บทที่ 321 - สงครามปะทุพร้อมกัน (2)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 321 – สงครามปะทุพร้อมกัน (2)

ป้อมปราการไทกอล

มันคือฐานที่มั่นอันยิ่งใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นบนจุดชมวิวของเทือกเขาไฮรัลโดยภูเขาอยู่ทั้งสี่ด้าน นอกจากนี้ยังตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่ขรุขระ และสูงจากน้ำทะเลหลายร้อยเมตร ทำให้มันเป็นป้อมปราการได้มีกำแพงจากธรรมชาติอยู่มากมาย

นอกเหนือจากภูมิระเทศที่ทำให้เป็นฐานที่ป้องกันเส้นทางนำไปสู่ใจกลางของสหพันธรัฐแล้ว มันก็ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ไว้ป้องกันพรมแดนระหว่างสหพันธรัฐกับมนุษยชาติอีกด้วย

ด้วยความที่รู้ถึงความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้หัวหน้าเทวดาตกสวรรค์ กาเบรียลได้นำความรู้จากอีกโลกผสานเข้ากับฝีมืออันยอดเยี่ยมของคนแคระ และภูติจากแฟรี่ท้องฟ้าสร้างขึ้นมาเป็นกำแพงป้อมปราการด้วยเลือดและหยาดเหงื่อ

คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกเหมือนกันในตอนแรกที่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าป้อมปราการนี้ เหมือนอย่างที่มันถูกเรียกว่าป้อมปราการสุดท้ายของสหพันธรัฐ

ไม่ว่าใครที่ผ่านประตูทางเข้าที่ตั้งตระหง่าน และค่อยๆเดินขึ้นมาจากด้านหน้าสุดของผามาก็จะได้เห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ถือหอกแหลม แลดาบแกะสลักอยู่ตามข้างผา

จนกระทั่งเมื่อมาจนถึงสุดทาง พวกเขาก็จะได้เจอเข้ากับกำแพงป้อมปราการที่ยืดยาวออกไปจนสุดสายตาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

และเมื่อถึงจุดนี้แล้วคนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวกับความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของป้อมปราการที่สูงเฉียดฟ้านี้

เพียงแค่มองจากด้านล่างขึ้นไปบนป้อมปราการก็ทำให้คนๆนั้นรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องปีนขึ้นไปแล้ว พวกเขารู้สึกได้ถึงความหมายที่แท้จริงของ ‘ป้อมปราการไร้พ่าย’ ได้เลย

ยังไงก็ตามมันเป็นธรรมดาที่ป้อมปราการไร้พ่ายจะทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา นี่เป็นกฎของโลกใบนี้

ภูเขาที่ล้อมรอบป้อมปราการไทกอลแต่เดิมเคยเต็มไปด้วยสีเขียวชะอุ่มชุ่มชื่น แต่ในตอนนี้ทุกๆอย่างได้ถูกย้อมด้วยสีแดงชาดจนน่าขนลุก

คราบเลิอดสีแดงเข้มที่ติดอยู่มาหลายปีได้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสงครามอันยาวนานในที่แห่งนี้

สำหรับตัวป้อมปราการไทกอลเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

มีร่องรอยการพังทลายอยู่หลายจุดบนกำแพงจนแทบจะไม่อาจจะเรียกว่าป้อมปราการไร้พ่ายได้อีกต่อไป

มันไม่ใช่แค่เพราะสงครามอันยาวนานเท่านั้น

ที่เป็นแบบนี้นั่นก็เพราะที่มั่นนี้เคยถูกยึดไปแล้วครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าสหพันธรัฐจะยึดมันกลับคืนมาได้สำเร็จ แต่มันไม่มีทางที่กองทัพปรสิตจะยอมคืนป้อมปราการให้เฉยๆอย่างแน่นอน

กองทัพปรสิตได้ใช้ทุกวิธีทำลายป้อมปราการจนสูญเสียความยิ่งใหญ่ที่เคยมี และเพราะแบบนี้ทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลงไปเหมือนกับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา

แน่นอนว่าสหพันธรัฐก็ได้ซ่อมแซมมันกลับมาระดับหนึ่งในตอนที่ยึดคืนมาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การซ่อมแซมแบบผิวเผินเท่านั้น

