ตอนที่ 68 การทดสอบชิงตำแหน่งที่ว่างเว้น

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 68 การทดสอบชิงตำแหน่งที่ว่างเว้น

 

 

 

หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อจี้เทียนซิงออกจากการบ่มเพาะ ทักษะความสามารถของเขาก็เพิ่มขึ้นหลายจุด อีกทั้งความแข็งแกร่งก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

 

เขากลับไปที่ห้องได้ไม่นานฮวนเอ๋อก็ยกอ่างล้างหน้าและอาหารเช้ามาให้เพื่อให้ชายหนุ่มได้จัดการกับกิจวัตรประจำวัน

 

ในระหว่างกินอาหารเช้าฮวนเอ๋อก็รายงานว่า “คุณชายใหญ่คะ เมื่อเช้านี้ฮวนเอ๋อได้ยินผู้คนพูดกันบางอย่าง  พวกเขาคุยกันว่านิกายหนุนสวรรค์ได้ตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นที่จัตุรัสกลางเมืองและได้ป่าวประกาศไปว่า หนึ่งในตำแหน่งผู้ผ่านการทดสอบรอบแรกที่เดิมทีเป็นของหลิงหยุนเฟยได้ว่างเว้น  พวกเขาจึงหาคนเพิ่มอีกหนึ่ง  ตอนนี้จตุรัสกลางเมืองเต็มไปด้วยความอลม่านของผู้สมัครเป็นจำนวนมาก”

 

“ขอเพียงเป็นรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในเมืองจักรวรรดิและสามารถผ่านค่ายกลทดสอบนี้ไปได้ก็จะได้รับที่นั่งที่ว่างเว้นเพื่อเข้าไปทดสอบครั้งสุดท้ายในอีกสองวันให้หลัง”

 

“คุณชายใหญ่คะ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของท่านแล้ว ท่านคิดจะลองไปสมัครดูไหม ?”

 

จี้เทียนซิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงและคิดในใจ “มีตำแหน่งว่างงั้นหรือ ?  ที่แท้เป็นเพราะหลิงหยุนเฟยตาย”

 

เขาพยักหน้าและยิ้ม “แน่นอนฮวนเอ๋อ นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ข้าจะพลาดได้อย่างไร”

 

หลังจากเสร็จกิจยามเช้า จี้เทียนซิงก็นั่งรถม้าออกจากเคหะตระกูลจี้ไปยังจัตุรัสกลางเมือง

 

เมื่อเขามาถึงที่จัตุรัสกลางเมืองก็พบว่ามันเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนแน่นขนัด มีทั้งประชากรของเมืองจักรวรรดิ ตลอดจนจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่ไม่ผ่านการทดสอบแรก หวังจะมาเสี่ยงโชคอีกสักคราในการทดสอบตำแหน่งที่ว่างครั้งนี้

 

จี้เทียนซิงลงจากรถม้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาเดินผ่านฝูงชนและมุ่งไปที่จัตุรัสทันที

 

ที่นั่นมีเวทีสูงกว่า 100 เมตรที่ล้อมรอบไว้ด้วยรั้วหินหยกสีขาวเป็นรูปปั้นสัตว์วิญญาณหลากหลายชนิด

 

โดยทั่วไปแล้วในเมืองจักรวรรดิ หากมีการเฉลิมฉลองหรือเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ก็มักจะจัดขึ้นบนเวทีสูงแห่งนี้

 

ในขณะนี้บนเวทีสูง มีเพียงลูกบอลแสงสีทองเข้มเพียงลูกเดียววางอยู่

 

ลูกบอลแสงมีขนาดใหญ่เท่ากับสนามๆหนึ่งและประกอบไปข่ายอาคมของพลังต้นกำเนิด พื้นผิวของมันเป็นประกายด้วยแสงสีทอง

 

เห็นได้ชัดว่านี่คือข่ายอาคมของนิกายหนุนสวรรค์ !

 

เวทีสูงรอบๆเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนล้วนจ้องมองลูกบอลแสงสีทองและกระซิบกระซาบกัน

“ศิษย์นิกายหนุนสวรรค์ช่างยอดเยี่ยมนัก  ข่ายอาคมนี้ช่างไม่สามัญธรรมดาจริงๆ !”

 

“สิ่งนี้คือข่ายอาคมลวงตาใช่หรือไม่ ? ว่ากันว่ามันเป็นข่ายอาคมล้ำลึกระดับต่ำจริงหรือ ?”

 

“ข่ายอาคมที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้วางย่อมเป็นยอดฝีมือในเขตแดนเชื่อมลมปราณ  จอมยุทธ์ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงยากที่จะทำลายมันลงได้ !”

 

“ชนชั้นปรับแต่งกายาไม่ต้องหวังเลย  ข้าว่าผู้ที่จะผ่านมันได้อย่างน้อยๆก็สมควรเป็นจอมยุทธ์ระดับต้นกำเนิดแท้จริงขึ้นไป !”

