บทที่ 321 – สงครามปะทุพร้อมกัน (2)
ป้อมปราการไทกอล
มันคือฐานที่มั่นอันยิ่งใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นบนจุดชมวิวของเทือกเขาไฮรัลโดยภูเขาอยู่ทั้งสี่ด้าน นอกจากนี้ยังตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่ขรุขระ และสูงจากน้ำทะเลหลายร้อยเมตร ทำให้มันเป็นป้อมปราการได้มีกำแพงจากธรรมชาติอยู่มากมาย
นอกเหนือจากภูมิระเทศที่ทำให้เป็นฐานที่ป้องกันเส้นทางนำไปสู่ใจกลางของสหพันธรัฐแล้ว มันก็ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ไว้ป้องกันพรมแดนระหว่างสหพันธรัฐกับมนุษยชาติอีกด้วย
ด้วยความที่รู้ถึงความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้หัวหน้าเทวดาตกสวรรค์ กาเบรียลได้นำความรู้จากอีกโลกผสานเข้ากับฝีมืออันยอดเยี่ยมของคนแคระ และภูติจากแฟรี่ท้องฟ้าสร้างขึ้นมาเป็นกำแพงป้อมปราการด้วยเลือดและหยาดเหงื่อ
คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกเหมือนกันในตอนแรกที่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าป้อมปราการนี้ เหมือนอย่างที่มันถูกเรียกว่าป้อมปราการสุดท้ายของสหพันธรัฐ
ไม่ว่าใครที่ผ่านประตูทางเข้าที่ตั้งตระหง่าน และค่อยๆเดินขึ้นมาจากด้านหน้าสุดของผามาก็จะได้เห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ถือหอกแหลม แลดาบแกะสลักอยู่ตามข้างผา
จนกระทั่งเมื่อมาจนถึงสุดทาง พวกเขาก็จะได้เจอเข้ากับกำแพงป้อมปราการที่ยืดยาวออกไปจนสุดสายตาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
และเมื่อถึงจุดนี้แล้วคนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวกับความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของป้อมปราการที่สูงเฉียดฟ้านี้
เพียงแค่มองจากด้านล่างขึ้นไปบนป้อมปราการก็ทำให้คนๆนั้นรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องปีนขึ้นไปแล้ว พวกเขารู้สึกได้ถึงความหมายที่แท้จริงของ ‘ป้อมปราการไร้พ่าย’ ได้เลย
ยังไงก็ตามมันเป็นธรรมดาที่ป้อมปราการไร้พ่ายจะทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา นี่เป็นกฎของโลกใบนี้
ภูเขาที่ล้อมรอบป้อมปราการไทกอลแต่เดิมเคยเต็มไปด้วยสีเขียวชะอุ่มชุ่มชื่น แต่ในตอนนี้ทุกๆอย่างได้ถูกย้อมด้วยสีแดงชาดจนน่าขนลุก
คราบเลิอดสีแดงเข้มที่ติดอยู่มาหลายปีได้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสงครามอันยาวนานในที่แห่งนี้
สำหรับตัวป้อมปราการไทกอลเองก็เป็นเช่นเดียวกัน
มีร่องรอยการพังทลายอยู่หลายจุดบนกำแพงจนแทบจะไม่อาจจะเรียกว่าป้อมปราการไร้พ่ายได้อีกต่อไป
มันไม่ใช่แค่เพราะสงครามอันยาวนานเท่านั้น
ที่เป็นแบบนี้นั่นก็เพราะที่มั่นนี้เคยถูกยึดไปแล้วครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าสหพันธรัฐจะยึดมันกลับคืนมาได้สำเร็จ แต่มันไม่มีทางที่กองทัพปรสิตจะยอมคืนป้อมปราการให้เฉยๆอย่างแน่นอน
กองทัพปรสิตได้ใช้ทุกวิธีทำลายป้อมปราการจนสูญเสียความยิ่งใหญ่ที่เคยมี และเพราะแบบนี้ทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลงไปเหมือนกับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา
แน่นอนว่าสหพันธรัฐก็ได้ซ่อมแซมมันกลับมาระดับหนึ่งในตอนที่ยึดคืนมาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การซ่อมแซมแบบผิวเผินเท่านั้น
