บทที่ 268.1 ขยับใกล้ภูเขาห้อยหัว โดย ProjectZyphon
ตอนที่เฉินผิงอันตื่นขึ้นมาบนหลังคาก็พบว่าบนร่างมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งห่มทับอยู่ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางอยู่ข้างกาย หากเป็นในอดีต เฉินผิงอันที่เมาสุราแล้วหลับตลอดทั้งคืน พอตื่นขึ้นมาต้องกระโดดลงจากหลังคาเพื่อไปตรวจสอบกล่องกระบี่ไม้ไหวที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องก่อนแน่นอน แต่วันนี้เฉินผิงอันเพียงแค่เก็บชุดคลุมตัวนั้นช้าๆ พับอย่างประณีต ไม่รีบร้อน เพราะเขาเชื่อว่ากล่องไม้ยังคงอยู่ในนั้น
เฉินผิงอันเชื่อใจผู้เฒ่าคนพายเรือ
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็นั่งขัดสมาธิ หันมองไปทางทิศตะวันออก แสงอรุโณทัยส่องประกายริบระยับ
เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพจิตใจตอนที่เฉินผิงอันออกจากร่องน้ำเจียวหลงไล่ตามเกาะกุ้ยฮวา เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หนึ่งคือจิตใจเตลิดดุจม้าห้อตะบึง ฟุ้งซ่านไม่มั่นคง อีกหนึ่งคือหนักแน่นเหมือนมีเสาผูกม้า
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยื่นมือมาบังตรงหน้า ชื่นชมภาพทัศนียภาพยามเช้า เขาเคยอ่านเจอจากบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มหนึ่งบอกว่า ยามแสงอรุณสาดส่อง แม้แต่ชั้นแขวนอาภรณ์หลากสีสันก็ยังอับอาย ไม่รู้จริงๆ ว่าบัณฑิตสรรหาถ้อยคำที่สร้างจินตภาพได้งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร
จู่ๆ เฉินผิงอันก็หันไปมองนอกเรือนเล็กกุยม่าย มีดรุณีน้อยคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดของแม่นางกุ้ยฮวากำลังยืนอยู่ใต้ร่มต้นกุ้ยที่มีใบสีเขียวบางตา คงเพราะเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ นางจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังใบกุ้ย นิ้วก็จิ้มไปจิ้มมา ดูท่าคงกำลังนับจำนวนใบกุ้ยอยู่ เฉินผิงอันมองตามสายตาของนางไป เพ่งตามองชัดเจนแล้วก็ยิ้มกว้าง ตะโกนเสียงดัง “แม่นาง มีใบไม้ทั้งหมดสามสิบสองใบ!”
เด็กสาวหันกลับมาอย่างมึนงง พอเห็นเซียนกระบี่น้อยสะพายกล่องไม้ที่นั่งอยู่บนหลังคา สองข้างแก้มก็แดงปลั่ง ดูท่าแสงรุ่งอรุณบนท้องฟ้าก็ให้ความสนใจสาวงามด้วยเหมือนกัน
แม่นางกุ้ยฮวาที่ถูกจับได้ว่าแอบอู้งานฝืนข่มกลั้นความเขินอายในใจ เอ่ยถามว่า “คุณชายจะกินอาหารเช้าเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ดีเลย รบกวนแม่นางเอามาเยอะๆ หน่อย กำลังหิวอยู่ทีเดียว”
