บทที่ 322 - ศึกเฉียบพลัน (1)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 322 – ศึกเฉียบพลัน (1)

ชิ้ง! เสียงดาบถูกชักจากฝักได้ดังขึ้น

ทันทีที่ได้รับคำสั่งจากซอลจีฮู ทุกๆคนได้ตัดเชือกที่ข้อมือ และยกอาวุธขึ้นเตรียมพร้อมสู้

‘ก็อยากจะตรวจสอบอีกสักหน่อย…’

ซอลจีฮูรู้สึกไม่ดีเลยที่สั่งให้ทุกๆคนสู้อย่างกระทันหันแบบนี้

ยังไงก็ตามพวกเขาไม่มีเวลาแล้ว มันชัดเจนมากว่าภูติกำลังจะถูกฆ่าไปจนหมดโดยที่ไม่อาจตอบโต้ได้เลยสักนิด

‘หากว่าฉันช่วยภูติได้สักตน ฉันก็น่าจะได้ข้อมูลสภาพในปัจจุบันของอาณาจักรภูติ’

เมื่อคิดแบบนี้แล้วซอลจีฮูก็พุ่งตัวออกไปสุดกำลัง เขาคิดไว้ว่าจะช่วยภูติก่อน

ในทันทีที่พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกัน ศัตรูก็สังเกตเห็นพวกเขาได้ในทันที พวกมันได้หยุดการสังหารหมู่ และหันมามอง จากนั้นเมื่อวพวกมันเห็นสมาชิกทีมพุ่งเข้าใส่พวกมัน-

[กรี๊สสสสส!]

พวกมันได้เปลี่ยนเส้นทางพุ่งมาหาทีมทำภารกิจพร้อมกรีดร้องเสียงแหลม

“พวกมันกำลังมาแล้ว!”

ฟีโซราได้ตะโกนขึ้นในขณะที่สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนควันเรืองแสงสีฟ้าย่นระยะเข้ามาหาพวกเขา

‘เจตจำนงวิญญาณงั้นเหรอ?’

สิ่งมีชีวิตเรืองแสงสีหน้าเงินยิ่งสว่างมากกว่าเดิมอีกในระยะใกล้ พวกมันเปล่งประกายแสงเจิดจ้าจนเหมือนกับเป็นดาวหาง

แม้ว่าซอลจีฮูจะอยากสังเกตดูพวกมันอีกสักหน่อย แต่ว่า….

แคร๊ก! เมื่อไฟแผดเผาเข้ามาใกล้จะสัมผัสถูกตัวเขา ซอลจีฮูก็ได้แทงหอกออกไป

“!”

จากนั้นเขาก็ต้องหยุดลงด้วยความลังเลใจ ตามปกติแล้วเขาควรจะรู้สึกถึงคมหอกที่แทงทะลุบางอย่างไป แต่มันกลับไม่มีความรู้สึกแบบนั้นส่งมาเลย

แต่เขาก็คิดไว้แล้วตั้งแต่ที่พวกมันมีสถานะเป็นเหมือนควัน เหตุผลที่เขาหยุดชะงักนั่นก็เพราะว่าศัตรูได้นิ่งไปในทันทีที่หอกเขาแทงทะลุมัน

[กรรร!]

ควันสีน้ำเงินได้แต่ส่งเสียงร้องแปลกๆอออกมาโดยไม่อาจจะขยับได้เลยแม้แต่นิด

เมื่อดูให้ดีแล้วมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลออกมาจากอาวุธสังหารปีศาจอย่างหอกพิสุจน์ และกำลังทำการทำลายภายในตัวของควันสีน้ำเงิน

‘อย่าบอกนะว่า’

ทันทีที่เขาคิดแบบนี้ ซอลจีฮูได้ใช้พลังต่อต้านปีศาจออกมาในทันที

ดังนั้นแล้วกระแสไฟฟ้าสีทองได้พุ่งออกจากปลายหอกอย่างรุนแรง

[กรรรร… กรรรรรรร…]

ควันสีน้ำเงินได้ระเบิดจนหายไปแทบจะทันที

มันดูเหมือนสลายหายไปทั้งแบบนี้ แต่จากนั้นจู่ๆมันก็ได้ลอยหายไปตามเส้นขอบฟ้าราวกับถูกบางอย่างดูดไป

ซอลจีฮุหรี่ตาลงเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างควันหายไปในทันที

‘นี่มันอะไรกัน?’

เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่มันง่ายเกินไป ยังไงก็ตามความลังเลของเขาอยู่ไม่นานนัก ไม่เพียงแค่เขาจะอยู่ระหว่างการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีควันสีน้ำเงินอีกตัวพุ่งเข้าใส่เขา

ซอลจีฮูได้ดึงแขนกลับมา และเหวี่ยงขึ้นไปทำให้คมหอกที่เปล่งแสงสีทองตวัดขึ้นฟันควันสีดำจนขาดครึ่ง และละลายหายไป

แทบจะทันทีหลังจากนั้นควันสีน้ำเงินอีกสี่ตัวได้พุ่งเข้ามาหาเขาจากสี่ทิศ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม เมื่อซอลจีฮูสะบัดหอก เหล่าควันสีน้ำเงินก็ระเบิดออกโดยไร้แรงต้าน มันง่ายมากจริงๆ

ไมใช่แค่ซอลจีฮูเท่านั้นที่ประหลาดใจกับพลังของศัตรู แม้กระทั่งโชฮงกับฮิวโก้ก็ยังกดดันศัตรูด้วยแท่งเหล็กหนามที่เปล่งแสงสีขาวกับความที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม

แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้เหนือกว่าศัตรูมากแบบซอลจีฮู แต่ว่าพวกเขาก็จัดการกับศัตรูได้อย่างไม่ยากเย็น

ฟีโซราถึงขนาดวิ่งเข้าไปกลางกลุ่มศัตรู และร่ายรำดาบอย่างคึกคะนอง ทุกๆครั้งที่ดาบของเธอตวัดออกไปเหล่าควันที่อยู่ในระแหวกใกล้เคียงก็จะถูกเปลวเพลิงกลืนกินอย่างรวดเร็ว

ในเมื่แรงค์เกอร์ระดับสูง และกระทั่งระดับ 4 ยังทำได้ดีแบบนี้ ดังนั้นแล้วไม่จำเป็นต้องพูดถึงเหล่าคนที่มีพลังสูงกว่านี้เลย

ทีมทำภารกิจได้ปราบกองกำลังศัตรูได้ในทันที และการต่อสู้ก็จบลงเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก

“เกิดอะไรขึ้นกัน? เจ้าพวกนี้ไม่อ่อนแอเกินไปเหรอ?”

“ใช่ นี่มันง่ายไปแล้ว”

โชฮงและฮิวโก้ที่เพิ่งสู้เสร็จพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสนุกสนามพร้อมเช็ดเหงื่อออกไป

ก่อนเริ่มสู้พวกเขาค่อนข้างจะกังวล แต่การได้ชัยชนะมาในครั้งแรกง่ายแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุข

ซอลจีฮูยังคงเงียบแม้ว่ามีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่ การปราบศัตรูได้ไม่ใช่เรื่องแย่ และกำลังใจก็คือสิ่งสำคัญในทุกๆการต่อสู้ เขายังคงอยู่เงียบๆเพราะไม่ต้องการทำลายบรรยากาศนี้ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้สงสัยในสถานการณ์แบบนี้

มีบางคนที่ดูเหมือนจะคิดแบบเดียวกันกับเขาอย่างเช่นแอ็กเนส โอราฮี และอีกสองสามคนที่ยังนิ่งอยู่เงียบๆ

“เงาราตรี”

ฟิลิป มูเลอร์พูดขึ้นอย่างสงบ

“พวกมันคือวิญญาณภูติที่ดำรงอยู่ด้วยพลังงานหยิน หรือพลังงานด้านลบ”

“คุณหมายความว่าเงาราตรีคือเจ้าสิ่งที่เราเพิ่งสู้ไปงั้นเหรอ?”

“ถูกแล้ว มีแค่เรื่องหนึ่งที่…”

คำพูดของเขาได้หยุดลงแค่นี้ จากนั้นเขาก็เม้มปากขึ้น

“มีบางอย่างแปลกๆ”

“?”