ไม่ว่าภายนอกมันจะดูน่าเกรงขามยังไง แต่ตราบใดที่ต้นไม้โลกยังคงตายอยู่ ป้อมปราการนี้ก็เป็นได้เพียงแค่เปลือกนอกที่ภายในกลวงเท่านั้นเอง

บางทีอาจจะเพราะแบบนี้ทำให้ภายในฐานที่มั่นเต็มไปด้วยบรรยากาศอันหดหู่ใจ

แม้กระทั่งท้องฟ้าก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วยจนทำให้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำมืด

เหล่าแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังเล็งธนูไปข้างหน้าด้วยสายตาเบิกกว้างได้เต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้

แฟรี่ถ้ำที่ถูกภูติธาตุสาปต่างก็มีผ้าปิดตาเอาไว้อยู่ แต่จากการกระชับอาวุธที่แน่นของพวกเขาต่างก็แสดงให้เห็นถึงความกังวลที่มีอยู่

ยังไม่หมดเท่านั้น คนแคระกำลังตั้งใจอยู่กับการสร้างอสนีบาตในทุกๆวินาที ส่วนทางมนุษย์สัตว์กำลังลับคมกรงเล็บ และแยกเขี้ยวออกมาอยู่

กองกำลังทั้งหมดของสหพันธรัฐรวมทั้งเหล่าระดับสูงต่างก็มารวมตัวกันเพื่อป้องกันป้อมปราการนี้ นี่คือปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ยังไงก็ตามภายในบรรยากาศของกองทัพก็มีความหวาดกลัวที่ซ่อนไว้ไม่มิดอยู่

เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะกลัว นั่นก็เพราะเบื้องหน้าของพวกเขาคือศัตรูที่มีความเหนือกว่ามาก

มันเป็นภาพที่น่ากลัวจนทำให้ความน่าเกรงขามของป้อมปราการไทกอลเล็กจ้อยลงไปเลย

กองทัพซากศพ สายพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก สายพันธุ์แม่ ห้ากองทัพ… และตัวราชินีที่นั่งอย่างผ่อนคลายบนบัลลังก์เหมือนเธอปกคลุมท้องฟ้าอยู่

จากภาพราชินีที่กระพริบอยู่มันชัดเจนมากว่าเป็นเพียงแค่ภาพฉายเท่านั้น แต่ว่าแค่การปรากฏตัวของผู้นำฝ่ายศัตรูก็ทำให้สหพันธรัฐกดดันอย่างหนักแล้ว

“…”

กาเบรียล หัวหน้าเทวดาตกสวรรค์ได้มองขึ้นไปที่ราชินีปรสิตที่กำลังมองลงมาที่ป้อมปราการจากบนท้องฟ้า และถอนหายใจออกมาเบาๆ

กำลังใจของพวกเขาต่ำมากอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเข้ากับภาพของราชินีปรสิตที่ยึดครองบัลลังก์แห่งความเสื่อมโทรมต่อหน้าไปอีก มันก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องกำลังใจกันเลย

ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงเจตจำนงอันรุนแรงจากฝ่ายศัตรู ราชินีปรสิตได้ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะต้องล้มป้อมปราการให้ได้อีกครั้งหนึ่ง

เธอรู้ว่าเธอต้องให้กำลังใจพรรคพวกของเธอ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดออกมา สงครามครั้งนี้เป็นเหมือนกับการสู้ในสงครามที่รู้ว่าต้องแพ้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงคิดไม่ออกเลยว่าจะหาคำพูดไหนมาให้กำลังใจ

กาเบรียลเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่จะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาถาม

“เรารู้อะไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมนุษยชาติหรือเปล่า?”

ในที่สุดคำถามของเธอก็ได้ทลายความเงียบลง แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา

กาเบรียลถอนหายใจยาว

“ฉันรู้ว่าการสื่อสารของเขาขาดไปเพราะการรบกวนสัญญา ฉันกำลังถามถึงการติดต่อล่าสุดของเรา”

“เรื่องนั้น…”

เทวดาตกสวรรค์ที่ยืนข้างๆเธอได้พึมพำออกมาเบาๆ

“อะไรล่ะ?”

กาเบรียลเผยรอยยิ้มอ่อนล้าออกมา

“พวกเขาบอกว่าจะไม่มาเพราะไม่ใช่ปัญหาของพวกเขางั้นเหรอ?”

