ตอนที่ 67 ศาสตร์ลับอวี้เจี้ยน

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 67 ศาสตร์ลับอวี้เจี้ยน

 

 

กลุ่มคนชุดดำทั้งเก้าที่เข้ามาในห้องของจี้เทียนซิงนั้นเป็นยอดฝีมือของหอเงากระบี่ ส่วนผู้นำร่างสูงที่มีนามว่ามู่ซานก็เป็นตัวตนระดับรองหัวหน้า

 

จี้เทียนซิงเก็บกระบี่กลับไปและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มู่ซาน ข้ารอเจ้ามานานแล้ว ลุกขึ้นเถอะ !”

 

มู่ซานและมือกระบี่ทั้ง 8 คนลุกขึ้นและโค้งคำนับชายหนุ่มด้วยความเคารพ

 

มู่ซานเดินมาหาจี้เทียนซิงจนห่างกันเพียงสองก้าวและกล่าวรายงานต่อชายหนุ่มด้วยเสียงต่ำว่า “คุณชายใหญ่ มู่ซานผู้นี้กลับมาเพื่อรายงานเกี่ยวกับเรื่องหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต”

 

“ทว่า เพียงแค่กลับเข้ามาถึงตระกูลก็ได้ทราบข่าวใหญ่ทันทีว่าคุณชายใหญ่ผ่านการทดสอบและขึ้นเป็นประมุขของตระกูลเราแล้ว  ข้าน้อยขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ !”

 

จี้เทียนซิงโบกมือและถามเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วว่า “พูดเรื่องหมู่ตึกอาภรณ์โลหิตมาก่อน  เป็นอย่างไรบ้าง ?”

 

มู่ซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เรียนคุณชายใหญ่ หมู่ตึกอาภรณ์โลหิตถูกลบไปจากโลกนี้แล้วขอรับ !”

 

“ในเขตหยุนโจว, สำนักงานใหญ่ของพวกมันรวมไปถึงสาขาทั้งสี่ ถูกหอเงากระบี่ทำลายล้างหมดสิ้นแล้ว”

 

“สมาชิกของพวกมันมีทั้งสิ้น 189 คน ถูกสังหาร 181 คน ที่เหลือรอดอีก 8 คนเป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น รองหัวหน้าและยอดฝีมืออีก 14 คนกำลังไล่ล่าผู้ที่เหลือรอดทั้ง 8 หลังจบงาน พวกเขาจะกลับมาที่เมืองจักรวรรดิเพื่อรายงานข่าวอีกครั้งขอรับ”

 

หลังจากฟังรายงานของมู่ซาน จี้เทียนซิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและยิ้มอย่างปลาบปลื้มพลางกล่าวว่า “ยอด พวกเจ้าทำได้ดีมาก!”

 

“แล้วเจ้าสืบชัดหรือยังว่าเป็นผู้ใดจ้างมือสังหารของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิตมาเพื่อสังหารข้า ?”

 

มู่ซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เรียนคุณชายใหญ่ ข้าตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ผู้ว่าจ้างคือมารดาของกู่ห่าว พวกเราได้สังหารนางไปแล้ว นอกจากนี้พวกเรายังได้ตรวจสอบในเชิงลึกแล้วพบว่านางได้รับจดหมายลับจากคุณชายจี้ห่าวขอรับ”

 

สำหรับความสามารถของหอเงากระบี่นั้น จี้เทียนซิงไม่เคยสงสัยเลย พวกเขาทำงานได้ดีและละเอียดรอบคอบเสมอ หลังจากฟังรายงานของมู่ซานแล้ว ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเย็นชาและมีรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก

 

“ข้าไม่คิดเลยว่าผู้ที่รายงานการเคลื่อนไหวของข้าตอนที่พักในเมืองไต้ห่าวจะเป็นจี้ห่าว !”

 

“เป็นแผนการยืมมีดฆ่าคนที่ชั่วช้านัก  ลูกพี่ลูกน้องของข้าผู้นี้มีนิสัยแบบเดียวกับบิดาของมัน  พวกมันเป็นดั่งหมาป่าที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน !”

 

มู่ซานไม่ออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเป็นรองหัวหน้าหอกระบี่ที่เคารพเพียงคำสั่งของประมุขและทำตามหน้านี้ที่ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น

 

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน เขาเอ่ยถามว่า “คุณชายใหญ่ ขณะนี้ท่านอดีตประมุขได้รับบาดเจ็บสาหัสและพักรักษาตัวอยู่   สถานการณ์ภายนอกนั้นตระกูลหลิงเริ่มมีการเคลื่อนไหวบ่อยครั้งและมุ่งเป้าไปที่โรงหลอมตระกูลจี้ ส่วนภายใน… อาวุโสสองรวมหัวกับอาวุโสสามเพื่อรอโอกาสยึดอำนาจ….”

 

“ตอนนี้คุณชายใหญ่ขึ้นเป็นประมุขแล้ว ข้าน้อยขอบังอาจถาม ไม่ทราบว่าท่านมีแผนการอย่างไรต่อไปขอรับ ?”

