ที่มุมของจัตุรัสเมืองมีเจดีย์สูงกว่า 30 เมตรตั้งอยู่
เจดีย์แห่งนี้มีชายหนุ่มสองคนยืนตะหง่านอยู่และสามารถทอดสายตามองเห็นผู้คนได้ทั่วทั้งเวที
ชายหนุ่มรูปบอบบางในอาภรณ์สีขาวคือไป๋หวู่เชิน ส่วนข้างๆเขาคือห่าวเมิ่ง
ทั้งสองมองไปที่ข่ายอาคมลวงตาและคอยฟังเสียงฝูงชนที่กำลังโต้เถียงกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มบางขึ้น
ไป๋หวู่เชินปรากฏรอยยิ้มอันพึงพอใจและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “กบในบ่อที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะบางตัวก็มักจะประเมินตนเองสูงไป พวกมันคิดว่าข่ายอาคมที่ข้าวางไว้จะเผยจุดสำคัญจนผ่านได้ง่ายๆเช่นนั้นเชียว ?”
ห่าวเมิ่งแค่นเสียงพลางกล่าวว่า “ถูกต้อง แม้มันจะเป็นข่ายอาคมระดับต่ำ แต่ก็นับว่ายากไม่น้อยสำหรับพวกมัน หากข่ายอาคมระดับนี้ยังผ่านไปไม่ได้ก็ไม่มีวันได้รับความสนใจจากนิกาย”
มุมปากของไป๋หวู่เชินยกโค้งขึ้นอีกครั้งและน้ำเสียงเต็มไปด้วยรังเกียจ “สิ่งที่น่าหัวเราะยิ่งกว่าก็คือพวกกบก้นบ่อที่เชื่อมั่นในตัวเองเกินไป พอล้มเหลวจึงมักแสดงสีหน้าที่น่าขันเช่นนี้”
ห่าวเมิ่งกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไป๋ การที่พวกมันจะล้มเหลวไม่เป็นท่าก็ถือว่าไม่ได้ไร้เหตุผลเกินไป แม้มันจะเป็นข่ายอาคมระดับต่ำ แต่กระทั่งยอดฝีมือเชื่อมลมปราณก็ยังผ่านได้ยากเลย นับประสาอะไรกับพวกเด็กน้อยในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง”
ไป๋หวู่เชินเก็บรอยยิ้มและถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ก็ถูกของเจ้า ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดศิษย์พี่หญิงหยุนเหยาถึงต้องใช้ข่ายอาคมนี้เพื่อทดสอบพวกมัน เจ้าว่านางมีเจตนาอื่นแฝงหรือไม่ ?”
“เรื่องนี้…. ”
ห่าวเมิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ไป๋ ท่านก็คิดมากไปแล้ว บางทีศิษย์พี่หญิงอาจจะอยากได้ศิษย์ที่มีความสามารถเหนืออัจฉริยะที่มีอยู่ดาษดื่นทั่วไปก็เป็นได้ นิกายของพวกเราคือนิกายหนุนสวรรค์ที่นับว่าเป็นนิกายอันดับหนึ่งในอาณาจักรเทียนเฉิน คนธรรมดาสามัญหรืออัจฉริยะที่ยกหางกันในเมืองเล็กๆไม่คู่ควรจะเข้าไปด้วยซ้ำ”
“แม้ตำแหน่งนี้จะเป็นตำแหน่งว่างโดยบังเอิญ แต่ผู้ใดคิดจะคว้ามันย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย”
ในขณะที่ห่าวเมิ่งกำลังอธิบายอยู่ ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มชุดดำก้าวขึ้นสู่เวทีสูง
เขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มชุดดำและขมวดคิ้วกล่าวโพล่งขึ้นมาว่า “เฮ้ ! ศิษย์พี่ไป๋ เจ้าเด็กนั่นมิใช่เจ้าหนูในตอนนั้น ?”
“ขนาดมีตัวอย่างที่ล้มเหลวต่อหน้าตั้งมากมายมันยังกล้าขึ้นเวทีอีกหรือ ?”
ไป๋หวู่เชินจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเฉยเมย มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นอย่างเหยียดหยาม “เหอๆ เจ้าหนูคนนั้นนี่เอง ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงมากน้ำใจต่อมันนัก ถึงขนาดช่วยไว้สองครั้งสองครา มันคิดว่ามดปลวกฐานะต่ำต้อยอย่างมันศิษย์พี่หญิงจะจดจำได้ จนยื่นมือเข้าช่วยอีกครั้งงั้นหรือไง ?”
