ตอนที่ 69 หมากรุกและกระดาน

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ที่มุมของจัตุรัสเมืองมีเจดีย์สูงกว่า 30 เมตรตั้งอยู่

 

เจดีย์แห่งนี้มีชายหนุ่มสองคนยืนตะหง่านอยู่และสามารถทอดสายตามองเห็นผู้คนได้ทั่วทั้งเวที

 

ชายหนุ่มรูปบอบบางในอาภรณ์สีขาวคือไป๋หวู่เชิน ส่วนข้างๆเขาคือห่าวเมิ่ง

 

ทั้งสองมองไปที่ข่ายอาคมลวงตาและคอยฟังเสียงฝูงชนที่กำลังโต้เถียงกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มบางขึ้น

 

ไป๋หวู่เชินปรากฏรอยยิ้มอันพึงพอใจและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “กบในบ่อที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะบางตัวก็มักจะประเมินตนเองสูงไป พวกมันคิดว่าข่ายอาคมที่ข้าวางไว้จะเผยจุดสำคัญจนผ่านได้ง่ายๆเช่นนั้นเชียว ?”

 

ห่าวเมิ่งแค่นเสียงพลางกล่าวว่า “ถูกต้อง แม้มันจะเป็นข่ายอาคมระดับต่ำ แต่ก็นับว่ายากไม่น้อยสำหรับพวกมัน หากข่ายอาคมระดับนี้ยังผ่านไปไม่ได้ก็ไม่มีวันได้รับความสนใจจากนิกาย”

 

มุมปากของไป๋หวู่เชินยกโค้งขึ้นอีกครั้งและน้ำเสียงเต็มไปด้วยรังเกียจ “สิ่งที่น่าหัวเราะยิ่งกว่าก็คือพวกกบก้นบ่อที่เชื่อมั่นในตัวเองเกินไป พอล้มเหลวจึงมักแสดงสีหน้าที่น่าขันเช่นนี้”

 

ห่าวเมิ่งกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไป๋ การที่พวกมันจะล้มเหลวไม่เป็นท่าก็ถือว่าไม่ได้ไร้เหตุผลเกินไป แม้มันจะเป็นข่ายอาคมระดับต่ำ แต่กระทั่งยอดฝีมือเชื่อมลมปราณก็ยังผ่านได้ยากเลย นับประสาอะไรกับพวกเด็กน้อยในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง”

 

ไป๋หวู่เชินเก็บรอยยิ้มและถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ก็ถูกของเจ้า ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดศิษย์พี่หญิงหยุนเหยาถึงต้องใช้ข่ายอาคมนี้เพื่อทดสอบพวกมัน เจ้าว่านางมีเจตนาอื่นแฝงหรือไม่ ?”

 

 

“เรื่องนี้…. ”

ห่าวเมิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ไป๋ ท่านก็คิดมากไปแล้ว บางทีศิษย์พี่หญิงอาจจะอยากได้ศิษย์ที่มีความสามารถเหนืออัจฉริยะที่มีอยู่ดาษดื่นทั่วไปก็เป็นได้ นิกายของพวกเราคือนิกายหนุนสวรรค์ที่นับว่าเป็นนิกายอันดับหนึ่งในอาณาจักรเทียนเฉิน คนธรรมดาสามัญหรืออัจฉริยะที่ยกหางกันในเมืองเล็กๆไม่คู่ควรจะเข้าไปด้วยซ้ำ”

 

“แม้ตำแหน่งนี้จะเป็นตำแหน่งว่างโดยบังเอิญ แต่ผู้ใดคิดจะคว้ามันย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย”

 

ในขณะที่ห่าวเมิ่งกำลังอธิบายอยู่ ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มชุดดำก้าวขึ้นสู่เวทีสูง

 

เขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มชุดดำและขมวดคิ้วกล่าวโพล่งขึ้นมาว่า “เฮ้ ! ศิษย์พี่ไป๋ เจ้าเด็กนั่นมิใช่เจ้าหนูในตอนนั้น ?”

 

“ขนาดมีตัวอย่างที่ล้มเหลวต่อหน้าตั้งมากมายมันยังกล้าขึ้นเวทีอีกหรือ ?”

 

ไป๋หวู่เชินจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเฉยเมย มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นอย่างเหยียดหยาม “เหอๆ เจ้าหนูคนนั้นนี่เอง  ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงมากน้ำใจต่อมันนัก ถึงขนาดช่วยไว้สองครั้งสองครา  มันคิดว่ามดปลวกฐานะต่ำต้อยอย่างมันศิษย์พี่หญิงจะจดจำได้ จนยื่นมือเข้าช่วยอีกครั้งงั้นหรือไง ?”

