ตอนที่ 66 เบาะแสเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 66 เบาะแสเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน

 

 

 

จี้เทียนซิงกลับมาโดยมีชีวิตแถมยังนำผลึกฟ้ากลับมาสำเร็จอีกด้วย !

 

ก่อนหน้านี้จี้หรูเฟิ่งและจี้ชางเหอรวมไปถึงพรรคพวกของมันยังกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าจี้เทียนซิงต้องตายแน่แล้ว  แต่สุดท้ายทั้งหมดกลับตาลปัตร พวกมันรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าและโกรธแค้นแทบจะกระอักเลือด

 

จี้เทียนซิงผ่านการทดสอบขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลจี้สำเร็จ เขาเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามและนำผลึกฟ้ากลับมาได้

 

เรื่องนี้ทำให้จี้หรูเฟิ่งและจี้ชางเหอพูดไม่ออก แม้พวกมันจะไม่เต็มใจ แต่ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่พวกมันผลักดันขึ้นมาเอง สุดท้ายก็ต้องยอมรับสถานะประมุขของจี้เทียนซิง

 

จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้ามทุกคนจากนั้นก็ผินกายออกไปจากห้องโถงใหญ่พลางหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

 

เขากลับไปที่บ้านของตนเองและเข้าไปในห้องลับทันทีเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูความแข็งแกร่ง

 

 

……

 

 

ณ สวนป่าสวรรค์ที่อยู่ห่างจากตระกูลจี้ประมาณ 3 กิโลเมตร

 

ในคฤหาสน์มีเจดีย์สูงตั้งอยู่และบนยอดเจดีย์มีบุรุษสองหนึ่งสตรียืนอยู่

 

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเงินคือไป๋หวู่เชิน ส่วนสตรีในชุดขาวที่มีเรือนยาวเงางามสีดำพริ้วไหลในสายลมก็คือหยุนเหยา

 

นางยืนอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างสง่างาม สีหน้าแสดงออกอย่างลึกซึ้งและเอ่ยขึ้นมาว่า

“ข้าเพิ่งสัมผัสได้ถึง… กลิ่นอายของลมหายใจมังกร เป็นไปได้หรือ ?”

 

นางเป็นคนที่เยือกเย็นและหยิ่งทะนงมาโดยตลอด นางไม่เคยแสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่น่าประหลาดใจเช่นนี้

 

ไป๋หวู่เชินได้ยินเสียงแผ่วเบาจากปากของนาง มันอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆว่า  “มังกร?  เมืองจักรวรรดิชิงหยุนอันเล็กจ้อยแห่งนี้จะปรากฏลมหายใจแห่งมังกรได้อย่างไร ?  ศิษย์พี่หญิงใหญ่ จิตสัมผัสท่านผิดเพี้ยนไปแล้วหรือไม่ ?”

 

หยุนเหยากระตือรือร้นไม่น้อยและพยายามสำรวจกลิ่นอายลมหายใจมังกร เป็นเรื่องน่าเสียดาย กลิ่นอายของมันปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่และเลือบหายไปแทบจะทันที

 

เมื่อได้ยินข้อสงสัยของไป๋หวู่เชิน นางส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นผู้มีสายเลือดกายาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้ามีสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นอายของทุกเผ่าพันธุ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะผิดพลาด !”

“ถึงแม้ว่าร่องรอยของมันจะปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่และหายไปแทบจะทันที แต่ข้ามั่นใจว่านั่นคือลมหายใจมังกร !”

 

เมื่อได้ยินหยุนเหยากล่าวถึงสายเลือดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไป๋หวู่เชินผุดยิ้มบางขึ้นทันทีและใบหน้าแสดงออกอย่างภาคภูมิพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นสัมผัสจากสายเลือดของศิษย์พี่หญิง เช่นนี้ย่อมไม่ผิดพลาด ที่แท้ในเมืองแห่งนี้กลับมีมังกรซุกซ่อน  แต่ว่าเรื่องนี้ยากที่จะปักใจเชื่อนัก มังกรจะดำรงอยู่ในเมืองจักรวรรดิชิงหยุนได้อย่างไร ?”

 

“มิใช่ว่าเผ่าพันธุ์มังกรตั้งรกรากอยู่ในโพ้นทะเลตงไห่ไร้สิ้นสุดหรอกหรือ ?  มันจะบินข้ามเส้นทางนับพันล้านไมล์มายังอาณาจักรเทียนเฉินได้อย่างไรกัน ?!”