“ข่ายอาคมชุดนี้ข้าเป็นผู้วางไว้ด้วยตัวเอง ข้าไม่คิดว่ามันจะผ่านไปได้หรอก !”
ห่าวเมิ่งเหลือบมองไป๋หวู่เชินด้านข้างและคิดในใจว่าศิษย์พี่ไป๋เหมือนจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับจี้เทียนซิงเสียแล้ว
เขาคิดจะกล่าวกับไป๋หวู่เชินสักสองสามประโยคแต่ก็ลังเล สุดท้ายก็เก็บคำพูดกลับไป
…………
จี้เทียนซิงเดินผ่านฝูงชนอย่างเงียบๆและเหยียบขึ้นไปบนเวที หลังจากฝูงชนได้เห็นหน้าของเขา จอมยุทธ์ที่อยู่รายล้อมต่างก็แสดงออกด้วยสีหน้าแปลกๆ บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม บ้างก็ประหลาดใจ
หลายคนมีความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่นและส่งเสียงหัวเราะดังๆพลางกล่าวว่า
“เฮ้ๆ นั่นมิใช่คุณชายใหญ่ผู้พิการของตระกูลจี้หรอกหรือ ? หน้าอย่างมันก็คิดจะลองของด้วย ?”
“เหอๆ ขยะที่ไม่ผ่านแม้การทดสอบระดับพลัง แต่ดูเหมือนจะไม่เต็มใจยอมรับ และคิดจะเสี่ยงดวงคว้าตำแหน่งที่ว่างสิท่า !”
“หึหึ แม้กระทั่งหนึ่งในสิบอัจฉริยะอย่างเจียงไป๋อวี้ก็ยังไม่รอดเลย แล้วชนชั้นปรับแต่งกายาอย่างเขาคิดจะซ่า ? สมองกลับไปแล้วหรือไง ?”
“จี้เทียนซิงผู้นี้ไม่หน้าหนาเกินไปหน่อยหรือ ก่อนหน้านี้ก็โชว์ความอัปยศในการทดสอบเบื้องต้นไปแล้ว เขาเป็นขยะที่ทุกคนต่างก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอรับการทดสอบอีก ไม่ละอายบ้างหรือไง !”
“มีการแสดงที่ไม่ควรพลาดเสียแล้ว ! ข้าอยากเห็นนักว่ามันจะอับอายขายหน้าเพียงใดเมื่อโดนดีดออกมาและได้รับบาดเจ็บอย่างน่าสังเวช !”
“ข้าพนันเลยว่าจี้เทียนซิงจะโดนดีดออกมาจากข่ายอาคมหลังจากเวลาผ่านไม่เกินสิบนาที !”
การที่ฝูงชนยังคงดูถูกดูแคลนเขานั้นก็สืบเนื่องจาก ข่าวที่จี้เทียนซิงฟื้นฟูพลังกลับสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงนั้นรับรู้กันเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น
คนส่วนใหญ่คิดว่าเขายังคงเป็นขยะในชนชั้นปรับแต่งกายาอยู่
ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกมีความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่นและสนทนาอย่างไร้ยางอายเพื่อดูถูกเสียดสีอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่ร่วงจากฟ้า
จี้เทียนซิงเพิกเฉยต่อคำสบประมาทและสีหน้าเหยียดหยามของคนรอบข้าง เขาก้าวเท้ายาวๆข้ามประตูสีดำเพื่อเข้าสู่ข่ายอาคมลวงตาทันที
“วูบ !”
แสงสีทองส่องประกายขึ้นและนำร่างของจี้เทียนซิงเข้าไปในพื้นที่มืดมิดอันกว้างใหญ่
พื้นที่นี้ราวกับเป็นห้องโถงกว้างที่ล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงสีทองเข้ม คำนวณจากสายตา ความกว้างของห้องนี้ประมาณ 100 เมตร
บนพื้นดินประกอบด้วยแผ่นไม้หลายพันแผ่นทั้งแนวตั้งและแนวนอน มันดูราวกับกระดานหมากรุกขนาดใหญ่
ใน ‘กระดานหมากรุก’ ขนาดใหญ่นี้มี ‘หมาก’ จำนวน 16 ชิ้นที่เคลื่อนที่ไปมา
‘ชิ้นหมากรุก’ เหล่านั้นเป็นรูปหล่อสำริดของมนุษย์ที่ทุกตัวนั้นต่างก็สวมชุดเกราะและถืออาวุธนาๆชนิด มันแลดูสมจริงมาก
รูปหล่อสำริดทั้ง 16 นั้นสูงสองเมตรและแข็งแรงกำยำ พวกมันเป็นเหมือนทหารในสนามรบที่ทั้งเหี้ยมหาญและแผ่กลิ่นอายอันหนาวเหน็บและจิตสังหารออกมา
อาวุธที่พวกมันถือไว้นั้นก็มีความแตกต่างไปไม่ว่าจะเป็น ดาบปลายแหลม มีดสั้น แส้หนามเก้าส่วน หอกยาวและค้อนยักษ์ !