 

“ข่ายอาคมชุดนี้ข้าเป็นผู้วางไว้ด้วยตัวเอง ข้าไม่คิดว่ามันจะผ่านไปได้หรอก !”

 

ห่าวเมิ่งเหลือบมองไป๋หวู่เชินด้านข้างและคิดในใจว่าศิษย์พี่ไป๋เหมือนจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับจี้เทียนซิงเสียแล้ว

 

เขาคิดจะกล่าวกับไป๋หวู่เชินสักสองสามประโยคแต่ก็ลังเล สุดท้ายก็เก็บคำพูดกลับไป

 

 

 

…………

 

 

จี้เทียนซิงเดินผ่านฝูงชนอย่างเงียบๆและเหยียบขึ้นไปบนเวที  หลังจากฝูงชนได้เห็นหน้าของเขา จอมยุทธ์ที่อยู่รายล้อมต่างก็แสดงออกด้วยสีหน้าแปลกๆ บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม บ้างก็ประหลาดใจ

 

หลายคนมีความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่นและส่งเสียงหัวเราะดังๆพลางกล่าวว่า

“เฮ้ๆ นั่นมิใช่คุณชายใหญ่ผู้พิการของตระกูลจี้หรอกหรือ ? หน้าอย่างมันก็คิดจะลองของด้วย ?”

 

“เหอๆ ขยะที่ไม่ผ่านแม้การทดสอบระดับพลัง แต่ดูเหมือนจะไม่เต็มใจยอมรับ และคิดจะเสี่ยงดวงคว้าตำแหน่งที่ว่างสิท่า !”

 

“หึหึ  แม้กระทั่งหนึ่งในสิบอัจฉริยะอย่างเจียงไป๋อวี้ก็ยังไม่รอดเลย แล้วชนชั้นปรับแต่งกายาอย่างเขาคิดจะซ่า ?  สมองกลับไปแล้วหรือไง ?”

 

“จี้เทียนซิงผู้นี้ไม่หน้าหนาเกินไปหน่อยหรือ ก่อนหน้านี้ก็โชว์ความอัปยศในการทดสอบเบื้องต้นไปแล้ว  เขาเป็นขยะที่ทุกคนต่างก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอรับการทดสอบอีก ไม่ละอายบ้างหรือไง !”

 

“มีการแสดงที่ไม่ควรพลาดเสียแล้ว !  ข้าอยากเห็นนักว่ามันจะอับอายขายหน้าเพียงใดเมื่อโดนดีดออกมาและได้รับบาดเจ็บอย่างน่าสังเวช !”

 

“ข้าพนันเลยว่าจี้เทียนซิงจะโดนดีดออกมาจากข่ายอาคมหลังจากเวลาผ่านไม่เกินสิบนาที !”

 

การที่ฝูงชนยังคงดูถูกดูแคลนเขานั้นก็สืบเนื่องจาก ข่าวที่จี้เทียนซิงฟื้นฟูพลังกลับสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงนั้นรับรู้กันเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น

 

คนส่วนใหญ่คิดว่าเขายังคงเป็นขยะในชนชั้นปรับแต่งกายาอยู่

 

ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกมีความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่นและสนทนาอย่างไร้ยางอายเพื่อดูถูกเสียดสีอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่ร่วงจากฟ้า

 

จี้เทียนซิงเพิกเฉยต่อคำสบประมาทและสีหน้าเหยียดหยามของคนรอบข้าง  เขาก้าวเท้ายาวๆข้ามประตูสีดำเพื่อเข้าสู่ข่ายอาคมลวงตาทันที

 

 

“วูบ !”

 

แสงสีทองส่องประกายขึ้นและนำร่างของจี้เทียนซิงเข้าไปในพื้นที่มืดมิดอันกว้างใหญ่

 

พื้นที่นี้ราวกับเป็นห้องโถงกว้างที่ล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงสีทองเข้ม คำนวณจากสายตา ความกว้างของห้องนี้ประมาณ 100 เมตร

 

บนพื้นดินประกอบด้วยแผ่นไม้หลายพันแผ่นทั้งแนวตั้งและแนวนอน มันดูราวกับกระดานหมากรุกขนาดใหญ่

 

ใน ‘กระดานหมากรุก’ ขนาดใหญ่นี้มี ‘หมาก’ จำนวน 16 ชิ้นที่เคลื่อนที่ไปมา

 

‘ชิ้นหมากรุก’ เหล่านั้นเป็นรูปหล่อสำริดของมนุษย์ที่ทุกตัวนั้นต่างก็สวมชุดเกราะและถืออาวุธนาๆชนิด มันแลดูสมจริงมาก

 

รูปหล่อสำริดทั้ง 16 นั้นสูงสองเมตรและแข็งแรงกำยำ พวกมันเป็นเหมือนทหารในสนามรบที่ทั้งเหี้ยมหาญและแผ่กลิ่นอายอันหนาวเหน็บและจิตสังหารออกมา

 

อาวุธที่พวกมันถือไว้นั้นก็มีความแตกต่างไปไม่ว่าจะเป็น ดาบปลายแหลม มีดสั้น  แส้หนามเก้าส่วน หอกยาวและค้อนยักษ์ !