ไม่ว่าภายนอกมันจะดูน่าเกรงขามยังไง แต่ตราบใดที่ต้นไม้โลกยังคงตายอยู่ ป้อมปราการนี้ก็เป็นได้เพียงแค่เปลือกนอกที่ภายในกลวงเท่านั้นเอง
บางทีอาจจะเพราะแบบนี้ทำให้ภายในฐานที่มั่นเต็มไปด้วยบรรยากาศอันหดหู่ใจ
แม้กระทั่งท้องฟ้าก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วยจนทำให้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำมืด
เหล่าแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังเล็งธนูไปข้างหน้าด้วยสายตาเบิกกว้างได้เต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
แฟรี่ถ้ำที่ถูกภูติธาตุสาปต่างก็มีผ้าปิดตาเอาไว้อยู่ แต่จากการกระชับอาวุธที่แน่นของพวกเขาต่างก็แสดงให้เห็นถึงความกังวลที่มีอยู่
ยังไม่หมดเท่านั้น คนแคระกำลังตั้งใจอยู่กับการสร้างอสนีบาตในทุกๆวินาที ส่วนทางมนุษย์สัตว์กำลังลับคมกรงเล็บ และแยกเขี้ยวออกมาอยู่
กองกำลังทั้งหมดของสหพันธรัฐรวมทั้งเหล่าระดับสูงต่างก็มารวมตัวกันเพื่อป้องกันป้อมปราการนี้ นี่คือปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ยังไงก็ตามภายในบรรยากาศของกองทัพก็มีความหวาดกลัวที่ซ่อนไว้ไม่มิดอยู่
เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะกลัว นั่นก็เพราะเบื้องหน้าของพวกเขาคือศัตรูที่มีความเหนือกว่ามาก
มันเป็นภาพที่น่ากลัวจนทำให้ความน่าเกรงขามของป้อมปราการไทกอลเล็กจ้อยลงไปเลย
กองทัพซากศพ สายพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก สายพันธุ์แม่ ห้ากองทัพ… และตัวราชินีที่นั่งอย่างผ่อนคลายบนบัลลังก์เหมือนเธอปกคลุมท้องฟ้าอยู่
จากภาพราชินีที่กระพริบอยู่มันชัดเจนมากว่าเป็นเพียงแค่ภาพฉายเท่านั้น แต่ว่าแค่การปรากฏตัวของผู้นำฝ่ายศัตรูก็ทำให้สหพันธรัฐกดดันอย่างหนักแล้ว
“…”
กาเบรียล หัวหน้าเทวดาตกสวรรค์ได้มองขึ้นไปที่ราชินีปรสิตที่กำลังมองลงมาที่ป้อมปราการจากบนท้องฟ้า และถอนหายใจออกมาเบาๆ
กำลังใจของพวกเขาต่ำมากอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเข้ากับภาพของราชินีปรสิตที่ยึดครองบัลลังก์แห่งความเสื่อมโทรมต่อหน้าไปอีก มันก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องกำลังใจกันเลย
ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงเจตจำนงอันรุนแรงจากฝ่ายศัตรู ราชินีปรสิตได้ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะต้องล้มป้อมปราการให้ได้อีกครั้งหนึ่ง
เธอรู้ว่าเธอต้องให้กำลังใจพรรคพวกของเธอ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดออกมา สงครามครั้งนี้เป็นเหมือนกับการสู้ในสงครามที่รู้ว่าต้องแพ้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงคิดไม่ออกเลยว่าจะหาคำพูดไหนมาให้กำลังใจ
กาเบรียลเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่จะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เรารู้อะไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมนุษยชาติหรือเปล่า?”
ในที่สุดคำถามของเธอก็ได้ทลายความเงียบลง แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา
กาเบรียลถอนหายใจยาว
“ฉันรู้ว่าการสื่อสารของเขาขาดไปเพราะการรบกวนสัญญา ฉันกำลังถามถึงการติดต่อล่าสุดของเรา”
“เรื่องนั้น…”
เทวดาตกสวรรค์ที่ยืนข้างๆเธอได้พึมพำออกมาเบาๆ
“อะไรล่ะ?”
กาเบรียลเผยรอยยิ้มอ่อนล้าออกมา
“พวกเขาบอกว่าจะไม่มาเพราะไม่ใช่ปัญหาของพวกเขางั้นเหรอ?”