“ฉันคิดไว้ว่าอย่างน้อยจะต้องมีผู้บัญชาการกองทัพสักคนของปรสิตในอาณาจักรพูด ถึงแม้ว่าปรสิตจะมีอยู่ถึงเจ็ดกองทัพ แต่มีสองกองทัพที่ไม่เคยปรากฏตัวในมิดเดิลเวิลด์เลยนับตั้งแต่ช่วงแรก”

“สองกองทัพ…?”

“ผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ความสงบนิ่งอันกราดเกรี้ยว กับผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดความเมตตาอันบิดเบี้ยว”

“…”

“ผู้บัญชาการสองคนนี้ไม่เคยปรากฏตัวเลยแม้กระทั่งในตอนที่ปรสิตยึดป้อมปราการไทกอล ถึงพวกเราจะพอมีข้อมูลของผู้บัญชาการทั้งสองคนนี้อยู่บ้าง แต่มันก็หาได้ยากมากที่จะเจอกับผู้บัญชาการทั้งสองคนนี้”

ซอลจีฮูพยักหน้าอออกมา

“แล้วส่วนที่แปลกล่ะครับ?”

“จากที่เรารู้กันดีคือความสงบนิ่งอันกราดเกรี้ยวมาจากเผ่าพันธุ์สัตว์ในตำนาน ส่วนความเมตตาอันบิดเบี้ยวคือสมาชิกคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มังกร”

ฟิลิป มูเลอร์พูดต่อ

“แต่ว่าวิญญาณภูติที่เราเพิ่งเจอนั้นโดยปกติแล้วจะมาจากมิติวิญญาณ พวกมันไม่ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ในตำนานหรือมังกรเลย”

หรือก็คือมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวกับผู้บัญชาการที่บุกรุกเข้ามาในอาณาจักรภูติเลย

“ถ้างั้นแล้วทำไม…?”

หากคำนึงถึงเอกลักษณ์ของเหล่าปรสิตแล้ว นี่มันมีข้อสงสัยอยู่หลายจุดเลย

สำหรับวิญญาณภูติที่ไม่ได้มีร่างกายแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่ามันคือส่วนหนึ่งของกองทัพซากศพ และพวกมันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากสายพันธุ์แม่ที่คลอดออกมาด้วยเช่นกัน

แบบนี้แล้วพวกมันก็น่าจะต้องเป็นกองทัพภายใต้การบัญชาของผู้บัญชาการกองทัพ

“มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้บัญชาการอีกคนอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?”

“มีความอดทนอันเดือดพล่านที่เป็นวิญญาณภูติอยู่ แต่ผมได้ยินมาว่ากองทัพของเธอเป็นแบนชีทั้งหมด ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเธอนำกองทัพเงาราตรี”

เมื่อฟิลิป มูเลอร์อธิบายออกมา สีหน้าซอลจีฮูก็กลายเป็นซับซ้อน

‘มันแปลกจริงๆ…’

“แต่ผมก็พอจะเดาออกนะ”

ทันใดนั้นฟิลิป มูเลอร์ก็ลดเสียงลงจนเป็นเสียงกระซิบ

“ถึงจะไม่ได้มั่นใจ ผมก็เคยได้ยินบางอย่างมาจากดาวแห่งความเกียจคร้านคนก่อน”

“ดาวแห่งความเกียจคร้านคนก่อนเหรอครับ?”

“ผมกำลังพูดถึงผู้บริหารคนก่อนหน้าของทาเซียน่า ซินเซีย”

ฟิลิป มูเลอร์พูดต่อ

“หลังจากกลายเป็นผู้บริหาร เขาได้สู้กับผู้บัญชาการกองทัพที่สี่อยู่ครั้งหนึ่ง เขาได้หลบหนีเอาชีวิตรอดมาได้ ทำให้เขาบอกผมว่าความสงบนิ่งอันกราดเกรี้ยวคือยูนิคอน”

“ยูนิคอน…”

“นี่แหละปัญหา ยูนิคอนเป็นสัตว์ในตำนาน แต่ว่านั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมิติวิญญาณอยู่ดี”

ในตอนนี้เองซอลจีฮูก็รู้ถึงการคาดเดาของฟิลิป มูเลอร์ และพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะบอก

“คุณกำลังจะบอกว่าตัวตนของความสงบนิ่งอันกราดเกรี้ยวอาจจะเปลี่ยนไป”

“เป็นไปได้ หรืออาจจะมีบางอย่างที่เรายังไม่เข้าใจก็ได้ เราต้องเปิดรับในทุกความเป็นไปได้”

ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่กาเบรียลเคยบอกกับเขา

‘ไพ่ใบใหม่….’