 

เพียงมองจากด้านนอกก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดด้วยใบหน้าที่โกรธกริ้วของพวกมัน  นอกจากนี้พวกมันยังแผ่ซ่านไปด้วยแรงกดทับที่มองไม่เห็น

 

จี้เทียนซิงไม่สงสัยเลยว่ารูปหล่อสัมริดเหล่านั้นไม่เพียงแค่ทรงพลัง แต่พวกมันยังเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลด้วยอาวุธประเภทดาบใหญ่หรือหอกยักษ์ !

 

โชคดีที่พวกมันเพียงเดินกลับไปกลับมาใน ‘กระดานหมากรุก’ และไม่ได้ล้อมรอบชายหนุ่มหรือเริ่มการโจมตีใดๆ

 

จี้เทียนซิงไม่รีบร้อนที่จะเดินดุ่ยๆเข้าไปเจ็บตัว หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆเขาก็พบแผ่นโลหะสำริดและกำแพงสีทองเข้มรอบๆ  เขาพยายามสอดส่องให้ทั่วเพื่อมองหาทางออก

 

โดยทั่วไปแล้วข่ายอาคมประเภทนี้ย่อมทิ้งทางออกเอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงมองหาจนทั่วก็ไม่พบทางออกของข่ายอาคมนี้เลย พื้นที่รอบๆถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงสีทองเข้มที่ไม่มีแม้แต่ช่องว่างสักมิลเดียว

 

 

“ข่ายอาคมลวงตานี้ไม่มีทางออก ?! หรือว่าต้องทำลายพวกมันถึงงจะออกไปข้างนอกได้ ?”

จี้เทียนซิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นและวางลงบนกระดานสีดำเพื่อเดินไปข้างหน้า

 

รูปหล่อสัมริดสองตัวที่อยู่ใกล้เขาที่สุดขยับไปมาทั้งซ้ายและขวา เมื่อชายหนุ่มอยู่ห่างจากพวกมันประมาณ 5 เมตร ทั้งสองตัวก็กรูกันเข้ามาโจมตีเขาพร้อมชักอาวุธทันที

 

“ฟุ่บ ! วูบ !”

พวกมันเหวี่ยงอาวุธด้วยความเร็วยิ่งยวดจนเกิดเสียงดังขึ้นในอากาศ

 

จี้เทียนซิงทะยานร่างหนีด้วยความเร็วสูงสุด หมายจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับรูปหล่อสัมริดทั้งสองตัวนี้  แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ความเร็วของพวกมันนั้นเร็วมาก และประชิดถึงตัวเขาแทบจะทันที

 

หอกและมีดมุ่งเป้ามาในเวลาพร้อมๆกันอีกทั้งยังดุดันรุนแรงจนยากที่จะรับมือ นอกจากนี้ยังไม่มีที่ให้หลบซ่อน

 

 

“เปรี้ยง !!!”

เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหลบคมมีด แต่เขาก็ต้องถูกหอกยาวฟาดกระเด็นไปไกล

 

ในเวลานี้รูปหล่อสัมริดทั้งสองตัวก็หยุดการโจมตีและไม่ได้ไล่ล่าฆ่าฟันเขาแต่อย่างใด  พวกมันทั้งสองตัวหันไปมองหน้ากันและหันหลังกลับไปเดินไปเดินมาบน ‘กระดานหมากรุก’

 

จี้เทียนซิงกุมท้องน้อยและผุดลุกขึ้นข่มความเจ็บปวดเอาไว้  ในช่วงที่ถูกโจมตีเขาเฝ้าสังเกตแผ่นทองแดงอย่างละเอียด

 

การเอาตัวเข้าล่อในครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจบางอย่างขึ้นเล็กน้อย

 

หากต้องการผ่านข่ายอาคมลวงตานี้ไป คนผู้นั้นต้องหาวิธีทะลวงผ่านพวกมัน และไม่สามารถใช้กำลังลุยเข้าไปดื้อๆได้ เพราะต่อให้เป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรูปหล่อสัมริดเหล่านี้แม้แต่ตัวเดียว !