แม่นางกุ้ยฮวากะพริบตาปริบๆ เรือนกายนั้นพลิ้วลงในลานบ้าน พริบตาเดียวก็หายวับไป เด็กสาวพลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เมื่อไม่กี่วันก่อน แม้ว่าเซียนกระบี่น้อยท่านนี้จะมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ แต่นางก็ยังกลัวมากอยู่ดี มักรู้สึกว่าต่อให้ตนทำความผิดแค่เล็กน้อย แม้เขาจะไม่เอาไปฟ้องน้ากุ้ย แต่เขาต้องเห็นอยู่ในสายตาและจดจำอยู่ในใจอย่างแน่นอน ดังนั้นนางเลยรู้สึกกลัวเขา ตอนนั้นที่เขาสั่งนางไว้ว่าจะไม่พบเจอใคร นางจึงทำหน้าที่ขัดขวางแขกมากมายที่มาเยี่ยมเยียนอย่างเชื่อฟัง แข็งใจปฏิเสธเทพเซียนบนภูเขากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่รู้ว่าโดนแขกกุ้ยถลึงตามองค้อนไปตั้งเท่าไหร่
เฉินผิงอันกินอาหารเช้าแล้วก็เริ่มฝึกหมัดอยู่ในลานบ้าน ฝึกเดินนิ่งหมัดเขย่าขุนเขาตลอดช่วงเช้า ตอนบ่ายฝึกกระบี่เพียงลำพัง ยังคงสมมติว่าในมือจับกระบี่ หลักๆ แล้วฝึกกระบวนท่าหิมะทลายที่ใช้โจมตี เพราะเฉินผิงอันรู้สึกกระบวนท่ากระบี่นี้สร้างความสบายอกสบายใจให้เขาอย่างมาก หลังจากที่เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ จิงเสินชี่ของเขาก็เริ่มถูกเก็บไว้ด้านใน ระหว่างที่เดินนิ่งหกก้าว มองดูเหมือนแผ่วเบาล่องลอยคล้ายนกเฟยหงที่ย่ำอยู่บนหิมะ แต่ทุกครั้งที่หยุดลงอย่างกระชั้นชิดด้วยหลักที่ค่อนข้างลี้ลับ พายุปณิธานหมัดจะพรั่งพรูออกไป รวดเร็วมากเป็นพิเศษ
เปลี่ยนมาฝึกกระบี่ เฉินผิงอันค้นพบว่าเส้นทางแห่งโชคชะตาของสองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่า ‘ความหมาย’ เล็กๆ น้อยๆ นั่นกลับร่วมทางกันได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันยิ่งวางใจ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าการขยันฝึกหมัดก็คือการฝึกตน อีกทั้งยังสามารถฝึกวิชาได้มากมาย ตอนนั้นที่หลี่ซีเซิ่งเขียนยันต์ลงบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็เคยพูดว่าการวาดยันต์ก็คือการฝึกตน อาเหลียงถูกคนต่อยด้วยหมัดเดียวร่วงกลับมายังโลกมนุษย์ ตอนอยู่บนเรือคุนก็เคยพูดว่าเมื่อฝึกหมัดจนถึงขีดสูงสุดก็คือการฝึกกระบี่
ถ้าเช่นนั้นขอบเขตสี่บนวิถีวรยุทธ์ก็จะเดินต่อไปเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นเฉินผิงอันยังรู้สึกเลือนรางเหมือนเหยียบลงบนความว่างเปล่า สับสนไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้กลับมั่นใจขึ้นมาเยอะมาก
ตอนกลางคืนเฉินผิงอันฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ตอนที่กินอาหารมื้อดึก กุ้ยฮูหยินไม่ได้ให้แม่นางกุ้ยฮวาคนนั้นออกหน้า แต่นางยกกล่องอาหารมาให้ตัวเอง
ดูเหมือนว่าน้ากุ้ยท่านนี้จะมีเรื่องกังวลใจมากมาย ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า “น้ากุ้ย ครั้งนี้ข้าช่วยคุณชายน้อยฟ่านปกป้องเกาะกุ้ยฮวา ท่านช่วยส่งข่าวผ่านกระบี่บินไปให้เขาแทนข้า บอกว่าข้าชอบเรือนเล็กกุยม่ายแห่งนี้มาก ต่อไปที่แห่งนี้จะกลายเป็นของข้าแล้ว ได้หรือไม่? น้ากุ้ย ข้ารู้สึกว่าคุณชายน้อยฟ่านคงไม่ขี้งก แต่ผู้อาวุโสในตระกูลฟ่านน่าจะไม่ตอบตกลง ถึงเวลานั้นท่านช่วยพูดแทนข้าหน่อยได้ไหม?”