ผู้เหมาะสมเท่านั้นที่รอด นี่คือแนวคิดง่ายๆ หากว่าราชินีเจอกับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่า มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรรั้งไม่ให้เธอเปลี่ยนผู้บัญชาการคนใหม่

“ผมรู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร แต่ว่า…”

คาซกิที่เงียบอยู่นานได้พูดแทรกขึ้น เขาได้ยกนิ้วชี้ไปด้านหน้า ภูติกลุ่มเล็กๆที่รอดชีวิตจากการโจมตีของเงาราตรีกำลังพึมพำกันอยู่

[มนุษย์? นั่นมนุษย์ใช่ไหม?]

[ไม่มีทางน่า! มนุษย์จะเข้ามาในโลกนี้ได้ยังไงกัน…!]

ซอลจีฮูกลืนน้ำลายลงไป ภูติแต่ละตัวต่างก็เปล่งแสงของหนึ่งในห้าสีออกมาโดยมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปนับตั้งแต่สัตว์ไปจนถึงเด็กสาว ภูติแต่ละตนต่างก็มีขนาดเล็ก แต่น่าแปลกที่เหล่าภูติไม่ได้ดูทรงพลังเลยสักนิด

[พวกเขาเอาชนะพวกมันได้! บางทีพวกเขาอาจจะมาช่วยเรา!]

[หากว่าเป็นแฟรี่ท้องฟ้าฉันก็อาจจะเชื่อนะ แต่มนุษย์น่ะเหรอ?]

[แต่พวกเขาช่วยเราไว้จริงๆนะ!]

[เดี๋ยวก่อนนะ มีออร่าของภูติที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน….]

ตัดสินจากที่พวกเขากำลังคุยกันแล้ว มันชัดเจนมากว่าพวกเขายังเด็กอยู่ แต่พวกเขาก็น่าจะอธิบายถึงสถานการณ์ของอาณาจักรภูติได้

เมื่อซอลจีฮูเดินออกไปด้านหน้า สายตาของภูติทั้งหมดก็หันมามองที่เขา

[ช่วยเราด้วย!]

[ได้โปรดช่วยด้วย!]

[ช่วยท่านราชา!]

[ช่วยโลกของพวกเราด้วย!]

พวกเขาได้เริ่มพูดกันออกมาอยู่ตรงเท้าของซอลจีฮู

เมื่อซอลจีฮูยืนนิ่งสับสนกับภูติที่ดึงขาเขาไว้ เขาก็ได้ผงะไปเมื่อมีบางอย่างสะกิดคอ

“คู่หู”

ลูกเจี๊ยบได้มายืนอยู่บนไหล่เขาก่อนจะรู้ตัว

“ให้ฉันคุยกับเด็กๆ พวกนี้เอง”

“นาย…?”

“อืม ฉันมีเรื่องสงสัยอยู่”

ซอลจีฮูคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้า ในเมื่อลูกเจี๊ยบก็เป็นภูติ การให้ภูติคุยกันเองน่าจะง่ายกว่า

ลูกเจี๊ยบได้กระโดดลงไปในทันทีที่ได้รับคำอนุญาต ทันทีที่มันลงถึงพื้น ภูติทั้งหมดที่คุยกันต่างตกตะลึง

[เอ๋? นี่ใครกัน?]

“คิดยังไงล่ะ? ฉันก็เป็นภูติเหมือนพวกนายนั่นแหละ]

[แต่ฉันไม่เคยเห็นภูติแบบนาย…]

“ก็แน่อยู่แล้ว มันควรจะเป็นแบบนั้น หากเหล่าเด็กน้อยอย่างพวกนายรู้จักฉันก็คงแปลกแล้ว”

[เอ๋? กลิ่นนี้… มันเป็นกลิ่นของธาตุทั้งห้า แล้วก็มีกระทั่งแสงสว่าง และความมืดที่ถูกปิดผนึก… นายเป็นใครกัน?]