“พวกเราได้รับข่าวเรื่องการเกณฑ์พลของห้าอาณาจักร แต่ว่า…”
เสียงพูดของเทวดาตกสวรรค์ได้หยุดลงเพียงเท่านี้
เธอไม่จำเป็นต้องฟังอะไรอีกแล้วเพราะการสื่อสารได้ถูกตัดออกไปนับตั้งแต่ที่ปรสิตมาถึง
“เกณฑ์พลงั้นสินะ”
กาเบรียลได้ตอบกลับนิ่งๆ
นั่นก็เพราะว่าเธอรู้ว่าข่าวการเกณฑ์พลกับข่าวกำลังเสริมกำลังเดินทางมาที่นี่มันต่างกันอย่างมาก
แน่นอนว่าก็มีโอกาสที่ราชวงศ์จะส่งกองทัพมาจริงๆ แต่ว่า…
‘นั่นก็ยังไม่พอ’
พวกเขาพอจะช่วยต่อต้านกองทัพซากศพได้บ้าง แต่ตัวช่วยจริงๆที่สหพันธรัฐต้องการก็คือชาวโลก แต่ไม่ว่ายังไงชาวโลกก็แทบจะไม่ได้สนใจฟังการเกณฑ์พลเลยสักนิด… พูดตามตรง กาเบรียลก็ยังไม่หวังเลย
นอกไปจากนี้ต่อให้ชาวโลกมาก็ยังมียังไม่มั่นใจเลยว่าจะมีโอกาสชนะ ราชินีปรสิตดูเหมือนจะมุ่งมั่นในการพิชิตป้อมปราการนี้มากจริงๆ จนทำให้เธอยกกำลังทั้งหมดมา
มีเพียงเรื่องเดียวที่โล่งใจก็คือความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่รู้จักกันดีว่าไม่มีใครเทียบได้ไม่ได้ปรากฏตัว แต่นี่ยังไม่พอให้เธอสบายใจได้
ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่มีความหวังเลย มีเพียงแต่ความสิ้นหวังอยู่ตรงหน้าเท่านั้นเอง
กาเบรียลได้พึมพำกับตัวเองด้วยความหมดหมองลึกๆ
“หากผู้บริหารมาก็คงดี…”
“อย่าไปตั้งความหวังกับเจ้าพวกนั้นจะดีกว่านะ”
กาเบรียลได้ยินเสียงแหบแห้งที่ผสานกับเสียงคำรามดังเข้ามา
มนุษย์สัตว์ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและมีแผงคอยาวจากบนใบหน้าได้ปรากฏขึ้น
“ในตอนที่บ้านของเราถูกยึด พวกมันเอาแต่มองดูพวกเราที่กำลังถูกเผาจากอีกฝั่งของแม่น้ำ ในตอนที่ผู้บริหารพาคกลุ่มน้อยมาช่วยเราถูกซุ่มโจมตีและฆ่าไป พวกมันก็ยังไม่ยอมทำอะไรเลย นี่เธอไปหวังอะไรจากพวกหน้าไม่อายนั่นกันล่ะ?”
“ในฐานะราชาแล้ว ฉันข้าใจนะว่าคุณรู้สึกอย่างไร แต่ว่า…”
กาเบรียลถอนหายใจออกมา มันเป็นการถอนหายใจครั้งที่สามของเธอแล้ว
“ไม่ว่าคุณจะมีเรื่องกับพวกเขายังไง เราก็ได้แต่หวังให้พวกเขาเข้ามาช่วยเรา พวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง”
“น่าขัน เธอเอาแต่ใช้เหตุผลมาก่อนตลอดเลยนะ”
“แต่ก็นะ”
กาเบรียลเงยหน้ามองต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาก่อนจะหัวเราะแห้งๆออกมา
“จู่ๆ ต้นไม้โลกที่อยู่ในสภาพร่วงโรยอาจจะกลับมามีชีวิตขึ้นทันทีก็ได้นะ”
“น่าตลกนะ เพราะศัตรูมาอยู่ตรงหน้าเราทำให้เธอกลายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?”
มนุษย์สัตว์แค่นเสียงออกมา
“เธอเชื่อเหรอว่ามนุษย์จะไปพยายามไขว้คว้าในภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้น่ะ?”
“นั่นก็เพราะว่ามนุษย์คนนั้นคือคนที่ทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จไงล่ะ”
กาเบรียลได้ตอบกลับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆ
กลับกันจู่ๆ มนุษย์สัตว์ก็เงียบลงไป
“…ซอลจีฮูงั้นสินะ?”