(*ดินแดนดาราสวรรค์ ต่อไปนี้ขอใช้เป็นอาณาจักรเทียนเฉินนะครับ 天辰 เทียน = สวรรค์  เฉิน = ดวงดาว)

 

ถึงแม้จะมั่นใจในสัมผัสแห่งสายเลือดของหยุนเหยา แต่ไป๋หวู่เชินก็ไม่อาจปักใจเชื่อได้ลง

 

หยุนเหยาขมวดคิ้วเรียวงามอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็นึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างและกล่าวว่า

“เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนที่ท่านอาจารย์สอนสั่งเกี่ยวกับลักษณะของเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกนี้ให้ข้าฟัง ข้าเคยถามท่านเกี่ยวกับมังกรจากโพ้นทะเลตงไห่ ท่านได้เล่าเหตุการณ์หนึ่งให้ข้าฟัง”

 

“ว่ากันว่าราวๆหนึ่งร้อยปีก่อน  อาณาจักหยงอันซึ่งอยู่ติดกับอาณาจักรเทียนเฉิน มีนิกายชั้นสูงที่ทรงอำนาจมากชื่อว่านิกายสหภาพวิญญาณ พวกเขาครอบครองสัตว์วิญญาณนับไม่ถ้วนและมีแม้กระทั่งสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากยิ่ง”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเหยา ไป๋หวู่เชินก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “นิกายสหภาพวิญญาณแห่งอาณาจักรหยงอัน ?  ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง ครั้งหนึ่งพวกเขาเป็นกลุ่มอำนาจสูงสุดและควบคุมอาณาจักรหยงอันทั้งหมด เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนหลังจากเกิดหายนะบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดทราบ นิกายสหภาควิญญาณประสบการสูญเสียมากมาย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาได้ฟื้นฟูนิกายขึ้นมาใหม่และยังคงติดหนึ่งในสามสุดยอดนิกายของอาณาจักรหยงอัน”

 

“ถูกต้อง เรื่องราวเป็นอย่างที่เจ้ารับรู้” หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวต่อไปว่า  “เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน นิกายสหภาพวิญญาณตกอยู่ในภัยพิบัติ ประมุขและอาวุโสของนิกายหลายคนหนีออกจากนิกาย จากนั้นพวกเขาทั้งหมดล้วนหายตัวไป”

 

“ในบรรดาประมุขและอาวุโสเหล่านั้นที่หายสาบสูญ มีบางคนได้นำสัตว์อสูรหายากมากมายออกมาจากนิกาย รวมไปถึง….มังกรทะเลตงไห่ !”

 

“ได้มีการกล่าวไว้ว่า มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งในนิกายสหภาพวิญญาณที่ประสบความสำเร็จสูงยิ่งในวิถียุทธ์  คนผู้นี้เป็นผู้นำมังกรทะเลตงไห่ติดตัวไปด้วยตอนหนีออกจากนิกาย คนๆนั้นออกจากนิกายสหภาพวิญญาณพร้อมกับมังกรแล้วหายตัวไป  ต่อนิกายได้เริ่มฟื้นฟูกลับมาใหม่ พวกเขาได้ส่งคนออกไปทำการค้นหาครั้งใหญ่ทั่วทั้งอาณาจักรหยงอัน”

 

“ถึงกระนั้น เหล่าศิษย์สาวกของนิกายหยงอันก็ยังค้นหามาจนถึงอาณาจักรเทียนเฉิน แต่จบลงด้วยการคว้าน้ำเหลว”

 

ไป๋หวู่เชินเลิกคิ้วขึ้นและกระพริบตาถี่พลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงท่านหมายความว่า….. ลมหายใจแห่งมังกรที่ท่านสัมผัสได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ?”

 

หยุนเหยาส่ายหัวและกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าไม่ทราบ  ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกันหรือไม่ เพียงแค่ข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของมังกรและจดจำอดีตที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้เท่านั้น”

 

นางเงียบไปครู่หนึ่งและเริ่มพูดอีกครั้งว่า “ศิษย์น้องไป๋ อีกสามวันจะถึงวันทดสอบใหญ่ พวกเจ้าเตรียมการไว้เป็นอย่างไรบ้าง ?”

 

ไป๋หวู่เชินยิ้มบางและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านวางใจ เรื่องการทดสอบนั้นข้าได้เตรียมการไว้พร้อมสรพพแล้ว รับรองว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นแน่”

 

“แต่… ข้ามีบางอย่างที่ต้องการให้ศิษย์พี่หญิงตัดสินใจ”

 

หยุนเหยามองไปข้างหน้าเดี๋ยวไม่เหลียวกลับมามองไป๋หวู่เชินและถามอย่างสงบว่า “เรื่อง ?”