น้ากุ้ยเต็มไปด้วยความสงสัย มองประเมินเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ ดูสีหน้าของเขาแล้วเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่น ทันใดนั้นร้อยความคิดก็ประดังประเดกันเข้ามา นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากศาลบรรพชนของตระกูลฟ่านกล้าไม่ตอบตกลงล่ะก็ น้ากุ้ยจะลากคุณชายน้อยฟ่านไปประท้วงขอความเป็นธรรม หญิงปากร้ายคนหนึ่งโวยวายบนท้องถนน เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งลงไปดิ้นปัดๆ อยู่บนพื้น รับรองว่าสำเร็จแน่นอน”
น้ากุ้ยนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน มองเขาสวาปามอาหารแล้วรู้สึกตลก จึงปิดปากหัวเราะ “เกาะกุ้ยฮวายกเรือนเล็กแห่งหนึ่งให้กับแขกคนหนึ่งโดยเฉพาะ นี่คือเรื่องแปลกที่ในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังกลับไปน้ากุ้ยจะร่างโฉนดที่ดิน ตามกฎของที่ว่าการต้องทำเป็นสองฉบับ พวกเราลงชื่อประทับเอาไว้ก่อน สังหารก่อนค่อยรายงานทีหลัง ถึงเวลานั้นให้คุณชายน้อยฟ่านเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ศาลบรรพชน เสร็จแล้วก็รีบกลับมา ใครจะสนว่าตาแก่พวกนั้นจะเต็มใจหรือไม่”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “น้ากุ้ย โฉนดที่ดินคงไม่ต้องแล้ว ระหว่างข้ากับพวกท่านไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”
น้ากุ้ยจ้องนิ่งไปที่ดวงตาของเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องการจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันประสานสายตากับนาง ผงกศีรษะรับ “จริง”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็โอบเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กุ้ยฮูหยินที่แม้จะหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีบุคลิกท่วงท่าสง่างามผู้นี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม้ว่าจะอายุพอๆ กับคุณชายน้อยตระกูลฟ่าน ทว่าตอนที่แบกไม้พายล่องเรือกลับมีมาดของวีรบุรุษที่องอาจจริงๆ วันนี้ยังมาทำแบบนี้อีก…เฮ้อ ผู้หญิงทุกคนบนโลกจิตใจหวั่นไหวกันไปหมดแล้ว”
เฉินผิงอันยังถือตะเกียบ ตัวเอียงไปด้านข้าง คล้ายต้นหลิ่วโบราณริมแม่น้ำเถี่ยฝูที่คอเอียง เขาไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่ากุ้ยฮูหยินกำลังชมตน แต่ว่าชมที่ตรงไหน เฉินผิงอันไม่เข้าใจจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าใจของหญิงสาวจะหวั่นไหวหรือไม่นั้น หมายความว่าอย่างไร? หรือเป็นการเปรียบเปรยแบบที่บัณฑิตชอบใช้กัน? อีกอย่างวิธีการแสดงออกถึงความหวังดีฉันท์มิตรและความเมตตาฉันท์ผู้อาวุโสแบบนี้ของน้ากุ้ยก็ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่ ยังดีที่อายุของคนทั้งสองต่างกันเยอะมาก เชื่อว่าต่อให้คนนอกมาเห็นเข้าก็คงไม่คิดมาก
สตรีแต่งงานแล้วปล่อยมือจากเฉินผิงอัน ยิ้มอ่อนมองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางน่ารัก เพราะถึงแม้หน้าไม่แดงใจไม่สั่น แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววงงงัน น้ากุ้ยหรี่ตาลง สตรีที่แต่ไหนแต่ไรมาเรียบร้อยสำรวมกลับเผยสีหน้ามีเสน่ห์เย้ายวน นางเอ่ยสัพยอกว่า “อั๊ยหยา ที่แท้ก็ยังเป็นเด็กเหมือนคุณชายน้อยฟ่านนี่เอง”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาเอาแต่ก้มหน้ากินข้าว บางครั้งก็ดื่มเหล้า
น้ากุ้ยจากไปด้วยรอยยิ้ม
ผลคือเห็นผู้เฒ่าถือกาเหล้าที่กำลังยิ้มคลุมเครือยืนอยู่หน้าประตู ทั่วร่างของชายชราคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในลานบ้านจนกาเหล้าแกว่งไปด้วย ปากก็โหวกเหวกว่าจะดื่มสุราเพื่อความสำราญใจ กำจัดทุกข์หาความรื่นเริง ให้คางคกและกระต่ายล้วนหวั่นไหว ต้นกุ้ยส่ายเงา
