บทที่ 268.2 ขยับใกล้ภูเขาห้อยหัว โดย ProjectZyphon
ผู้เฒ่าคนพายเรือที่ถูกเรียกฉายาตอนเด็กหยุดเดิน ร้องเฮ้อหนึ่งที เพียงแต่ว่าต่อให้หันหลังกลับไปก็ยังยืนกรานว่าจะไม่มองประสานสายตากับอาจารย์ เขาประสานมือคำนับด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ กล่าวประโยคหนึ่งว่า “อาจารย์อายุยืนหมื่นปี ลูกศิษย์ขอลาก่อน” พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นเขาไป
ส่วนเฉินผิงอันเดินหน้าไปหยุดยืนอยู่ข้างกายกุ้ยฮูหยิน ทั้งสองฝ่ายผงกศีรษะทักทายกัน เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งยองอยู่ตรงท่าเรือ มองไปยังชายฉกรรจ์ที่หันมองตนทีหนึ่ง หันมองกุ้ยฮูหยินทีหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกขนลุกขนชันเล็กน้อย ในใจคิดว่าสายตาของชายฉกรรจ์ผู้นี้ผิดปกติ ทำไมถึงได้เหมือนสายตาของสตรีแต่งงานแล้วในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาที่มองบุรุษของตัวเองและมองแม่ของกู้ช่าน? แต่แล้วเฉินผิงอันก็เริ่มกระจ่างแจ้ง คนที่มองดูเหมือนคนซื่อสัตย์จะมีจิตใจที่คับแคบเหมือนไส้ไก่ได้ยังไง? มิน่าเล่ากุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่ชอบ
เฉินผิงอันถาม “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนจึงพูดประโยคที่เคยเอ่ยกับเซียนกระบี่จั่วโย่วก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ
ก่อนที่จะป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าเบาๆ ไม้พายไม้ไผ่ดีดเด้งขึ้นมา ถูกเขากุมไว้ในฝ่ามือ ใช้มันเคาะลงบนพื้นเรือหนักๆ หนึ่งที ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ก็ใช้วิชาอภินิหารล้ำเลิศสร้างฟ้าดินขนาดเล็กสองแห่งขึ้นมาชั่วคราว อันที่เล็กกว่าสร้างให้เขากับเฉินผิงอันอยู่ใกล้กันในระยะประชิด ส่วนอันที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยครอบทับเกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นนักพรตบางคนของภูเขาห้อยหัวหรืออริยะจากทักษินาตยทวีปก็ล้วนไม่อาจตรวจสอบมาพบที่แห่งนี้ได้
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าลัทธิลู่เฉิน
ไม่ยินดีรับกระบี่จากเซียนกระบี่จั่วโย่ว เมื่ออยู่ต่อหน้ากุ้ยฮูหยินทำตัวไม่ต่างจากชายอันธพาลเสเพล ในบันทึกของใต้หล้าไพศาลถูกขนานนามว่าเป็นแค่คนพายเรือเท่านั้น แต่นั่นกลับไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของคนผู้นี้ไม่แข็งแกร่ง มรรคกถาไม่สูงส่ง
กุ้ยฮูหยินรู้รากฐานของคนผู้นี้เลยไม่แปลกใจ ในฟ้าดินขนาดเล็กที่อยู่ข้างกาย เงาร่างของคนทั้งสองพร่าเลือน เสียงพูดคุยของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งไม่เล็ดรอดมาแม้แต่เสี้ยวเดียว
เฉินผิงอันฟังจบก็พยักหน้ารับ “ตกลง”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเอ่ยเนิบช้า “เจ้าไม่เต็มใจจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ข้ารึ? หากเจ้าตอบรับ ข้าจะขอบคุณเจ้า และถือว่าติดค้างบุญคุณเจ้าครั้งใหญ่เทียมฟ้า”