 

ไป๋หวู่เชินอธิบายว่า “จากจำนวนผู้ผ่านการทดสอบวัดระดับพลังเมื่อเดือนก่อน มีสตรีนางหนึ่งของตระกูลหลิงที่ผ่านการทดสอบ นางชื่อว่าหลิงหยุนเฟย นางถูกสังหารเมื่อหลายวันก่อนทำให้ตอนนี้มีตำแหน่งว่างสำหรับการทดสอบสุดท้ายเหลืออยู่อีกหนึ่งที่  ท่านเห็นว่าควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ?”

 

หยุนเหยามองไปที่ทิศทางของตระกูลจี้ทันที  ดวงตาคู่งามของนางเปล่งประกายชั่ววูบที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

 

หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง นางก็กล่าวว่า “ในเมื่อยังมีตำแหน่งว่าง เช่นนั้นจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบครั้งแรกเถิด”

 

“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าจงรับผิดชอบจัดเตรียมค่ายกลที่จัตุรัสกลางเมืองและออกประกาศไปให้ทั่วเมืองได้รับรู้  ภายในสามวันหากมีจอมยุทธ์รุ่นเยาว์คนไหนที่ผ่านด่านทดสอบนี้ไปได้ คนผู้นั้นจะได้ครองตำแหน่งที่ว่างและได้เข้าร่วมในการทดสอบสุดท้าย”

 

ไป๋หวู่เชินลอบตกตะลึงในใจ แต่มองผิวเผินเหมือนยังสงบอยู่ “ทำไมศิษย์พี่หญิงถึงต้องทำเช่นนี้ ?  หรือว่านางมีจุดประสงค์อื่น ?”

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ถาม เพียงแค่ยิ้มและพยักหน้า “รับทราบ  เช่นนั้นข้าจะรีบไปจัดการตามที่ศิษย์พี่เสนอ”

 

หลังจากนั้นไป๋หวู่เชินก็อำลาและหันหลังลงไปจากยอดเจดีย์

 

ขณะนี้เหลือเพียงหยุนเหยาที่ยืนรับสายลมอยู่บนยอดเจดีย์  แววตาของนางฉายแววครุ่นคิดอย่างล้ำลึก

 

 

 

……

 

 

 

ณ เคหะตระกูลจี้

 

ในเวลากลางคืนทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยความเงียบสงัดและเหลือเพียงไม่กี่บ้านเท่านั้นที่ยังมีแสงไฟสว่างขึ้น

 

จี้เทียนซิงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในห้องลับสามชั่วโมงจนกระทั่งฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องลับ

 

ในขณะที่เขากำลังจะเรียกหาสาวใช้ฮวนเอ๋อเพื่อให้นางเตรียมอาหารให้ จู่ๆก็เกิดสายลมแรงพัดในลานกว้างนอกบ้าน

 

มีเงาร่างสีดำทั้งเก้าราวกับภูตผีปรากฏขึ้น  พวกมันตัดผ่านแสงสว่างรำไรจากท้องฟ้ายามค่ำคืนและลงมาในลานกว้าง

 

ร่างทั้งเก้าสวมชุดสีดำและปกปิดใบหน้า พวกเขาสะพายกระบี่ไว้กลางหลัง แต่ละคนล้วนเผยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา

 

จากนั้นแปดร่างแยกกันยืนเป็นสองแถวและมีผู้นำเดินออกมากล่าวด้วยเสียงเบาๆว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ  มู่ซานขอพบ !”

 

เดิมทีจี้เทียนซิงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นนักฆ่าเพราะเป็นไปได้สูงที่จี้หรูเฟิ่งจะส่งคนมาลอบสังหารเขา

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากจี้เทียนซิงได้ยินเสียงของผู้ที่อยู่ข้างนอกเขาก็คลายความระมัดระวังลงและใบหน้าเกิดรอยยิ้มขึ้น

 

เขาวางกระบี่มังกรดำลงและกล่าวว่า “เข้ามา !”

 

สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ชายชุดดำที่ชื่อมู่ซานก็ผลักประตูเปิดออกทันทีและเข้าไปในห้องพร้อมกับชายชุดดำอีก 8 คน

 

หลังจากเข้าไปในบ้านของจี้เทียนซิงแล้ว มู่ซานและทั้งหมดก็เดินไปที่ด้านหน้าของจี้เทียนซิงและคุกเข่าลงข้างหนึ่งพลางกล่าวว่า “ข้าน้อยมู่ซานรองหัวหน้าหอเงากระบี่คารวะคุณชายขอรับ !”