กุ้ยฮูหยินยิ้มอย่างระอาใจ ไม่ถือสา เดินเยื้องย่างจากไปพร้อมเงาต้นกุ้ยที่ตามติดไปด้านหลัง
จู่ๆ ท่าทางเมามายของผู้เฒ่าพายเรือก็หายวับไป เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “เฉินผิงอัน อยู่ดีๆ อาจารย์ข้าก็มาที่เกาะกุ้ยฮวา บอกว่าอยากจะพบเจ้า เพราะมีคำพูดจะบอกเจ้า เจ้าอยากพบเขาหรือไม่? ข้าแน่ใจได้แค่ว่าท่านอาจารย์ผู้อาวุโสไม่ใช่คนชั่วร้าย แต่ไหนแต่ไรมาก็มีจิตใจเมตตามาโดยตลอด แต่ขณะเดียวกันข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คนที่ใจดีแบบนี้จะทำเรื่องเลวร้ายสักครั้งหนึ่งหรือไม่ การที่เขาไม่เต็มใจขึ้นภูเขามายังเรือนเล็กแห่งนี้…”
ผู้เฒ่ารู้สึกลำบากใจขึ้นมากะทันหัน “ตามหลักแล้ว ข้าที่เป็นลูกศิษย์ควรจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงนามของผู้สูงศักดิ์ เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ ช่างเถอะ ควรพูดให้เจ้าฟังนั่นแหละ อาจารย์ของข้าเขาเคยเป็นคนพายเรืออันดับหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวา ไม่ว่าจะเป็นไม้พายตีมังกรหรือกระดาษที่พับเป็นรถม้าและหอสูงพวกนั้น ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่สืบทอดมาจากเขา เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นอาจารย์ก็หายตัวไป แค่เคยปรากฏตัวครั้งหนึ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน และถือโอกาสรับข้าเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ มองออกว่า…ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสค่อนข้างจะคิดถึงกุ้ยฮูหยิน น่าเสียดายก็แต่ไม่รู้ว่าเขาไปทำอีท่าไหนให้กุ้ยฮูหยินโมโห ถึงไม่อนุญาตให้อาจารย์เหยียบขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวาอีกตลอดชีวิต”
ทันใดนั้นคนพายเรือเฒ่าก็เอ่ยว่า “ข้าเดาเอาว่าท่านอาจารย์คือคนพายเรือที่ได้รับการบันทึกในตำราของลัทธิเต๋า ออกทะเลครั้งหนึ่งก็ใช้เวลานานหลายร้อยปี คนพายเรือที่…เคยเล่าให้เจ้าฟัง ดังนั้นครั้งนี้เขามาหาเจ้า ข้าจึงแค่ช่วยมาแจ้งข่าวเท่านั้น จะไปหรือไม่ เจ้าเฉินผิงอันไตร่ตรองดูให้ดี”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตกลง “ไปสิ ลู่…”
ผู้เฒ่ารีบขมวดคิ้วขัดขวางคำพูดของเฉินผิงอัน กดเสียงต่ำพูดว่า “หากถูกใครเรียกขานนามซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามออกมาตรงๆ จิตของอริยะที่มีมรรคกถาสูงเทียมฟ้าจะรับสัมผัสได้ เจ้าลองคิดดู ขนาดพวกชาวบ้านร้านตลาดก็ยังถูกเตือนว่าห้ามเอ่ยถึงชื่อของผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้ว ข้อห้ามนี้เป็นเรื่องของมารยาทพิธีการเท่านั้นหรือ? ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งทีแล้วเดินลงภูเขาไปพร้อมกับคนพายเรือเฒ่า
ผู้เฒ่าเอ่ยหยอกล้อ “ไม่กลัวว่าข้าจะคิดร้ายกับเจ้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันแสร้งพูดเบาๆ ด้วยท่าทางลึกลับ “คนอื่นคิดร้ายกับข้าหรือไม่ ข้าก็สัมผัสได้เหมือนกัน ท่านผู้อาวุโส แบบนี้ก็เท่ากับว่าข้ามีศักยภาพแฝงที่จะเป็นอริยะใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ อันที่จริงอริยะกับผู้ฝึกลมปราณถือเป็นคนสองประเภท อยากจะเป็นอริยะ โดยเฉพาะอริยะของสามลัทธิในเมธีร้อยสำนัก ต่อให้จะเป็นแค่อริยะที่มีตบะขอบเขตสิบ แต่เกรงว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่เลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบแล้วก็ยังทำได้ยากยิ่งกว่า
หลังจากลงเขาไปแล้ว ตอนที่ขยับไปใกล้ท่าเรือที่คุ้นเคย ทั้งเฉินผิงอันและคนพายเรือเฒ่าต่างก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลด้วย