เฉินผิงอันมองชายวัยกลางคนผู้นี้แล้วถือโอกาสนั่งลงไปตรงริมท่าเทียบเรือ ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำใด
มือข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์ถือไม้พายค้ำยันพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้าสูงพลางพูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ไม่เคยเห็นข้าเป็นลูกศิษย์ของเขา ในอดีตข้าเป็นแค่ข้ารับใช้ที่ช่วยพายเรือให้เขาเท่านั้น แม้ว่าทุกครั้งที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาหลายคนที่มาท่องเที่ยวในฟ้าดินแห่งนี้จะต้องมาหาข้า แถมยังเต็มใจเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่ข้ารู้ดีว่าอาจารย์รังเกียจที่ข้าโง่เขลา ความสามาถต่ำต้อยและพรสวรรค์ไม่ดีมาโดยตลอด แค่คำว่ารัก ข้าก็ยังตัดใจละทิ้งไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงพยายามตามหาร่องรอยของอาจารย์อยู่บนทะเลมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน หมายจะเดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัวเพื่อกราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่อาจารย์ไม่เต็มใจอยากพบข้า แต่หากวันนี้เจ้าตกลงรับปากอาจารย์ ขอแค่อาจารย์อารมณ์ดีแล้ว จะต้องยอมพบหน้าข้าแน่นอน ข้าแน่ใจ”
เฉินผิงอันยิ้มตอบอย่างเกียจคร้าน “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ลูกศิษย์ที่อาจารย์ของเจ้าอยากรับตัวไว้ คือข้าในตอนนี้ ไม่ใช่ข้าหลังจากที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเขาแล้ว”
ชายฉกรรจ์ยื่นมือออกมาตบศีรษะของตัวเอง ยังคงคิดไม่ตก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เจ้าพูดจนข้าสับสนไปหมดแล้ว ทำไมพวกลูกศิษย์ที่อาจารย์ยอมรับอย่างพวกเจ้าถึงได้ชอบพูดจาประหลาดกันนักนะ ทำไมไม่พูดให้มันตรงไปตรงมา ต่อให้เป็นเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปก็ยังพูดจาสุภาพ เวลาด่าคนอื่นก็ยังซ่อนคำพูดไว้ท่ามกลางคำชม ข้าต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีถึงจะทำความเข้าใจได้ เพิ่งจะรู้ว่าตอนนั้นเขาด่าว่าข้าปัญญาทึบ กุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่ชอบ”
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ถอนหายใจ “คงต้องโทษข้าที่โง่เกินไป จะโทษคนอื่นว่าฉลาดเกินไปไม่ได้”
เฉินผิงอันหยุดดื่มเหล้า แล้วหัวเราะ “แล้วทำไมถึงไม่โทษโลกใบนี้ล่ะ?”
ชายฉกรรจ์ยืนอยู่บนเรือลำเล็ก เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนท่าเรือ
คนทั้งสองมองประสานสายตากันพอดี
ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูด “ลูกศิษย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เจ้าจะไม่สนใจหน่อยหรือ? ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาเคยไปถึงขอบเขตก่อกำเนิด ภายหลังถอยกลับมาที่โอสถทอง…”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าคืออาจารย์เขา ไม่ใช่บิดาของเขาซะหน่อย อายุตั้งห้าร้อยปีแล้ว ยังต้องให้ข้าคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้อีกหรือไง?”
เฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ยื่นนิ้วหนึ่งของมือซ้ายออกมากลางอากาศ จากนั้นก็ยื่นนิ้วของมือขวาออกมา ขยับห่างไปทางด้านขวา ระยะห่างระหว่างสองนิ้วคล้ายมีไม้บรรทัดที่มองไม่เห็นอยู่อันหนึ่ง “เหตุผลที่ข้าพูด อยู่ฝั่งนี้ เหตุผลที่เจ้าพูด อยู่ฝั่งนี้ ดูเหมือนว่าเราต่างก็มีเหตุผล แต่เหตุผลของเจ้ากลับไม่สามารถคัดค้านเหตุผลของข้าได้ รู้หรือไม่ว่าทำไม? เพราะเหตุผลของเจ้าไม่ควรขยับห่างไปไกลขนาดนี้ในคราวเดียว”
มือขวาเฉินผิงอันค่อยๆ ขยับมาทางฝั่งซ้ายมือ แตะตรงกลางหนึ่งที จากนั้นก็แตะซ้ายขวาอีกฝั่งละที ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากเหตุผลของเจ้าอยู่ใกล้กับตรงนี้ ยืนอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะถือว่าเป็นเหตุผลที่แท้จริง อาจจะเบี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวานิดหน่อย แต่เมื่อเหตุผลอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ควรจะชั่งน้ำหนักหนักเบาและความเล็กใหญ่ของเหตุผลอย่างไร? เจ้ารู้จักสำนักแห่งศาสตร์หรือเปล่า? ไม่ใช่ศาสตร์ของศาสตร์หยินหยาง แต่เป็นศาสตร์ของการคำนวณ บวกกับสำนักอาคม มีไม้บรรทัดขนาดเล็กสองอันนี้ก็จะยิ่งมีประโยชน์…”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าอย่าหวังว่าจะทำลายมหามรรคาของข้าได้!”
มือที่ถือไม้พายกระแทกลงบนพื้นเรือแรงๆ อีกหนึ่งครั้ง
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส
เพราะเขาถูกอีกแล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ไม่แสร้งทำเป็นลึกลับซับซ้อนและปั้นน้ำเป็นตัวอีกต่อไป เมื่อคืนเขาฝันว่าอ่านหนังสือทั้งคืน ความรู้สึกนั้นลี้ลับซับซ้อนอย่างยิ่ง
ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกปั่นหัว ชายฉกรรจ์จึงมีท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย ยกมือเกาหัว แต่กลับไม่ได้ระบายโทสะใส่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันขยิบตา “กุ้ยฮูหยินมองอยู่นะ เจ้าปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร เจ้าคิดว่านางจะมองเจ้ายังไง? ใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่?”
ดูเหมือนหัวสมองของชายฉกรรจ์จะเปิดโล่งขึ้นมาในบัดดล ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบตำราสีทองปึกหนึ่งที่เจาะรูแล้วถูกร้อยด้วยเชือกฟางอย่างง่ายๆ ออกมา “กว่าจะเก็บมาจากก้นทะเลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มอบให้ถังน้ำน้อย จำไว้ว่าต้องมอบให้เขาต่อหน้ากุ้ยฮูหยิน ทำได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว! ให้ข้าช่วยพูดดีๆ แทนเจ้าก็ยังได้”
ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เจ้าเล่นงานข้าเมื่อครู่นี้ ข้าจะไม่จดลงบัญชีก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันรับตำราสีทองมาแล้วเก็บใส่ชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวังโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง จากนั้นชำเลืองมองสตรีแต่งงานแล้วที่ดูเหมือนอยู่ในระยะประชิด แต่กลับไม่ได้อยู่ในฟ้าดินเดียวกัน นางกำลังมองไปยังดวงจันทร์เหนือมหาสมุทรด้วยสีหน้าเลื่อนลอย เฉินผิงอันดึงสายตากลับ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงถามเสียงเบาว่า “เจ้ามีวัยวุฒิสูงขนาดนี้ อยู่มาก็ตั้งนานหลายปี เหตุใดถึงปักใจรักแค่กุ้ยฮูหยิน? อีกอย่างทั้งๆ ที่รู้ว่าอุปสรรคบนมหามรรคาของตนก็คือคำว่ารัก เจ้ากลับยินดีที่จะให้มันเกิดขึ้น?”
ชายฉกรรจ์ถูกแทงใจดำจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย!”
เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้าพลางก้าวเดินบนท่าเรือ เอ่ยถามว่า “พวกเราคุยกัน กุ้ยฮูหยินไม่ได้ยินใช่ไหม?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ
แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังกดเสียงลงต่ำ “บุคลิกของกุ้ยฮูหยินดีเยี่ยม ทว่าหน้าตา…น่าจะไม่ถือว่า…โดดเด่นเท่าไหร่กระมัง? ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องระหว่างพวกเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงชอบนาง ทำไมนางถึงรังเกียจเจ้า เหตุใดทั้งๆ ที่ชอบคนคนหนึ่ง แต่กลับเดี๋ยวแยกเดี๋ยวอยู่ด้วยกัน เจ้าไปทำอีท่าไหนให้กุ้ยฮูหยินโมโห ข้าจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียน…อ้อ ไม่ถูกสิ ข้าจะพูดว่า ข้าจะช่วยวางแผนให้เจ้าเอง! เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ารู้จักผู้หญิงหลายคน เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง ข้าเข้าใจดีเลยล่ะ!”
ชายฉกรรจ์เหลือกตาใส่ “ชอบคนคนหนึ่ง หากสามารถยกเหตุผลมากมายมาพูดได้ จะยังเรียกว่าชอบได้ยังไง พูดคุยกับคนหยาบกระด้างอย่างเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ ดวงตาสุนัขของถังน้ำน้อยคงมืดบอดถึงได้เต็มใจดื่มเหล้ากับเจ้า”
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ยกมือขึ้นทุบอกตัวเองอย่างแรง พูดขึงขังน่าเชื่อถือ “อีกอย่างนะ สำหรับในใจของข้าแล้วกุ้ยฮูหยินคือโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมือง ใต้หล้านี้ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็สู้นางไม่ได้ วันหน้าเจ้าจะพูดอะไรระวังปากหน่อย หากยังกล้าพูดถึงนางไม่ดี ข้าจะใช้ไม้พายตีให้เจ้าเป็นคนโง่ไปเลย!”
แล้วชายฉกรรจ์ก็หันมาถ่มน้ำลายใส่เฉินผิงอัน “สายตาอะไรอย่างนี้ ไม่รู้จักแยกแยะว่าไหนขี้เหร่ไหนงดงาม!”
คนพายเรือวัยกลางคนใช้ไม้พายหมุนหัวเรือแล้วพายเรือจากไปเพียงลำพัง พริบตาเดียวก็พุ่งไปไกลร้อยจั้งพันจั้ง
เฉินผิงอันตบอก ตะโกนเรียกน้ากุ้ยอย่างอารมณ์ดีครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ข้าขอตำราลับเล่มหนึ่งมาจากอาจารย์ของท่านผู้อาวุโสได้”
เฉินผิงอันไม่ลืมพูดถึงชายฉกรรจ์คนนั้นดีๆ แถมยังพูดถึงสองประโยค “เป็นบุรุษที่ใจกว้างยิ่งนัก แค่ซื่อสัตย์โผงผางไปหน่อย”
กุ้ยฮูหยินพยักหน้ารับพร้อมยิ้มตาหยี “อืม แค่หน้าตาไม่ค่อยโดดเด่นสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย หันไปมองหนึ่งคนหนึ่งเรือที่หายไปไม่เหลือเงาอย่างแข็งทื่อ ชายผู้นั้นไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย…
กุ้ยฮูหยินตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้โกรธจริงจัง พูดเสียงอ่อนโยนว่า “มองอะไร ไปกันเถอะ”
คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปบนทางภูเขา กุ้ยฮูหยินถามชวนคุยว่า “ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนก็จะไปถึงที่หมายแล้ว เฉินผิงอัน เจ้ามีคนรู้จักอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวหรือไม่? หากไม่มี ถ้าคิดจะไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะค่อนข้างยุ่งยาก ชื่อเสียงตระกูลฟ่านและเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราเอาไปใช้ที่นั่นไม่ค่อยได้ผล อีกอย่างเมื่ออยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ต่อให้มีเงิน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถจ่ายเงินจ้างผีโม่แป้งได้จริงๆ เพราะว่า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ กุ้ยฮูหยินก็หยุดชะงักไปครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “เต๋าเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นตั้งกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดเอาไว้ ผ่านมาพันปีหมื่นปีก็ไม่เคยมีใครสามารถข้ามบ่อสายฟ้านั้นไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว”
เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ “ไม่เคยมีเลยหรือ? สักคนก็ไม่มี?”