 

“โชคไม่ดี ข้าไม่อาจเห็นสถานการณ์ภายในข่ายอาคมจากภายนอกเลย ไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง”

 

จี้เทียนซิงเดินผ่านฝูงชนไปที่ด้านล่างเวทีและมองไปที่ข่ายอาคมลวงตาอย่างเงียบสงบเพื่อคอยฟังสถานการณ์จากจอมยุทธ์โดยรอบ

 

ในเวลานี้เองลูกบอลสีทองเข้มบนเวทีสูงก็ส่องแสงสีทองสองสายออกมาทันที

 

“ตูม !”

เงาร่างหนึ่งกระเด็นออกมาจากลูกบอลแสงและถูกผลักออกไปไกลนับสิบๆเมตรจากข่ายอาคม เขากลิ้งโคโร่อย่างหมดท่าบนเวทีสูง

 

คนผู้นี้เป็นจอมยุทธ์หนุ่มแต่งตัวหรูหราดูแล้วไม่สามัญธรรมดา

 

อย่างไรก็ตามเขาได้รับบาดเจ็บในข่ายอาคมลวงตา เสื้อผ้าขาดกระจุยจนเผยให้เห็นบาดแผลลึกที่เลือดนองเจิ่งมากกว่าสิบแผล แถมยังถูกดีดออกมาจากข่ายอาคมอีก    สภาพของเขาดูทุลักทุเลมาก

 

เมื่อเห็นรุ่นเยาว์ผู้นี้เดินลงจากเวที จอมยุทธ์รอบๆก็ส่งเสียงอุทานผสมกับเสียงหัวเราะเยาะ

 

“บะ  บ้าแล้ว ขนาดคนผู้นี้ที่มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่สองก็ยังไม่ผ่านเลยหรือ ?”

 

“เฮ้ๆพี่ชาย เจ้ามองไม่ออกรึ ?  ข่ายอาคมลวงตานี้น่าจะจำกัดเวลาเอาไว้ เมื่อคนผู้นั้นล้มเหลวจนหมดเวลาในการทดสอบก็จะถูกดีดออกมา”

 

“โอ้…. ดูเหมือนว่าการจะได้ครอบครองตำแหน่งที่ว่างดูจะยากเย็นมิน้อย แม้แต่จอมยุทธ์เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่สองก็ยังไม่ผ่าน”

 

“ข้าเดาว่าผู้ที่จะผ่านมันไปได้ไม่เพียงแค่ต้องมีพลังในระดับต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่สามเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคมอีกด้วย !”

 

เมื่อได้ยินบทสนทนาที่เซ็งแซ่จากผู้คนโดยรอบ จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เขาสังเกตการผู้เข้าทดสอบถึง 4 รอบและได้เห็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ท่าทางแข็งแกร่งมากมายต่างก็ได้รับบาดเจ็บ สีหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัดกระอักกระอ่วน

 

หลังจากนั้นลูกบอลสีทองเข้มก็เปิดทางเข้าสีดำขึ้นอีกครั้ง  เห็นได้ชัดว่ามันเปิดอ้ารอคอยผู้สนใจเข้าทดสอบรายต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ชมส่วนใหญ่เพียงมองดูด้วยความตื่นเต้นเท่านั้นและยังไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป

 

 

ฟุ่บ !

 

ในเวลานี้ชายหนุ่มที่ดูแข็งแรงสวมชุดสีดำก็กระโดดสูงปราดขึ้นเวที และกระโจนเข้าไปในประตูสีดำ

 

ฝูงชนรอบๆต่างก็อุทานด้วยความตกใจออกมาทันที

 

“ดูนั่น ! มีรุ่นเยาว์ไม่ประมาณตนอยากลองของเข้าไปอีกแล้ว !”

 

“ข้ารู้จักคนผู้นั้น, มันคือหลิวเอี๋ยนของตระกูลหลิว มันมีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่สาม !”

 

“ข้าได้ยินมาว่าเขาเก็บตัวบ่มเพาะทั้งวันทั้งคืนจนพลาดการทดสอบระดับพลังในรอบแรกไป  เขาสำนึกเสียใจอยู่เสมอจนตอนนี้มีตำแหน่งว่าง เขาจึงมาทดสอบในวันนี้นั่นเอง”

 

“หลิวเอี๋ยนเข้าไปแล้ว ! ข้าไม่รู้ว่าเขาจะผ่านหรือไม่ !”

 

จี้เทียนซิงสดับรับฟังการสนทนาของผู้คนรอบตัวเขาและจ้องมองไปที่หลิวเอี๋ยนด้วยความสนใจ

 

หลังจากหลิวเอี๋ยนเข้าสู่ประตูสีดำ ร่างของเขาก็หายไป มองจากภายนอกนั้นลูกบอลแสงสีทองเงียบมอง มันไม่มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมา จนไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ภายในนั้น

 

หลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ลูกบอลสีทองเข้มก็ส่องแสงสีทองออกมาอีกครั้ง

 

 

“ตูม !”