“เงียบ! แม้กระทั่งราชาของพวกนายยังไม่กล้าพูดกับฉันแบบนี้เลย! ภูติระดับต่ำควรที่จะพูดกับผู้อาวุโสด้วยความเคารพ!”

เมื่อลูกเจี๊ยบขึ้นเสียงออกมา ภูติที่พูดคุยกันได้เงียบลงทันที พวกเขาคงจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของระดับจนทำให้พวกเขาทุกตนดูหดหู่

“…ฉันมีคำถามที่อยากจะถามพวกนาย”

ลูกเจี๊ยบกระแอ่มและพูดขึ้น

“จะบอกไว้ให้นะมนุษย์เหล่านี้คือกำลังเสริมที่แฟรี่ท้องฟ้าส่งมาช่วยโลกของเรา หรือก็คือเราคือมิตร”

เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้าของเหล่าภูติสดใสยิ่งขึ้น

“แต่ว่าเราเพิ่งจะมาถึง ดังนั้นเรายังไม่รู้อะไรเลย ทุกๆวินาทีต่างก็สำคัญ ตั้งใจตอบคำถามให้ดีเข้าใจนะ?”

[อะ อื้อ!]

“ดี อย่างแรก ราชาภูติอยู่ที่ไหน?”

[…]

“ฉันรู้สึกถึงพวกเขาได้ แต่มันอ่อนมาก เกิดบ้าอะไรขึ้นกันถึงได้ทำให้อาณาจักรภูติกลายเป็นแบบนี้?”

[…เหล่าราชาถูกจับ]

“อะไรนะ?”

เมื่อภูติตอบกลับด้วยน้ำเสียงหดหู่ ลูกเจี๊ยบขมวดคิ้วขึ้นทันที

“ถูกจับ? อิฟริต อวา เทียร่า อา แล้วก็เซลฟิส ทั้งห้าคนถูกจับหมดเลยงั้นเหรอ?”

[อื้อ ศัตรูที่เหล่าราชาสู้ด้วยน่ากลัวเกินไป…]

เสียงสะอื้นได้เริ่มดังออกมา ลูกเจี๊ยบหัวเราะอย่างตกตะลึง จากนั้นก็กัดฟันแน่น

“ให้ตายสิ ถ้างั้นแล้วลอร์ดภูติล่ะ?”

[?]

“ฉันกำลังพูดถึงโอฟินัวร์ โอดอร์กับดิฟิเด็ม โอดอร์”

[พวกเรา… ไม่รู้ พวกเราถูกบอกว่าเราไม่อาจจะประมาทปลดผนึกออกได้…]

“โง่เง่า!”

ลูกเจี๊ยบโพล่งออกมาก่อนที่เหล่าภูติจะได้พูดจบซะอีก

“เจ้าพวกไร้สมองนั่น! ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้…!”

เส้นขนสั้นๆของมันลุกตั้งชันขึ้นอย่างรุนแรง

“…คู่หู”

หลังจากหอบหนักกับตัวเองแล้ว ลูกเจี๊ยบได้หันกลับมามองซอลจีฮู

“สถานการณ์แย่กว่าที่เราคิดไว้ หากว่านายไม่มีปัญหาอะไร ฉันอยากจะให้ความสำคัญกับการช่วยราชาภูติก่อน”

ช่วยราชาภูติ หากว่านี่เป็นการช่วยอาณาจักรภูติก็ไม่มีปัญหา แต่ซอลจีฮูก็อดถามออกมาไม่ได้

“พวกเขายังมีชีวิตรอดเหรอ?”

“ฉันรู้สึกถึงพวกเขาได้”

ลูกเจี๊ยบเดาะลิ้น และภูติขึ้น”

“ภูติคือสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่ว่าพวกเราไม่ได้กลับคืนสู่ความว่างเปล่าหลังจากตายลง กลับกัน พวกเราจะกลับไปที่ต้นไม้โลก และเกิดขึ้นมาใหม่ จะพูดว่านี่คือวัฏจักรเกิด ตายวนเวียนไม่รู้จบก็ได้”

“แต่ต้นไม้โลก…”

“ตายไปแล้ว เนื่องจากวัฏจักรนี้พังลง ภูติก็น่าจะหายตัวไปเมื่อตาย มันน่าจะเป็นแบบนี้ แต่ว่า…”

ลูกเจี๊ยบได้หยุดถอนหายใจออกมา

“แต่?”