ฮีโร่ที่ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งผู้เป็นแนวหน้าเลื่องชื่อของราชินีปรสิตมานาน
น้ำหนักของชื่อนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย
“ที่จริงฉันก็ได้ยินถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขามากจนทำให้ฉันหูอื้อเลย…”
“ใช่แล้ว หากว่าเขาชุบชีวิตต้นไม้โลกได้จริงๆ สหพันธรัฐก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล คุณว่ายังไงล่ะ? คุณจะยอมลดความขุ่นเคือง และร่วมมือกับมนุษย์ไหม?”
“ฮึ ไว้ทำสำเร็จแล้วเราค่อยมาคุยกัน”
ราชามนุษย์สัตว์แค่นเสียงออกมา
“ชุบชีวิตต้นไม้โลก… ฮ่าฮ่า ถ้าเขาทำมันได้สำเร็จจริงๆ ฉันก็ยินดีที่จะเปลี่ยนคาดคิดเกี่ยวกับมนุษย์ที่อยู่กับคนๆ นั้น”
เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธไปซะหมด นั่นมันก็เพราะเขารู้ดีว่าภารกิจนี้ยากแค่ไหน ซึ่งมันถึงขนาดทำให้สหพันธรัฐยอมแพ้ไปแล้ว
นี่คือเหตุผลที่ว่าหากซอลจีฮูทำได้สำเร็จจริงๆ…
ในตอนนี้เอง
ทันทีที่เขาพูดจบ ภาพของราชินีปรสิตก็โบกมือกว้างออกมา
และพร้อมกับนั้นรังนับร้อยก็ได้ทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ และร่างกายมันได้เริ่มพองขึ้น
กาเบรียลค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น
รังได้หยั่งรากลงไปในดินพร้อมๆกัน นี่คือสัญญาณการจู่โจมของปรสิต
การแพร่ระบาดเริ่มต้นขึ้นแล้ว
และนั่นก็แน่นอนว่า…
“…พวกมันกำลังมาแล้ว”
ในที่สุดกองทัพซากศพก็เริ่มเคลื่อนไหวเหมือนอย่างที่มนุษย์สัตว์พูด
จุดเล็กๆจากระยะไกลได้ค่อยๆใหญ่ขึ้นพร้อมตีกรอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินได้เริ่มส่งมาถึงพวกเขาที่อยู่ตรงนี้อีกด้วย
แม้กระทั่งจะยืนอยู่บนป้อมปราการพวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงลมกระโชก และผืนดินที่สั่นไหวรุนแรง
“…ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน?”
กาเบรียลพึมพำกับตัวเองก่อนจะกัดฟันแน่น
พวกเขากำลังอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ต้องปกป้องป้อมปราการ แต่ก็ยังต้องรีบออกไปทำลายรังอีกด้วย พวกเขาไม่อาจจะอยู่เฉยๆได้อีก
หลังจากสะบัดความคิดไม่จำเป็นออกไปแล้ว กาเบรียลก็ตะโกนออกมาพร้อมมองคลื่นสีดำสนิทที่กำลังพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า
“ทุกหน่วย!”
เมื่อเธอตะโกนออกไปสุดเสียง เหล่าแฟรี่ท้องฟ้าก็ได้ยกธนูขึ้นสูง
ภายใต้หัวลูกศรมีหินที่ปล่อยประกายสายฟ้าออกมาอยูู่ มันก็คือก้อนอสนีบาต
“ยิง!”