กุ้ยฮูหยินถอนหายใจ “ในประวัติศาสตร์มีคนมากมายเคยทดลองทำมาก่อน แต่หลังจบเรื่องซากศพและจิตวิญญาณล้วนถูกเทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าบางคนโยนเข้าไปไว้ในบ่อสายฟ้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว ในบรรดาคนเหล่านั้นแทบทุกคนล้วนเป็นพวกมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่หายากจนนับนิ้วได้ มีทั้งลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเก้าทวีป ยอดฝีมือของเมธีร้อยสำนักและตระกูลเซียน…ไม่มีสักคนที่มีจุดจบที่ดี ใครก็เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของท่านผู้นั้นไม่ได้”
ดูท่าตอนที่ท่านผู้นั้นเผยกายธรรมสีทองที่ร่องน้ำเจียวหลง แต่ร่างจริงอยู่ไกลถึงภูเขาห้อยหัวคงร่ายใช้วิชาอภินิหารที่ตัดขาดฟ้าดินเหมือนกัน กุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่เห็นเหตุการณ์จริงแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันอธิบายรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นคร่าวๆ ด้วยความกังวลใจ กุ้ยฮูหยินมีสีหน้าตกตะลึง “เจ้ารู้จักเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนี้ได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
และเวลานี้เอง สายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งแหวกผ่าท้องฟ้ายามค่ำคืนเข้ามา พุ่งผ่านกลางอากาศเหนือเกาะกุ้ยฮวาไป พร้อมกับทิ้งประโยคหนึ่งไว้ “ทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาที่เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวล้วนได้รับการยกเว้นค่าเดินทาง หากมีใครคิดจะผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน”
เฉินผิงอันพลันยกมือขึ้นกำเป็นหมัด หัวเราะอย่างเบิกบานใจ “เขาชนะแล้ว!”
หนึ่งเดือนต่อมา ผู้โดยสารของเกาะกุ้ยฮวาก็สามารถมองเห็นเค้าโครงร่างอันยิ่งใหญ่ของภูเขาห้อยหัวได้ไกลๆ
อีกทั้งทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งซึ่งห่างกันไม่ไกลมากนักจะต้องมีเรือข้ามฟากรูปแบบต่างๆ เผยกายบนมหาสมุทรใหญ่
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ภูเขาห้อยหัวก็ยิ่งแสดงความยิ่งใหญ่ไพศาลให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อผ่านการอนุญาตจากกุ้ยฮูหยิน วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง เฉินผิงอันก็แอบออกจากเรือนเล็กกุยม่าย สุดท้ายไปนั่งอยู่บนกิ่งสูงของต้นกุ้ยบนยอดเขา แกว่งขาสองข้าง พยายามแหงนหน้าเงยมองให้ได้มากที่สุด
ได้ยินมาว่า ภูเขาห้อยหัวคือด่านที่เชื่อมโยงใต้หล้าสองแห่ง
เขาเฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อีกทั้งยังไม่ใช่ปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลที่บินได้ จึงได้แต่เดินไปทีละก้าว หรือไม่ก็โดยสารเรือข้ามฟาก
จากต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดมาจนถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปยังไกลขนาดนี้ หากเดินทางจากใต้หล้าหนึ่งไปอีกใต้หล้าหนึ่ง ฟังดูแล้วก็เหมือนจะยิ่งไกลอีกอักโข
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง คลี่ยิ้มพลางออกหมัดอย่างไม่จริงจังนัก ร่างจึงเอนซ้ายเอียงขวาไปเรื่อยเปื่อย
ใต้ต้นไม้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ขึ้นมาบนยอดเขาตั้งแต่เช้าตรู่ นางถอนหายใจ พึมพำเบาๆ ว่า “ข้าก็ยังรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่โง่งมอยู่ดี”
—–