่คนแก่อย่างข้าสกปรกมอซอรึ?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ใช่เสียเมื่อไหร่”
ผู้เฒ่าแกะผนึกดินของไหเหล้าออก แหงนหน้ากรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่แล้วก็เงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อผ่านหายนะครั้งนี้ บนเกาะกุ้ยฮวาก็คล้ายบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่เดิมทีมีปลาและมังกรปะปนกัน ซึ่งโดยรวมแล้วยังพอจะถือว่ามีระเบียบอยู่บ้าง ต่างฝ่ายต่างไม่รบกวนกัน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าถูกไม้พายกวนไปรอบหนึ่งเลยเปลี่ยนมาเป็นขุ่นคลั่กสกปรก ระยะเวลาช่วงนี้เจ้าอาศัยอยู่ในเรือนเล็กถือว่าถูกแล้ว ระวังตัวไว้เป็นการดี แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้แค่ว่าเจ้าคือคนที่ขัดขวางเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้น อีกทั้งยังทำให้ร่องน้ำเจียวหลงสงบลง แต่ข้าก็ยังจะพูดประโยคที่ไม่น่าฟังประโยคหนึ่ง ข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างจนใจ “แล้วนับประสาอะไรกับที่การฝึกตนบนมหามรรคา ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด คนที่มองไม่เห็นทิวทัศน์นั้นมีไม่น้อยเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ “ก็เหมือนกับเพื่อนบ้านที่เห็นคนอื่นมีเงินไม่ได้ เห็นเมื่อไหร่จะต้องอิจฉาตาร้อน ที่จริงแล้วนี่ก็หลักการเดียวกัน ”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกาะกุ้ยฮวาคืออะไรกันแน่ ผู้อาวุโสพูดได้ไหม?”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ทำไมจะพูดไม่ได้เล่า อันที่จริงมันก็คือร่างจริงของกุ้ยฮูหยิน”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาคืออะไร?”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “คนบนภูเขา ผู้ฝึกลมปราณ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เกาะกุ้ยฮวาคือเรือข้ามฟากลำหนึ่ง ผู้ที่โดยสารเรือมาจะเป็นคนแบบไหน ย่อมเป็นคนทำการค้า”
เฉินผิงอันอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “คนทำการค้าขึ้นเหนือล่องใต้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร?”
คราวนี้เฉินผิงอันตอบเร็วมาก “หาเงิน”
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าอย่างเนิบช้าสบายอารมณ์ “แล้วหาเงินมาเพื่ออะไร?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ใช้เงิน”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ใช่แล้ว หาเงินมาอย่างยากลำบากก็เพื่อใช้เงินซื้อความสุข ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อได้ใช้เงินด้วย ผู้ฝึกลมปราณ เมธีร้อยสำนักใต้หล้า เหตุใดถึงได้มากมายเพียงนี้…”
เฉินผิงอันเกาหัวด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเริ่มดื่มเหล้า คราวนี้เขาดื่มเยอะแถมยังดื่มเร็ว ถือโอกาสทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนแผ่อยู่บนหลังคาอย่างสบายตัว “ผู้อาวุโส ข้าอยากจะพูดความในใจให้ท่านฟังสักหน่อย ท่านอย่าเอาไปบอกใครได้หรือไม่? อีกอย่างหากข้าพูดไป ท่านฟังแล้วอาจจะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีอะไร…”
ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิ โน้มตัวไปด้านหน้า มือทั้งคู่แกว่งไหเหล้า เหล้าข้างในที่ยังเหลืออยู่ครึ่งไหส่งเสียงดังจ๊อกๆๆ ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “พูดมาได้เลย ดื่มเหล้าแล้วไม่พูดถ้อยคำที่สุรากระตุ้นให้อยากพูดคงไม่เข้าท่านัก แบบนั้นจะยังดื่มเหล้าไปทำไม? ไอ้หนู อย่าเห็นว่าข้าอายุมากกว่าเจ้าจนนับได้ไม่ถ้วน อันที่จริงข้าน่ะทึ่มทื่อ กล้าหาญอย่างโง่งม อีกอย่าง มีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้ ที่อดทนมาก็เพราะอยากพบหน้าอาจารย์อีกสักครั้ง หาไม่ข้าก็คงยืนหยัดมาไม่ถึงวันนี้นานแล้ว อีกอย่างเรื่องบางเรื่อง เจ้าพูดหรือไม่พูด อันที่จริงความต่างไม่ค่อยมากนัก ตอนนั้นข้าก็อยู่ข้างกายเจ้า ได้ยินทุกอย่างชัดเจน ที่มานี่ก็ไม่ใช่เพื่อจะมอมเหล้าหลอกถามเจ้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ท้องฟ้า “เมื่อก่อนข้าเจอนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่บ้านเกิด ตอนนั้นความสัมพันธ์ยังดีอยู่ เขาก็คือลู่เฉินนั่นแหละ ในศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ เขาเล่นงานข้าสองครั้ง แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามครั้ง ข้าจะเล่าแค่สองครั้งที่ข้าแน่ใจ ครั้งหนึ่งคือตอนที่ข้า ‘ได้รับคำอวยพรจนจิตใจเปิดกว้าง’ เขียนสองคำว่าเทพพิรุณไม่ออก จึงตัดสินใจเขียนคำว่าลู่เฉินซะเลย ครั้งที่สองคือตอนที่ข้าเผชิญกับเจียวเฒ่าสีทองเพียงลำพังสองต่อสอง ตอนนั้นข้า…”
เฉินผิงอันเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาวางตรงท้อง มือทั้งคู่รองใต้ศีรษะต่างหมอน “ความรู้สึกนั้นประหลาดมาก ราวกับว่าข้าล้วนมองเห็นและได้ยินสภาพจิตใจ ทะเลสาบในหัวใจและเสียงในหัวใจของทุกคน ก็เหมือนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสบอกข้าก่อนหน้านี้ ข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น ตอนนั้นข้าค้นพบว่าผู้โดยสารบนเกาะกุ้ยฮวาแปดเก้าในสิบส่วนรู้สึกเฉยชาไม่ยี่หระ บ้างก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หรือบางคนยังถึงขั้นอยากให้ข้าตายคาที่ด้วยซ้ำ แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่อิจฉาริษยา…ก่อนหน้านี้ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ท่านผู้อาวุโสบอกว่า ที่นี่คือเกาะกุ้ยฮวา ทุกคนล้วนเป็นคนทำการค้า อีกทั้งทุกคนยังอยากมีชีวิตอยู่ ข้าลองกลับไปย้อนนึกดู ก็ถูกนี่นะ ข้าโตมาจนป่านนี้ก็ด้วยความคิดที่ว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ถึงได้เดินมาจนถึงวันนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน “ข้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาคือมือกระบี่ ร้ายกาจมากเลยล่ะ ลู่เฉินเล่นงานข้า ข้าก็เลยผลักเขาลงหลุมกลับคืน จงใจบอกให้เขานำคำสั่งเสียสุดท้ายของข้าไปบอกต่อสหายคนนั้น หากลู่เฉินไม่คิดรักษาหน้าตาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของข้า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องฝืนใจนำคำพูดของข้าไปบอก จากนั้นก็จะถูกเพื่อนของข้าอัดรอบหนึ่ง พอคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ ตอนนั้นข้าเลยไม่ได้รู้สึกกลัวตายสักเท่าไหร่”
เรื่องบางเรื่อง สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดออกมา
เพราะเกี่ยวพันไปถึงอาจารย์ฉี