“พวกเราได้รับข่าวเรื่องการเกณฑ์พลของห้าอาณาจักร แต่ว่า…”

เสียงพูดของเทวดาตกสวรรค์ได้หยุดลงเพียงเท่านี้

เธอไม่จำเป็นต้องฟังอะไรอีกแล้วเพราะการสื่อสารได้ถูกตัดออกไปนับตั้งแต่ที่ปรสิตมาถึง

“เกณฑ์พลงั้นสินะ”

กาเบรียลได้ตอบกลับนิ่งๆ

นั่นก็เพราะว่าเธอรู้ว่าข่าวการเกณฑ์พลกับข่าวกำลังเสริมกำลังเดินทางมาที่นี่มันต่างกันอย่างมาก

แน่นอนว่าก็มีโอกาสที่ราชวงศ์จะส่งกองทัพมาจริงๆ แต่ว่า…

‘นั่นก็ยังไม่พอ’

พวกเขาพอจะช่วยต่อต้านกองทัพซากศพได้บ้าง แต่ตัวช่วยจริงๆที่สหพันธรัฐต้องการก็คือชาวโลก แต่ไม่ว่ายังไงชาวโลกก็แทบจะไม่ได้สนใจฟังการเกณฑ์พลเลยสักนิด… พูดตามตรง กาเบรียลก็ยังไม่หวังเลย

นอกไปจากนี้ต่อให้ชาวโลกมาก็ยังมียังไม่มั่นใจเลยว่าจะมีโอกาสชนะ ราชินีปรสิตดูเหมือนจะมุ่งมั่นในการพิชิตป้อมปราการนี้มากจริงๆ จนทำให้เธอยกกำลังทั้งหมดมา

มีเพียงเรื่องเดียวที่โล่งใจก็คือความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่รู้จักกันดีว่าไม่มีใครเทียบได้ไม่ได้ปรากฏตัว แต่นี่ยังไม่พอให้เธอสบายใจได้

ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่มีความหวังเลย มีเพียงแต่ความสิ้นหวังอยู่ตรงหน้าเท่านั้นเอง

กาเบรียลได้พึมพำกับตัวเองด้วยความหมดหมองลึกๆ

“หากผู้บริหารมาก็คงดี…”

“อย่าไปตั้งความหวังกับเจ้าพวกนั้นจะดีกว่านะ”

กาเบรียลได้ยินเสียงแหบแห้งที่ผสานกับเสียงคำรามดังเข้ามา

มนุษย์สัตว์ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและมีแผงคอยาวจากบนใบหน้าได้ปรากฏขึ้น

“ในตอนที่บ้านของเราถูกยึด พวกมันเอาแต่มองดูพวกเราที่กำลังถูกเผาจากอีกฝั่งของแม่น้ำ ในตอนที่ผู้บริหารพาคกลุ่มน้อยมาช่วยเราถูกซุ่มโจมตีและฆ่าไป พวกมันก็ยังไม่ยอมทำอะไรเลย นี่เธอไปหวังอะไรจากพวกหน้าไม่อายนั่นกันล่ะ?”

“ในฐานะราชาแล้ว ฉันข้าใจนะว่าคุณรู้สึกอย่างไร แต่ว่า…”

กาเบรียลถอนหายใจออกมา มันเป็นการถอนหายใจครั้งที่สามของเธอแล้ว

“ไม่ว่าคุณจะมีเรื่องกับพวกเขายังไง เราก็ได้แต่หวังให้พวกเขาเข้ามาช่วยเรา พวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง”

“น่าขัน เธอเอาแต่ใช้เหตุผลมาก่อนตลอดเลยนะ”

“แต่ก็นะ”

กาเบรียลเงยหน้ามองต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาก่อนจะหัวเราะแห้งๆออกมา

“จู่ๆ ต้นไม้โลกที่อยู่ในสภาพร่วงโรยอาจจะกลับมามีชีวิตขึ้นทันทีก็ได้นะ”

“น่าตลกนะ เพราะศัตรูมาอยู่ตรงหน้าเราทำให้เธอกลายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?”

มนุษย์สัตว์แค่นเสียงออกมา

“เธอเชื่อเหรอว่ามนุษย์จะไปพยายามไขว้คว้าในภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้น่ะ?”

“นั่นก็เพราะว่ามนุษย์คนนั้นคือคนที่ทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จไงล่ะ”

กาเบรียลได้ตอบกลับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆ

กลับกันจู่ๆ มนุษย์สัตว์ก็เงียบลงไป

“…ซอลจีฮูงั้นสินะ?”