เพียงมองจากด้านนอกก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดด้วยใบหน้าที่โกรธกริ้วของพวกมัน นอกจากนี้พวกมันยังแผ่ซ่านไปด้วยแรงกดทับที่มองไม่เห็น
จี้เทียนซิงไม่สงสัยเลยว่ารูปหล่อสัมริดเหล่านั้นไม่เพียงแค่ทรงพลัง แต่พวกมันยังเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลด้วยอาวุธประเภทดาบใหญ่หรือหอกยักษ์ !
โชคดีที่พวกมันเพียงเดินกลับไปกลับมาใน ‘กระดานหมากรุก’ และไม่ได้ล้อมรอบชายหนุ่มหรือเริ่มการโจมตีใดๆ
จี้เทียนซิงไม่รีบร้อนที่จะเดินดุ่ยๆเข้าไปเจ็บตัว หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆเขาก็พบแผ่นโลหะสำริดและกำแพงสีทองเข้มรอบๆ เขาพยายามสอดส่องให้ทั่วเพื่อมองหาทางออก
โดยทั่วไปแล้วข่ายอาคมประเภทนี้ย่อมทิ้งทางออกเอาไว้
อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงมองหาจนทั่วก็ไม่พบทางออกของข่ายอาคมนี้เลย พื้นที่รอบๆถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงสีทองเข้มที่ไม่มีแม้แต่ช่องว่างสักมิลเดียว
“ข่ายอาคมลวงตานี้ไม่มีทางออก ?! หรือว่าต้องทำลายพวกมันถึงงจะออกไปข้างนอกได้ ?”
จี้เทียนซิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นและวางลงบนกระดานสีดำเพื่อเดินไปข้างหน้า
รูปหล่อสัมริดสองตัวที่อยู่ใกล้เขาที่สุดขยับไปมาทั้งซ้ายและขวา เมื่อชายหนุ่มอยู่ห่างจากพวกมันประมาณ 5 เมตร ทั้งสองตัวก็กรูกันเข้ามาโจมตีเขาพร้อมชักอาวุธทันที
“ฟุ่บ ! วูบ !”
พวกมันเหวี่ยงอาวุธด้วยความเร็วยิ่งยวดจนเกิดเสียงดังขึ้นในอากาศ
จี้เทียนซิงทะยานร่างหนีด้วยความเร็วสูงสุด หมายจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับรูปหล่อสัมริดทั้งสองตัวนี้ แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ความเร็วของพวกมันนั้นเร็วมาก และประชิดถึงตัวเขาแทบจะทันที
หอกและมีดมุ่งเป้ามาในเวลาพร้อมๆกันอีกทั้งยังดุดันรุนแรงจนยากที่จะรับมือ นอกจากนี้ยังไม่มีที่ให้หลบซ่อน
“เปรี้ยง !!!”
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหลบคมมีด แต่เขาก็ต้องถูกหอกยาวฟาดกระเด็นไปไกล
ในเวลานี้รูปหล่อสัมริดทั้งสองตัวก็หยุดการโจมตีและไม่ได้ไล่ล่าฆ่าฟันเขาแต่อย่างใด พวกมันทั้งสองตัวหันไปมองหน้ากันและหันหลังกลับไปเดินไปเดินมาบน ‘กระดานหมากรุก’
จี้เทียนซิงกุมท้องน้อยและผุดลุกขึ้นข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ในช่วงที่ถูกโจมตีเขาเฝ้าสังเกตแผ่นทองแดงอย่างละเอียด
การเอาตัวเข้าล่อในครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจบางอย่างขึ้นเล็กน้อย
หากต้องการผ่านข่ายอาคมลวงตานี้ไป คนผู้นั้นต้องหาวิธีทะลวงผ่านพวกมัน และไม่สามารถใช้กำลังลุยเข้าไปดื้อๆได้ เพราะต่อให้เป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรูปหล่อสัมริดเหล่านี้แม้แต่ตัวเดียว !