“ราชาภูติที่ถูกจับนานแล้วยังไม่ตาย แถมมันยังแปลกมากที่ราชาภูติทั้งหมดอยู่ในที่เดียวกัน ฉันรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เลย หากว่าปล่อยเอาไว้ ฉันกลัวว่า…”

เสียงของลูกเจี๊ยบได้เบาลงจนแทบไม่ได้ยิน ซอลจีฮูเข้าใจได้ในทันที

เขาก็ยังรู้สึกเช่นกันว่าหากราชาภูติตกอยู่ในมือศัตรูก็อาจจะเกิดเรื่องน่าสะพรึงขึ้นได้ อีกด้านหนึ่งการช่วยพวกเขาให้เร็วที่สุด และได้รับความช่วยเหลือจากราชาภูติก็เป็นเรื่องดี

สำหรับราขาของโลกแล้ว ราชาภูติน่าจะมีส่วนช่วยในการบัญชาการรบ

“เอาเถอะ แล้วพวกเขาอยู่ไหนล่ะ?”

“ฉันรู้ ที่ที่ต้นไม้โลกอยู่”

ดวงตาซอลจีฮูเป็นประกายขึ้น

“ไปกันเถอะ อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”

[ไปกันเถะ!]

[เราจะช่วยด้วย]

เมื่อได้ยินซอลจีฮูตอบกลับลูกเจี๊ยบ เหล่าภูติวัยเยาว์ก็พูดอย่างกระตือรือร้น ยังไงก็ตามลูกเจี๊ยบแค่นเสียง และปฏิเสธอย่างหนักแน่น

“อย่ามาไร้สาระ แม้กระทั่งวิญญาณภูติแค่ตัวเดียวพวกนายยังสู้ไม่ไหวเลย…”

[แต่!]

“ฟังฉันนะ ฉันไม่ได้กำลังบอกให้พวกนายอยู่เฉย ฉันมั่นใจว่าพวกนายรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหน พวกนายคงต้องเดินทางไปช่วยราชาภูติก็เพราะถูกต้อนจนมุมและไม่มีทางเลือกแล้ว”

เหล่าภูติพยักหน้าออกมา

“…ชิ หากว่าภูติระดับต่ำกับระดับต่ำสุดทำแบบนี้ มันก็ชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกระดับสูง”

ลูกเจี๊ยบพูดขึ้นอย่างเสียใจ

“การปล่อยเอาไว้มีแต่จะทำให้ศัตรูได้เปรียบมากขึ้น ในสถานการณ์ตอนนี้คือสู้หรือตาย พวกนายต้องกระจายตัวไปรวบรวมทุกคนมา”

[รวบรวมทุกคน?]

“จะต้องมีกลุ่มภูติที่หลบซ่อนตัวอยู่ พาพวกเขาไปสู้ อย่างน้อยที่สุดพวกนายก็เป็นโล่ให้พวกเราได้ ต่อให้พวกนายจะตายไป แต่ก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเมื่อต้นไม้โลกถูกชุบชีวิตขึ้น”

[ท่านคืนชีพให้ท่านต้นไม้โลกได้!?]

“ฉันไม่มีเวลามานั่งอธิบายหรอกนะ แค่ทำตามที่บอกก็พอ นี่เป็นเรื่องด่วน ยิ่งพวกนายใช้เวลานานแค่ไหน โอกาสในการช่วยราชาภูติของเราก็ยิ่งลดลงเท่านั้น เข้าใจนะ?”

ลูกเจี๊ยบได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนอยู่หลายครั้ง และในที่สุดเหล่าภูติก็ยอมเชื่อฟัง

[เข้าใจแล้ว! ถ้างั้นเราจะเจอกันที่ต้นไม้โลกเหรอ?]

[พวกเราต้องรีบพาภูติมาให้ได้จำนวนมากที่สุด!]