ไม่ว่าอย่างไร อาจารย์ฉีก็ไม่ต้องการให้เขาผิดหวังต่อโลกใบนี้
ทว่าตอนนั้นเฉินผิงอันมีเพียงความรู้สึกผิดหวังต่อโลกใบนี้
และเกรงว่านี่ก็คือแผนการที่แท้จริงของลู่เฉิน ส่วนรายละเอียดที่ว่ามันเกี่ยวพันไปถึงเรื่องใด เฉินผิงอันมีเพียงลางสังหรณ์ที่พร่าเลือนเท่านั้น
เวลานี้นอนอยู่บนหลังคา สุดท้ายเฉินผิงอันพูดเพียงแค่ว่า “จะให้ไม่รู้สึกผิดหวังต่อโลกใบนี้เสียเลย ช่างยากยิ่งนัก”
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าเรียกชื่อของเจ้าลัทธิเต๋าออกมาตรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังมีเพื่อนคนนั้นของเจ้าที่สามารถอัดเขาได้…ความตกตะลึงในใจของข้าผู้เฒ่า ข้าคงไม่พูดให้เจ้าฟังแล้ว จะดีจะชั่วในอดีตข้าก็เคยเป็นเทพเซียนพสุธาคนหนึ่ง ยังต้องการหน้าตาเล็กๆ น้อยๆ นี่อยู่ แต่ในเมื่อเจ้าพูดความในใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็จำเป็นต้องพูดความในใจที่อัดอั้นอยู่ในท้องให้เจ้าฟังบ้างเหมือนกัน”
เฉินผิงอันจะลุกขึ้นนั่ง ผู้เฒ่ากลับหันมายิ้มให้ “นอนต่อไปเถอะ แค่คำบ่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีคนฟังมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องตั้งใจฟังขนาดนั้น”
แต่เฉินผิงอันก็ยังลุกขึ้นนั่ง พูดอธิบายว่า “นอนแล้วดื่มเหล้าไม่สะดวก”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม กอดไหเหล้าไว้ในอ้อมอก มองไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนเหนือท้องทะเล แสงจันทร์นวลตา งดงามจนไร้คำบรรยาย
ผู้เฒ่ากล่าวช้าๆ “ในอดีตข้าเองก็เคยเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ในสายตาของคนบนโลกเช่นกัน นิสัยร้ายกาจเจ้าอารมณ์อย่างมาก ไม่แน่ว่าหากได้พบเจอเจ้าในปีนั้น ข้าก็อาจเป็นหนึ่งในคนประเภทที่ทำให้เจ้าผิดหวัง ตอนนี้นิสัยของข้าไม่ค่อยเหมือนในอดีตสักเท่าไหร่ หาไม่แล้วก็คงไม่มานั่งดื่มเหล้ากับเจ้าอยู่ที่นี่ เฉินผิงอัน แขกบนเกาะกุ้ยฮวา ยังไม่พูดถึงว่าพวกเขามีเจตนาดีหรือเจตนาร้าย แค่การที่พวกเขา ‘สามารถเดินมาถึงวันนี้’ ได้อย่างที่เจ้าพูด แสดงว่าทุกคนล้วนต้องมีจุดที่ให้คนนำมาเรียนรู้ได้ นอกจากนี้แล้ว ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้าทำถูกแล้ว พอคนอื่นๆ ไม่ได้ทำจะหมายความว่าพวกเขาผิด ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหนึ่งพอเจ้าทำผิด พอคนอื่นทำบ้างแล้วพวกเขาจะต้องผิดไปด้วย ข้าอาจจะพูดวกวนไปหน่อย…”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าเข้าใจ!”
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วโป้งออกมา พูดยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ เจ้าทำถูกที่สุด หาข้อตำหนิไม่ได้แม้แต่น้อย คืออย่างนี้เลย!”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างมีความสุข
ได้รับการยอมรับจากคนที่ตัวเองยอมรับ เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามากพอให้ดื่มเหล้าจริงๆ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า พูดชวนคุยว่า “ท่านผู้อาวุโสก็พูดถูกมากเหมือนกัน ข้าไม่ควรใช้เหตุผลของข้าไปวัดทุกคน เหตุผลของข้าอาจถูก แล้วก็อาจจะไม่ถูก หรืออาจจะถูกแต่ไม่ได้ถูกมาก หรือบางทีอาจจะถูกน้อยมากๆ …ฮ่าๆ ข้าเองก็พูดวกวนเหมือนกัน! ใช่ไหม ผู้อาวุโส?”
ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “วกวนมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันชี้ไปยังทิศไกล เด็กหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสุราโคลงศีรษะ ดูท่าคงจะดื่มเข้าไปมากจริงๆ เขาหัวเราะคิกคักด้วยสีหน้าที่ไม่ปกปิดความลิงโลดและความภาคภูมิใจเอาไว้แม้แต่น้อย “ผู้อาวุโส ข้ารู้จักหลายคนที่เก่งกาจ ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่ก่อนหน้านี้ที่ร้ายกาจสุดๆ เดิมทีข้าสามารถเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้ ข้าเองก็ร้ายกาจเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ๆๆ ร้ายกาจมาก”
เฉินผิงอันเมาจนตาปรือ หันหน้าไปมองผู้เฒ่าถามเสียงอ้อแอ้ “ผู้อาวุโส คำพูดนี้ของท่านเหมือนจะไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่เลยนะ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ มิน่าเล่าตนถึงเข้ากับเจ้าเด็กนี่ได้ดี นิสัยใจคอเหมือนกัน ดื้อด้านไม่ต่างกันเลยนี่นะ
เด็กหนุ่มที่เมาเหล้าทิ้งตัวไปด้านหลัง พึมพำเบาๆ อยู่กับตัวเอง
ผู้เฒ่าช่วยจับกาเหล้าวางไว้ให้เด็กหนุ่มดีๆ บังเอิญได้ยินคำพูดที่เกิดจากความเมามายของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าผงกศีรษะ คืนนี้เขาเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มทั้งคืน
คำพูดที่หลุดจากปากของเด็กหนุ่มที่เมาสุราก็คือ อาจารย์ฉี ข้าเข้าใจแล้ว อันที่จริงคำว่าอย่าได้ผิดหวังกับโลกนี้เกินไปนัก นอกจากจะต้องมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความหมายอยู่อีกขั้นหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อพวกเรามอบความปรารถนาดีให้กับโลกใบนี้แล้ว หากไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความดีตอบแทนกลับคืน กลับกันอาจถึงขั้นได้รับความชั่วร้ายกลับคืนมา ในช่วงเวลานี้ หากยังไม่ผิดหวัง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่ามีความหวังที่แท้จริง อาจารย์ฉี ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลข้อนี้แล้ว เพียงแต่ว่ายังทำไม่ได้ ข้าดื่มเหล้าไปแล้ว พรุ่งนี้จะพยายามให้มากขึ้น…
อันที่จริงคนพายเรือเฒ่ามีอายุมาเกือบห้าร้อยปีแล้ว เคยได้พบเจอคนมานับไม่ถ้วน ผ่านเรื่องราวมามากมาย ได้ยินคำพูดหลากหลาย แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของเด็กหนุ่มพูดได้น่าขบคิดอย่างมาก เอามาแกล้มเหล้าได้พอดี เหล้าสองไหก็ยังไม่พอ
……
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ในกระบี่บินสืออู่
ตัวอักษรที่เขียนอย่างหยาบๆ บนตำราขั้นพื้นฐานเล่มหนึ่งของลัทธิขงจื๊อที่ผู้เฒ่าผีขี้เหล้ามอบให้กับเฉินผิงอันเริ่มว่ายวนไปมาด้วยตัวเอง
สุดท้ายในหน้าปกในก็มีตัวอักษรใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นเป็นแถวๆ
เรียงตามลำดับขั้นตอน บทที่หนึ่ง แบ่งก่อนหลัง บทที่สอง แยกแยะใหญ่เล็ก บทที่สาม ตั้งคำจำกัดความดีเลว บทที่สี่ รวมทฤษฎีกับปฏิบัติให้เป็นหนึ่ง
บนหินหน้าผาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งริมแม่น้ำใหญ่ของทักษินาตยทวีป ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อสองคนยืนเคียงบ่ากัน คนผู้หนึ่งบนไหล่แบกดวงจันทร์ อีกคนหนึ่งถือดวงอาทิตย์กลมดิกไว้ในมือ
บนฝ่ามือของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่าทางยากจนหมุนดวงอาทิตย์ดวงเล็กเป็นวงกลม เดี๋ยวแกว่งซ้ายที เดี๋ยวแกว่งขวาทียิ้มตาหยีพูดว่า “เฉินฉุนอัน เจ้าคิดว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ข้ารับไว้นี้ ประเสริฐหรือไม่?”