เมื่อจบคำเสียงกรีดผ่านสายลมก็ได้ดังกังวาลออกมา หลังจานั้นไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นที่ทำให้ทั้งโลกต้องสั่นไหว
***
ในเวลาเดียวกน
ซอลจีฮูที่ทิ้งตัวเข้ามาในหลุมควันได้ลูบหน้าด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ยๆ…”
ระหว่างที่เขากำลังลูบคางอยู่นี้เอง จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกหนักหน่วงที่หลัง
เมื่อเขาตะโกนออกมาและหันกลับไปมอง เขาก็เห็นฟีโซรากำลังหลับตาแน่นใช้เขาเป็นเบาะลอง
เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอก็เข้าใจสถานการณ์ แลพรีบลุกออกจากตัวเขาอย่างรวดเร็ว
“ทะ โทษที”
“ไม่เป็นไรครับ ที่สำคัญกว่านั้น…”
เขาเห็นสมาชิกที่เขามาในหลุมรอบสองอยู่รอบตัวเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ามาในทันทีที่ทีมแรกผ่านเข้ามา
นี่มันหมายความว่าทุกคนได้ถูกส่งมาอยู่ในที่เดียวกัน
ซอลจีฮูที่กำลังโอดครวญได้ดันตัวเองลุกขึ้น ก่อนจู่ๆจะกลายเป็นสับสนไป
ท้องฟ้าเป็นสีแดง
ไม่สิ ทั้งโลกได้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือด
ต้นไม้ที่ครั้งหนึ่งดูจะเคยงดงามได้เหี่ยวเฉา และแห้ง
มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากภาพที่เขาเคยเห็นในศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยนดิชชี่ หากว่าที่นั่นเหมือนโลกที่ตายไปแล้ว ถ้างั้นที่นี่ก็เหมือนกับโลกที่กำลังตาย มันเหมือนกับเป็นคนป่วยที่ใกล้ตาย
แต่ไม่ว่าจะแบบไหนนั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเนื่องจากพวกเขามาที่นี่แล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้คือพวกเขาได้มาถึงอาณาจักรภูติหรือเปล่า
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้รับคำตอบ
“นั่นมันอะไร?”
ซอลจีฮูที่กำลังมองไปรอบๆด้วยความตกตะลึงได้หันไปมองตามที่คาซุกิชี้ จากนั้นเขาก็กลายเป็นพูดไม่ออก
ทางนั้นมีภาพอันน่ากลัวอยู่
ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตแปลกๆที่มีจำนวนนับร้อย หรือกระทั่งนับพันอยู่ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่ดูจากเชดสีห้าสีที่ถูกย้อมจนเข้มแล้ว มันชัดเจนมากว่าพวกมันคงจะเป็นภูติ
ยังไงก็ตามภูติเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่างกำลังตาย
บางอย่างที่ดูเหมือนกับหมอกควันสีน้ำเงินสดใสกำลังไล่ฆ่าล้างบางภูติด้วยพลังที่เหลือกว่า แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่าก็ตาม
ภูติส่วนใหญ่ต่างก็ถูกสังหารลงไปโดยไม่มีโอกาสให้หนี หรือกระทั่งต่อต้านก็อยู่ได้ไม่นานก่อนจะกลายเป็นฝุ่นไป
เนื่องจากเหล่าภูติไม่อาจจะสู้กลับไปได้เลยทำให้จำนวนแต่เดิมที่มีนับพันได้ลดลงไปอย่างรวดเร็ว
“ตั้งสติก่อน!”
ซอลจีฮูได้ตั้งสติกลับมาได้ทันทีที่มีเสียงทุ้มดังเข้ามา
เขาได้ลุกขึ้นยืน และตั้งสมาธิขึ้นเมื่อเห็นแบคแฮจูกำลังถือหอกเรืองแสงสีเขียวอยู่ตรงหน้าเขา
โชคดีท่ามกลางโชคร้ายคงเป็นอาณาจักรภูติยังไม่ได้ล่มสลายไป ภูติยังคงต่อต้านอยู่
แน่นอนว่าถึงแม้ว่าจะเป็นการสังหารฝ่ายเดียว แต่สิ่งสำคัญก็คืออาณาจักรภูติยังไม่ได้ถูกทำลายไป
แค่เรื่องนี้ก็พอแล้ว
ถึงพวกเขาจะไม่คิดว่าก่อนว่าทันทีที่มาถึงจะเจอกับภาพนี้ แต่ว่านี่มันก็หมายถึงสถานการณ์เร่งด่วน
ถ้าแบบนั้นแล้วก็มีแค่สิ่งเดียวที่ต้องทำ
ซอลจีฮูได้สะบัดแขนตัดเชือกที่มัดข้อมือเขาไว้
เขาได้จับหอกพิสุจน์ไว้แน่นก่อนจะชี้มันไปทางหมอกควันสีน้ำเงินแปลกๆที่กำลังไล่ล่าสังหารภูติอยู่
และจากนั้น
“ทุกคน”
ทั้งที่ป้อมปราการไทกอล และอาณาจักรภูติ…
“เตรียมปะทะ”
ได้เกิดเป็นสงครามที่จะใช้ตัดสินชะตากรรมของพาราไดซ์ขึ้นพร้อมๆกัน