 

หลิวเอี๋ยนถูกดีดกระเด็นออกมาและกระอักเลือดคำโตกระแทกกับพื้นเวที  เขาเบิกตากว้างอย่างตะลึงงันอยู่บนพื้น

 

 

“นั่นไง  ! หลิวเอี๋ยนกระเด็นออกมาอีกคนแล้ว ข่ายอาคมบ้านี่คงยากที่จะมีผู้ใดผ่าน”

 

“หากจอมยุทธ์หนุ่มที่เก่งกาจอย่างหลิวเอี๋ยนไม่ผ่าน ดูท่าทางตำแหน่งว่างคงต้องปล่อยว่างต่อไป”

 

เกิดการถกเถียงกันอีกครั้งในฝูงชนและหลายๆคนเริ่มรู้สึกถอดใจ

หลังจากหลิวเอี๋ยนที่พยายามลุกขึ้นอย่างหมดสภาพเดินกะโผลกกะเผลกกลับไปก็ไม่มีผู้ใดกล้าลองของอีก

 

หลังจากเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงก็มีจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเดินมา

 

เมื่อฝูงชนได้เห็นหน้าของจอมยุทธ์หนุ่มชุดขาวที่กำลังเดินขึ้นไปบนเวที พวกเขาต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจและพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น

 

“ทุกท่าน ! คนผู้นั้น  เจียงไป๋อวี้นี่นา !” (ออกมาตอนที่ 18 ในงานเลี้ยงหลงเหมินขององค์ชาย)

 

“เจียงไป๋อวี้ก็คิดจะขึ้นเวทีงั้นหรือ ?  เขาเป็นจอมยุทธ์หนุ่มผู้มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ห้า  อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดอัจฉริยะของประเทศนี้ !”

 

“ไม่สิ ! เจียงไป๋อวี้ผ่านการทดสอบรอบแรกไปแล้ว เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่รอทดสอบรอบสุดท้ายมิใช่หรือ เขามาทำไมกัน ?”

 

“แค่นี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ ? เจียงไป๋อวี้ต้องการอวดศักดาเพื่อเพิ่มพูนชื่อเสียง  หากมันผ่านข่ายอาคมนี้ไปได้ มันจะสร้างความประทับใจให้เหล่าศิษย์ของนิกายหนุนสวรรค์  ภายภาคหน้าเมื่อมันได้เข้านิกายย่อมได้รับการเอ็นดูส่งเสริมเป็นอย่างสูง !”

 

 

“เจียงไป๋อวี้ผู้นี้ทะเยอทะยานไม่น้อย”

จี้เทียนซิงมองอีกฝ่ายที่กำลังเดินเข้าไปในข่ายอาคมอย่างสงบเสงี่ยม มุมปากของเขายกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

 

ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงหลงเหมิน เขาเคยพบกับวีรบุรุษคู่ขาวดำมาก่อน และประทับใจในตัวเจียงไป๋อวี้ไม่น้อย

 

เขาก็ต้องการรู้ว่าเจียงไป๋อวี้ผู้เย่อหยิ่งจะผ่านข่ายอาคมนี้ไปได้หรือไม่

 

 

 

ในไม่ช้า ครึ่งชั่วโมงก็ผ่านไป

 

ทันใดนั้นเองลูกบอลแสงสีทองก็ส่องแสงวาบออกมาและตามมาด้วยเสียง ‘ตูม !’ อีกครั้ง  เงาร่างสีขาวถูกดีดกระเด็นออกมาซึ่งนั่นก็คือเจียงไป๋อวี้ !

 

เสื้อคลุมสีขาวสะอาดของเขาชุ่มโชกไปด้วยโลหิต และกลิ้งกระเด็นไปหลายตลบก่อนที่จะหยุดลงได้

 

ภายใต้สายตาคาดหวังของฝูงชน เดิมทีเขามั่นใจเต็มร้อยว่าจะผ่านข่ายอาคมนี้ไปได้ด้วยระดับพลังของเขา   แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยสภาพที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้

 

เจียงไป๋อวี้รู้สึกอับอายจนใบหน้ากลายเป็นเขียวคล้ำ  เขารีบเดินฝ่าฝูงชนออกไปจากจัตุรัสอย่างรวดเร็ว

 

เหล่าจอมยุทธ์รอบๆมองเงาหลังของเจียงไป๋อวี้ที่ค่อยๆลับตาไป จากนั้นพวกเขาก็ระเบิดเสียงสนทนากันอย่างคึกโครม

 

“บ้าชัดๆ !  ข่ายอาคมลวงตานี้ทรงพลังขนาดนี้เชียว !?  แม้แต่หนึ่งในสิบอัจฉริยะอย่างเจียงไป๋อวี้ก็ยังต้องสะบักสะบอมกลับไป”

 

“บัดซบ ขนาดสิบอัจฉริยะยังไม่เพียงพอ แล้วผู้ใดหน้าไหนถึงจะชิงตำแหน่งว่างไปได้เล่า ?”

 

“นั่นสิ ไม่ว่าใครก็ตามที่ผ่านข่ายอาคมนี้ไปได้ คนผู้นั้นย่อมเป็นอัจฉริยะที่ทรงพลังยิ่งกว่าเจียงไป๋อวี้”