ฮีโร่ที่ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งผู้เป็นแนวหน้าเลื่องชื่อของราชินีปรสิตมานาน

น้ำหนักของชื่อนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย

“ที่จริงฉันก็ได้ยินถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขามากจนทำให้ฉันหูอื้อเลย…”

“ใช่แล้ว หากว่าเขาชุบชีวิตต้นไม้โลกได้จริงๆ สหพันธรัฐก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล คุณว่ายังไงล่ะ? คุณจะยอมลดความขุ่นเคือง และร่วมมือกับมนุษย์ไหม?”

“ฮึ ไว้ทำสำเร็จแล้วเราค่อยมาคุยกัน”

ราชามนุษย์สัตว์แค่นเสียงออกมา

“ชุบชีวิตต้นไม้โลก… ฮ่าฮ่า ถ้าเขาทำมันได้สำเร็จจริงๆ ฉันก็ยินดีที่จะเปลี่ยนคาดคิดเกี่ยวกับมนุษย์ที่อยู่กับคนๆ นั้น”

เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธไปซะหมด นั่นมันก็เพราะเขารู้ดีว่าภารกิจนี้ยากแค่ไหน ซึ่งมันถึงขนาดทำให้สหพันธรัฐยอมแพ้ไปแล้ว

นี่คือเหตุผลที่ว่าหากซอลจีฮูทำได้สำเร็จจริงๆ…

ในตอนนี้เอง

ทันทีที่เขาพูดจบ ภาพของราชินีปรสิตก็โบกมือกว้างออกมา

และพร้อมกับนั้นรังนับร้อยก็ได้ทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ และร่างกายมันได้เริ่มพองขึ้น

กาเบรียลค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น

รังได้หยั่งรากลงไปในดินพร้อมๆกัน นี่คือสัญญาณการจู่โจมของปรสิต

การแพร่ระบาดเริ่มต้นขึ้นแล้ว

และนั่นก็แน่นอนว่า…

“…พวกมันกำลังมาแล้ว”

ในที่สุดกองทัพซากศพก็เริ่มเคลื่อนไหวเหมือนอย่างที่มนุษย์สัตว์พูด

จุดเล็กๆจากระยะไกลได้ค่อยๆใหญ่ขึ้นพร้อมตีกรอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

แรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินได้เริ่มส่งมาถึงพวกเขาที่อยู่ตรงนี้อีกด้วย

แม้กระทั่งจะยืนอยู่บนป้อมปราการพวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงลมกระโชก และผืนดินที่สั่นไหวรุนแรง

“…ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน?”

กาเบรียลพึมพำกับตัวเองก่อนจะกัดฟันแน่น

พวกเขากำลังอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ต้องปกป้องป้อมปราการ แต่ก็ยังต้องรีบออกไปทำลายรังอีกด้วย พวกเขาไม่อาจจะอยู่เฉยๆได้อีก

หลังจากสะบัดความคิดไม่จำเป็นออกไปแล้ว กาเบรียลก็ตะโกนออกมาพร้อมมองคลื่นสีดำสนิทที่กำลังพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า

“ทุกหน่วย!”

เมื่อเธอตะโกนออกไปสุดเสียง เหล่าแฟรี่ท้องฟ้าก็ได้ยกธนูขึ้นสูง

ภายใต้หัวลูกศรมีหินที่ปล่อยประกายสายฟ้าออกมาอยูู่ มันก็คือก้อนอสนีบาต

“ยิง!”

เมื่อจบคำเสียงกรีดผ่านสายลมก็ได้ดังกังวาลออกมา หลังจานั้นไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นที่ทำให้ทั้งโลกต้องสั่นไหว

***

ในเวลาเดียวกน

ซอลจีฮูที่ทิ้งตัวเข้ามาในหลุมควันได้ลูบหน้าด้วยความเจ็บปวด

“โอ้ยๆ…”

ระหว่างที่เขากำลังลูบคางอยู่นี้เอง จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกหนักหน่วงที่หลัง

เมื่อเขาตะโกนออกมาและหันกลับไปมอง เขาก็เห็นฟีโซรากำลังหลับตาแน่นใช้เขาเป็นเบาะลอง

เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอก็เข้าใจสถานการณ์ แลพรีบลุกออกจากตัวเขาอย่างรวดเร็ว

“ทะ โทษที”

“ไม่เป็นไรครับ ที่สำคัญกว่านั้น…”