กุ้ยฮูหยินยืนอยู่ตรงท่าเรือ อาภรณ์พลิ้วปลิวสะบัด โดดเด่นเหนือผู้คน ราวกับว่ากำลังขัดขวางการนำเรือลงจอดเทียบท่าของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
กุ้ยฮูหยินคือเจ้าของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ย่อมต้องรับรู้ได้ถึงการขยับเข้ามาใกล้ของคนทั้งสอง นางไม่ต้องการเสียเวลากับคนผู้นั้นอีกต่อไป จึงพูดเสียงเฉียบอย่างดุดันกับชายวัยกลางคนหน้าตาซื่อสัตย์ที่อยู่บนเรือ “รีบไปซะ ถ้าจะคุยก็ไปคุยกันบนทะเล เจ้าอย่าหวังว่าจะได้เหยียบขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวา! หาไม่แล้วข้าก็ขอสู้ตายกับเจ้า”
ชายวัยกลางคนที่รูปโฉมธรรมดาท่าทางหยาบกระด้างก็คือคนพายเรือที่พายผ่านใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่ว ซึ่งน่าจะเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนพายเรือเฒ่าที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
เดิมทีชายฉกรรจ์มีนิสัยเหมือนน้ำเต้าตันที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน ทว่ากุ้ยฮูหยินที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือผู้นี้คือจุดตายของเขา พอเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วไม่เห็นใจคนอื่น ถึงขั้นแสดงท่าทางดุร้ายใส่เขาเป็นครั้งแรก นี่ทำให้ชายผู้ซื่อสัตย์รู้สึกเหมือนฟ้าดินพังทลาย ชีวิตไร้ซึ่งรสชาติ เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขาโยนไม้พายทิ้ง กระทืบเท้าติดๆ กัน ร้องคร่ำครวญว่า “ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ! ก็ไม่ใช่เพราะครั้งนั้นหลังถูกเจ้าปฏิเสธ ได้รับความสะเทือนทางอารมณ์อย่างรุนแรงก็เลยดื่มเหล้าจนเมามาย พอเมาความกล้าก็เพิ่มพูน เลยแอบวิ่งไปกอดต้นกุ้ยแค่ไม่กี่ทีเท่านั้น ก็มันห้ามความรู้สึกไม่ได้ เป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้นี่นา…ข้าเป็นคนยังไง เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ขนาดอาจารย์ของข้ายังบอกว่าข้าเป็นคนซื่อสัตย์”
กุ้ยฮูหยินโมโหอย่างหนัก หัวเราะหยันพูดว่า “โอ้โห คำพูดคำจาช่างไร้ช่องโหว่ ใช้ความรู้สึกมาทำให้หวั่นไหวก่อน แล้วค่อยใช้เหตุผลมาประกอบ สุดท้ายยกเอาที่พึ่งของตัวเองออกมา ร้ายกาจยิ่งนัก คำพูดประโยคนี้ใครเป็นคนสอนเจ้า?”
กว่าจะปลุกความกล้าขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายฉกรรจ์จึงพูดหมดเปลือกอย่างอัดอั้น “เสี่ยวฉีของสำนักโองการเทพ…”
กุ้ยฮูหยินยื่นมือชี้หน้าตวาดด่าอย่างโกรธเคือง “เจ้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง หัดมีความรับผิดชอบและคุณธรรมบ้างได้หรือไม่ ฉีเจินช่วยวางแผนให้เจ้า แต่เจ้ากลับเอาเขามาขายแบบนี้น่ะหรือ? จะลังเลสักนิดก็ไม่มี?! ไสหัวไป!”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเหมือนโดนสวรรค์ลงทัณฑ์ ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปในเรือลำเล็ก เหวี่ยงมือกระทืบเท้าเป็นพัลวัน ปากก็ตะโกนโหวกเหวกไปด้วย “จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง! ชีวิตจะยังมีความอะไร!”
ผู้เฒ่าพายเรือชะงักเท้า เป็นตายก็ไม่ยอมก้าวออกไป เขายกมือปิดหน้า ตีให้ตายก็ไม่ยอมมองภาพนี้ของอาจารย์ผู้อาวุโส อาจารย์ผู้มีพระคุณสติวิปลาสเช่นนี้ ช่างเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงของลูกศิษย์จริงๆ
คนพายเรือเฒ่าพลันหมุนตัวกลับ “ไปเถอะๆ หากยังมองต่อไป จิตแห่งเต๋าที่ผุพังของข้า ก่อนหน้านี้โชคดีไม่ได้ถูกเจียวเฒ่าทำลายจนเละเทะ แต่จะกลับกลายเป็นว่าต้องมาพังเพราะอาจารย์ของตัวเอง”
ชายฉกรรจ์หันมาตะโกนใส่คนพายเรือเฒ่า “เจ้าถังน้ำน้อย พบอาจารย์แล้วไม่คิดจะทักทายกันสักคำเลยรึ?”
—–