 

จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยสติปัญญา เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ก่อนอื่นแก้ปัญหาความไม่สงบในตระกูลจี้ก่อน ไม่ต้องสนใจตระกูลหลิงให้มากนัก”

 

“หลิงซื่อไห่บาดเจ็บสาหัสและคงไม่กล้ามาหาเรื่องกับตระกูลจี้ของเราตรงๆในอนาคตอันใกล้  ดังนั้นตระกูลหลิงทำได้เพียงป่วนโรงงานหลอมกระบี่ของเราตามชานเมืองเท่านั้น เจ้าสั่งการให้ยอดฝีมือที่ดูแลโรงหลอมคอยตั้งรับไว้ก็พอ”

 

“นอกจากนี้ เจ้าต้องลอบสืบข่าวลับๆและทำการค้าหาหลักฐานการแอบซื้อขายอาวุธของตระกูลจี้  ข้าต้องการรู้ข้อมูลทั้งหมดเบื้องหลังก่อน จากนั้นค่อยหาวิธีตัดแขนตัดขาของอาวุโสสองแล้วจัดการกับพวกมันทั้งหมดในคราเดียว !”

 

“เอาล่ะ ไปทำงานได้”

หลังจากกล่าวจบจี้เทียนซิงก็โบกมือ

มู่ซานประสานมือคารวะและตอบรับว่า “รับบัญชาขอรับ !”

 

จากนั้นมู่ซานก็นำมือกระบี่ทั้งหมดออกไปจากสวนเล็กเพื่อไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย

 

แม้ทุกคนจะจากไปแล้ว แต่จี้เทียนซิงก็ยังยืนอยู่เพียงลำพังด้วยใบหน้าที่ครุ่นคิด

“อีกสามวันนิกายหนุนสวรรค์จะคัดเลือกศิษย์ใหม่ หากข้าไม่สามารถเข้านิกายได้ ข้าก็ต้องดูแลกิจการของตระกูลจี้ต่อไปและช่วงชิงความเป็นใหญ่กับเหล่ากองกำลังและตระกูลต่างๆ เพื่อเป็นประมุขของตระกูลไปชั่วชีวิต……”

 

 

“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ !”

 

จี้เทียนซิงกล่าวกับตัวเองในใจ เขากำหมัดแน่นดวงตาเปล่องประกายด้วยแสงแห่งความมุ่งมั่น

 

การเข้านิกายหนุนสวรรค์เป็นเป้าหมายและความฝันของเขามานานแล้ว เขาเบื่อชีวิตขุนนางแบบนี้

 

เมืองจักรวรรดิและรัฐนี้เป็นดั่งกรงทองสำหรับเขา

เขาต้องการที่จะทลายกรงนี้และบินขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของวิถียุทธ์ เขาต้องการออกไปชมโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ไพศาล !

 

หลังจากนั้นไม่นาน จี้เทียนซิงก็กลับเข้าไปที่ห้องลับและเริ่มฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่

 

ในขณะนี้เขาได้บ่มเพาะวิถีดวงใจกระบี่ถึงขั้นที่สองแล้ว ซึ่งก็ยังไม่ติดขัดใดๆและประสบความสำเร็จเล็กน้อย

 

เทคนิคการบ่มเพาะในขั้นนี้ไม่เพียงแค่บ่มเพาะพลังต้นกำเนิดเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มพลังของตัวอ่อนกระบี่และช่วยให้ควบคุมปราณกระบี่ได้ดั่งแขนขา

 

จี้เทียนซิงได้ตั้งชื่อวิชาบ่มเพาะในขั้นตอนนี้ว่า ‘ศาสตร์ลับอวี้เจี้ยน’ และได้ทำการบ่มเพาะอย่างหนักในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

ภายในห้องลับที่มืดมิด เขานั่งอยู่บนข่ายอาคมด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งด้วยความคิดในใจ  “การบ่มเพาะก็เหมือนกับการต่อสู้กับสายน้ำ หากไม่คืบหน้าก็มีเพียงถอยหลัง !”

 

“ภายในสามวันนี้ข้าจะต้องสำเร็จศาสตร์ลับอวี้เจี้ยนให้จงได้เพื่อให้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด  มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะเป็นผู้มีคุณสมบัติเข้านิกายหนุนสวรรค์ !”

 

ต่อมาจี้เทียนซิงก็เข้าสู่พวังค์และเริ่มทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่การบ่มเพาะศาสตร์ลับอวี้เจี้ยน

 

 

 

……

 

 

ในเวลาเดียวกัน ณ เคหะตระกูลจี้หลังที่สี่

 

ภายในห้องใต้ดินอันมืดมิดมีเพียงตะเกียงน้ำมันสลัวๆเท่านั้นที่ส่องแสง

 

จี้หรูเฟิ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เย็นชา มือทั้งสองกุมแน่นไปที่พักมือจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปนอย่างน่ากลัว

 

เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธแค้นมากและหัวใจของเขากำลังพุ่งพล่านไปด้วยโทสะอันรุนแรง

 

จี้ห่าวที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็มีสีหน้าดุร้ายไม่แพ้กัน ทั่วร่างเปล่งจิตสังหารไปทั่ว

 

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่ก้นด่าสาปแช่งออกมา

 

“ระยำ ! เจ้าสารเลวจี้เทียนซิง !  มันใช้วิธีการใดถึงได้ผ่านการทดสอบมาได้ ข้าไม่อยากเชื่อ !”