เขาเห็นสมาชิกที่เขามาในหลุมรอบสองอยู่รอบตัวเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ามาในทันทีที่ทีมแรกผ่านเข้ามา

นี่มันหมายความว่าทุกคนได้ถูกส่งมาอยู่ในที่เดียวกัน

ซอลจีฮูที่กำลังโอดครวญได้ดันตัวเองลุกขึ้น ก่อนจู่ๆจะกลายเป็นสับสนไป

ท้องฟ้าเป็นสีแดง

ไม่สิ ทั้งโลกได้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือด

ต้นไม้ที่ครั้งหนึ่งดูจะเคยงดงามได้เหี่ยวเฉา และแห้ง

มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากภาพที่เขาเคยเห็นในศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยนดิชชี่ หากว่าที่นั่นเหมือนโลกที่ตายไปแล้ว ถ้างั้นที่นี่ก็เหมือนกับโลกที่กำลังตาย มันเหมือนกับเป็นคนป่วยที่ใกล้ตาย

แต่ไม่ว่าจะแบบไหนนั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเนื่องจากพวกเขามาที่นี่แล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้คือพวกเขาได้มาถึงอาณาจักรภูติหรือเปล่า

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้รับคำตอบ

“นั่นมันอะไร?”

ซอลจีฮูที่กำลังมองไปรอบๆด้วยความตกตะลึงได้หันไปมองตามที่คาซุกิชี้ จากนั้นเขาก็กลายเป็นพูดไม่ออก

ทางนั้นมีภาพอันน่ากลัวอยู่

ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตแปลกๆที่มีจำนวนนับร้อย หรือกระทั่งนับพันอยู่ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่ดูจากเชดสีห้าสีที่ถูกย้อมจนเข้มแล้ว มันชัดเจนมากว่าพวกมันคงจะเป็นภูติ

ยังไงก็ตามภูติเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่างกำลังตาย

บางอย่างที่ดูเหมือนกับหมอกควันสีน้ำเงินสดใสกำลังไล่ฆ่าล้างบางภูติด้วยพลังที่เหลือกว่า แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่าก็ตาม

ภูติส่วนใหญ่ต่างก็ถูกสังหารลงไปโดยไม่มีโอกาสให้หนี หรือกระทั่งต่อต้านก็อยู่ได้ไม่นานก่อนจะกลายเป็นฝุ่นไป

เนื่องจากเหล่าภูติไม่อาจจะสู้กลับไปได้เลยทำให้จำนวนแต่เดิมที่มีนับพันได้ลดลงไปอย่างรวดเร็ว

“ตั้งสติก่อน!”

ซอลจีฮูได้ตั้งสติกลับมาได้ทันทีที่มีเสียงทุ้มดังเข้ามา

เขาได้ลุกขึ้นยืน และตั้งสมาธิขึ้นเมื่อเห็นแบคแฮจูกำลังถือหอกเรืองแสงสีเขียวอยู่ตรงหน้าเขา

โชคดีท่ามกลางโชคร้ายคงเป็นอาณาจักรภูติยังไม่ได้ล่มสลายไป ภูติยังคงต่อต้านอยู่

แน่นอนว่าถึงแม้ว่าจะเป็นการสังหารฝ่ายเดียว แต่สิ่งสำคัญก็คืออาณาจักรภูติยังไม่ได้ถูกทำลายไป

แค่เรื่องนี้ก็พอแล้ว

ถึงพวกเขาจะไม่คิดว่าก่อนว่าทันทีที่มาถึงจะเจอกับภาพนี้ แต่ว่านี่มันก็หมายถึงสถานการณ์เร่งด่วน

ถ้าแบบนั้นแล้วก็มีแค่สิ่งเดียวที่ต้องทำ

ซอลจีฮูได้สะบัดแขนตัดเชือกที่มัดข้อมือเขาไว้

เขาได้จับหอกพิสุจน์ไว้แน่นก่อนจะชี้มันไปทางหมอกควันสีน้ำเงินแปลกๆที่กำลังไล่ล่าสังหารภูติอยู่

และจากนั้น

“ทุกคน”

ทั้งที่ป้อมปราการไทกอล และอาณาจักรภูติ…

“เตรียมปะทะ”

ได้เกิดเป็นสงครามที่จะใช้ตัดสินชะตากรรมของพาราไดซ์ขึ้นพร้อมๆกัน