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อที่บนบ่ามีดวงจันทร์กลมจิ๋วดวงหนึ่งพยักหน้ารับ แต่กลับไม่ได้เปิดปากพูดคล้อยตาม
ผู้เฒ่ายากจนจึงได้แต่ถามเองตอบเอง “ประเสริฐ ข้าดูแล้วประเสริฐมาก”
ผู้เฒ่าข้างกายพูดอย่างเฉยชาว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็หน้าหนา เจ้าจะพูดยังไงก็ได้ ตอนนี้วันๆ ปากเจ้าเอาแต่พูดว่า ‘ประเสริฐๆๆ’ เหมาะสมแล้วหรือ? หรือว่าเจ้ายอมแพ้แล้ว? รู้สึกว่าตัวเองผิด ส่วนอาจารย์ของข้านั้นถูกต้อง?”
ซิ่วไฉเฒ่ายากจนส่ายหน้ายิ้ม “เฮ้อ เฉินฉุนอันเอ๋ย ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย เฉินผิงอันตอบรับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? แซ่เฉินเหมือนกัน ความสามารถของเจ้าในตอนนี้ย่อมสูงกว่าเล็กน้อย ทว่าความสามารถในการตระหนักรู้นี่ช่าง ช่างเถอะ ไม่พูดแล้วๆ หากพูดออกไปจริงๆ ข้าคงไม่มีสหายแล้ว”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่าทางสง่างามหัวเราะหยัน “ข้าเฉินฉุนอันไม่เคยเป็นสหายกับเจ้าเหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า ทำสีหน้าเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง “ใช่ ไม่เพียงแต่คนละวัย ความรู้ยังแตกต่างกันมาก ก็เหมือนอย่างที่คนพายเรือคนนั้นพูด หน้าตาเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องรักษาไว้บ้าง”
ผู้เฒ่าที่คือเจ้าประมุขสกุลเฉินอิ่นอิงกล่าวว่า “มีอะไรก็พูดมาตามตรง”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือส่งดวงอาทิตย์กลมโตดวงนั้นไปให้ ไม่ได้พูดเล่นอีกต่อไป แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “หวังว่าเจ้าจะลงมือช้าหน่อย ช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เฉินฉุนอันรับดวงอาทิตย์มา ดวงอาทิตย์มาลอยหยุดนิ่งอยู่เหนือไหล่ ด้วยเหตุนี้แสงตะวันและแสงจันทราจึงพร้อมใจกันส่องแสงสว่างเจิดจ้า ผู้เฒ่ากล่าวเรียบๆ “ก็เหมือนกัน”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “บัณฑิตล้วนเหมือนกัน”
……
ใต้หล้ามืดสลัว ยอดบนของหอป๋ายอวี้จิงซึ่งเป็นใจกลางสำคัญของใต้หล้าแห่งนี้
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งแบออกตรงหน้า เขาก้มหน้าจ้องนิ่งไปบนฝ่ามือของตัวเองพลางเดินอย่างเนิบช้าไปบนราวระเบียงสูงตระหง่านที่ทำมาจากหยกขาววาววับ
กลางระเบียงด้านล่างรั้วมีเซียนลัทธิเต๋าขอบเขตบินทะยานยืนอยู่สองคน พวกเขากลั้นหายใจทำสมาธิ ท่าทางเคารพนอบน้อม ไม่กล้าเปิดปากรบกวนอาการใจลอยของเจ้าลัทธิเด็ดขาด
นักพรตหนุ่มหุบฝ่ามือ ทอดถอนใจกับการคำนวณที่ตายตัวนี้ จากนั้นเขาก็เอียงตัวออกไปข้างนอกแล้วทิ้งตัวดิ่งเป็นเส้นตรงลงไปในทะเลเมฆที่เป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่นอกหอป๋ายอวี้จิง
เซียนขอบเขตบินทะยานทั้งสองท่านยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก แค่หันมายิ้มให้กัน ชินแล้วก็ดีไปเอง
—–