พวกเขาดูจะไม่กลัวความตายเลย ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมที่เห็นเหล่าภูติตัวน้อยกระจายตัวกันออกไปอย่างกล้าหาญ

‘…ไม่สิ’

บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องธรรมดา การไม่อาจมองเห็นความหวังใดๆในอนาคตทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่บนความสิ้นหวัง แต่เมื่อมีความหวังถูกโยนลงมา มันก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะคว้าไว้อย่างสุดกำลัง

‘หากว่าชาวโลกกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวได้สักครึ่งหนึ่งของเหล่าภูติล่ะก็…’

ซอลจีฮูหัวเราะเย้ยก่อนจะสลัดความคิดนี้ออกจากหัว

“ไปกันเถอะ”

“ฉันจะนำทางเองคู่หู”

ทีมภารกิจได้เริ่มเดินทางตามการนำของลูกเจี๊ยบ ซอลจีฮูได้เดินระวังรอบตัวไปอย่างเงียบๆ

‘ลูกเจี๊ยบบอกว่าราชาภูติอยู่รอบต้นไม้โลก?’

นี่มันหมายความว่าเขาจะสามารถทำสองเป้าหมานสำเร็จได้พร้อมๆกัน

‘หากว่าเป็นไปด้วยดี…’

ภารกิจที่พวกเขาคิดว่ายากลำบากมากอาจจะจบลงอย่างง่ายดาย เหมือนอย่างที่พวกเขาได้รับชัยชนะครั้งแรกอย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น หากว่าทุกๆอย่างมันราบรื่นก็คงดี แต่ว่าปรสิตไม่ใช่คนโง่ที่จะดูถูกได้

‘พวกปรสิตจะยังนิ่งอยู่เหรอ…?’

เมื่อเขาคิดแบบนี้…

[ฉัน…]

ทันใดนั้นเอง….

[ฉันมีทฤษฎีที่เก็บไว้อยู่]

[ฉันไม่เคยพูดมันออกมาเลยก็เพราะว่ามันเป็นแค่การคาดเดาทั้งนั้น]

ซอลจีฮูได้นึกถึงคำพูดที่เอียนเคยพูดก่อนตาย

[ซอล ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดในตอนนี้ราชินีปรสิตกำลังโลภ]

[เหตุผลที่เธอปล่อยมนุษยชาติทิ้งไว้]

[เหตุผลที่จู่ๆ เธอก็ละทิ้งป้อมปราการไทกอล และเข้าโจมตีฮารามาร์ค]

และ

[เหตุผลที่สองในเจ็ดกองทัพไม่ได้อยู่ในมิดเดิลเวิลด์]

เมื่อนึกย้อนไปถึงคำพูดที่เขาเคยได้ยิน ซอลจีฮูก็เม้มปากโดยไม่รู้ตัว

[หากว่าเราลองคิดและเชื่อมโยงเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกัน ฉันเชื่อว่าเราก็น่าจะได้รับคำตอบ คำตอบสำคัญที่จะใช้เอาชนะปรสิต]

[ตอนนี้อย่าพยายามเข้าใจทุกอย่าง ถ้าเป็นนาย นายจะต้องเข้าใจสิ่งที่ฉันบอกได้ในสักวัน สำหรับตอนนี้แค่จำที่ฉันบอกเอาไว้ก็พอ เพราะงั้น..!]

[เพราะงั้น… หนีไปซะ!]

‘…อาจารย์เอียน’

หัวใจของเขาได้หนักอึ้งเมื่อนึกถึงความอบอุ่นของนักเวทย์ชราคนนั้น

จริงๆเขาก็ยังไม่ได้มั่นใจว่าเอียนหมายถึงอะไร

แต่ว่า…

[ถ้างั้นฉันจะตอบนายเอง ในฐานะตัวแทนของทุกๆคน…]

เขามั่นใจได้เรื่องหนึ่ง

[ใช่แล้ว]

[มันคุ้มค่าที่จะปกป้องดวงดาวที่กระทั่งราชินีปรสิตก็ยังกลัว]

“…”

…ใช่แล้ว มันจะต้องมีเหตุผล

เหตุผลที่เอียนบอกให้เขาหนีไปเพียงลำพังโดยทิ้งทุกคนเอาไว้