 

“เพียงแค่เวลาเดือนเดียว มันฟื้นฟูกลับสู้เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงอย่างรวดเร็วจากชนชั้นปรับแต่งกายา  มันไม่เพียงแค่สังหารหลิงหยุนเฟยได้เท่านั้น แต่มันยังเป็นยอดมือกระบี่ด้วยวิชาแปลกพิสดารนั่น  สุดท้ายมันก็ขึ้นเป็นประมุข !”

 

“ท่านพ่อ ! เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง การเปลี่ยนแปลงของจี้เทียนซิงมันพลิกฟ้าเกินไปและเติบโตอย่างรวดเร็วเหนือสามัญสำนึก  พวกเราจะเกิดปัญหาแน่ !”

จี้ห่าวเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความริษยา

 

จี้หรูเฟิ่งขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ห่าวเอ๋อ  พ่อเข้าใจถึงเปลี่ยนแปลงของจี้เทียนซิงได้อย่างชัดเจน  มันน่าสงสัยมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยกันเรื่องนี้”

 

“มีรายงานมาว่าจี้เทียนซิงส่งหอเงากระบี่ไปควบคุมเหล่าบุคลสำคัญของตระกูลให้อยู่แต่ในบ้าน อีกทั้งยังเพิกถอนสิทธิ์สั่งการ”

 

“นี่แสดงให้เห็นว่ามันคิดจะจัดการกับคนเหล่านั้นเพื่อตัดแขนตัดขาพ่อ จากนั้นก็จัดการกับพ่อ !”

 

ใบหน้าที่โกรธกริ้วของจี้ห่าวบิดกระตุก  ดวงตาของเขายิ่งบ้าคลั่งและเต็มไปด้วยจิตสังหารพลางกล่าวว่า “ระยำเอ้ย !  แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่าท่านพ่อ ? นั่งรอในนี้เฉยๆให้มันมาแล่เนื้อเถือหนังหรือไง ?”

 

จี้หรูเฟิ่งสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าวว่า “ยอดฝีมือของหอเงากระบี่กลับมาแล้ว  เป็นไปไม่ได้ที่เราจะสังหารจี้เทียนซิงในตระกูลจี้”

 

“เพื่อความปลอดภัยในตอนนี้ พวกเราทำได้เพียงรอดูเท่านั้น “อีกสามวันข้างหน้าจะเป็นวันคัดเลือกศิษย์ใหม่ของนิกายหนุนสวรรค์  พ่อมั่นใจว่าจี้เทียนจะต้องหาทางเข้าร่วมอย่างแน่นอน”

 

“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดพ่อส่งสาสน์ลับไปแจ้งองค์ชายจี้หลิงแล้ว พระองค์ตอบกลับมาว่าให้พวกเราอยู่เฉยๆอดทนรอไปอีกสามวัน”

 

“อีกสามวันข้างหน้า องค์ชายน้อยจะลงมือกับจี้เทียนซิงด้วยตัวเองเพื่อช่วยแก้ปัญหาทั้งปวง !”

 

“หากจี้เทียนซิงตายด้วยมือองค์ชาย พวกเราค่อยจัดการกับจี้ชางคงที่บาดเจ็บสาหัส สุดท้ายตำแหน่งประมุขก็จะเป็นของพวกเรา !”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของบิดา สีหน้าของจี้ห่าวก็ดูโล่งอกขึ้นเล็กน้อย

 

เขาครุ่นคิดชั่วขณะพลางถามด้วยความลังเลว่า “เดี๋ยวก่อนสิท่านพ่อ หากเราพึ่งพาองค์ชายน้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าอนาคตเราต้องอยู่ในกำมือราชวงศ์หรอกหรือ ?”

 

“จากที่ได้ประพบกับพระองค์ ความทะเยอทะยานขององค์ชายน้อยมากมายนัก หากเป็นดั่งที่ท่านว่า ข้าเกรงว่าในอนาคตตระกูลจี้ทั้งหมดจะตกเป็นของผู้อื่น มิใช่พวกเรา”

 

จี้หรูเฟิ่งขมวดคิ้วด้วยดวงตาที่ทอประกายเย็นชา เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“การจะทำการใหญ่เจ้าต้องกล้าเสี่ยงและหาที่พึ่งพิงในยามคับขันให้ถูกคน”

 

“เจ้าลองคิดดู ในเมื่อจิตใจขององค์ชายน้อยเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน หากเขามีอำนาจและพลังมากพอ เจ้าคิดว่าพระองค์จะสนใจแค่เมืองจักรวรรดิและรัฐเล็กๆเช่นนี้หรือ ?”

 

“หากพวกเราแสดงออกต่อพระองค์อย่างจริงใจ ข้ามั่นใจว่าพวกเราสามารถพึ่งพิงและรอรับส่วนแบ่งที่มากขึ้นในอนาคตได้ !”