บทที่ 323 – ศึกเฉียบพลัน (2)
ทีมทำภารกิจได้ตัดสินใจเคลื่อนไหวต่อ
ต้นไม้โลกจะโตขึ้นได้เฉพาะในพื้นที่พิเศษของอาณาจักรภูติเท่านั้น และในปัจจุบันราชาภูติทั้งห้าก็ถูกจับกุมตัวเอาไว้ในที่แห่งนั้น
หากว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี พวกเขาก็จะแก้ไขปัญหาทั้งสองอย่างได้ในคราวเดียว ยังไงก็ตามแม้แต่เด็กก็ยังรู้ว่ามันจะไม่ราบรื่นแน่
ปรสิตจะต้องเข้าขัดขวางแผนของพวกเขา และกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จก็คือการทำลายแผนของปรสิตให้ได้
ซอลจีฮูได้เร่งรีบออกเดินทาง แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไปพวกเขาก็ยิ่งช้าลง มันไม่ใช่ว่าพวกเขาตั้งใจลดความเร็วลง แต่ว่ามีปัจจัยภายนอกเข้าแทรกแซง
ลูกเจี๊ยบคนนำทีมที่กำลังเร่งรีบขยับเท้า จู่ๆก็ชะงักไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
“…พวกมันมาแล้ว”
ลูกเจี๊ยบโอดครวญก่อนถอนหายใจ
“ให้ตายสิ! พวกเรายังอยู่อีกไกลกว่าจะถึงใจกลาง… นี่มันเร็วไปแล้ว…!”
ซอลจีฮูได้มองไปรอบๆอย่างตกใจ ในตอนนี้พอลูกเจี๊ยบพูดถึง บรรยากาศรอบตัวพวกเขาแปลกไปจริงๆ
มันเงียบมากจนน่าขนลุก นอกไปจากนี้หากเขาไม่ได้คิดไปเอง มันมีเสียงเรียกดังก้องอยู่ในหัวเขา
นอกจากนี้ยังมีพลังงานด้านลบอย่างพลังงานหยินที่เขาเคยรู้สึกได้ในตอนที่เงาราตรีสังหารภูติอีกด้วย
“ดูเหมือนพวกศัตรูจะเคลื่อนไหวแล้ว”
ลูกเจี๊ยบได้พึมพำพร้อมรีบถอยกลับมา
ในเวลาเดียวกันเสียงก้องในหัวพวกเขาก็หยุดลง รอบตัวของพวกเขาก็ได้กลับคืนสู่ความเงียบสงบเช่นเดียวกัน
“พวกมันกำลังมาแล้ว!”
ควันได้เริ่มลอยขึ้นมาล้อมพวกเขาในเวลาไม่กี่วินาที จากนั้นมันก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและกลายเป็นกลุ่มแสงสว่าง
“อย่าดูถูกพวกมัน จำนวนมันมากกว่าคราวก่อนจนเทียบไม่ติดเลย!”
อย่างที่ลูกเจี๊ยบบอกไว้ จำนวนของศัตรูมีมากจนพวกเขานับไม่ไหว มันมากจนทำให้ซอลจีฮูคิดว่าเงาราตรีทั้งหมดในอาณาจักรภูติได้มารวมตัวที่นี่
ด้วยแรงกดดันจากจำนวนที่เหนือกว่ามากทำให้ทั้งทีมตั้งท่าเตรียมตัวขึ้นทันที
แต่ละคนต่างก็ตั้งแนวป้อมกันขึ้นรอบตัวนักบวชและนักเวทย์ก่อนที่จะได้รับคำสั่งซะอีก
“โอ้-!”
ในตอนนี้เองอูเดรย์ บาสเลอร์ร้องออกมา นั่นก็เพราะจู่ๆ เงาราตรีจำนวนมากก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศข้างๆพวกเขา และพุ่งเข้ามาแทบจะพร้อมๆกัน
ขณะที่อูเดรย์ บาสเลอร์กำลังผงะตกใจกับการโจมตีกระทันหัน ฟิลิป มูเลอร์ที่ระวังตัวอยู่ตลอดได้เคลื่อนไหวทันที
“——. ———. ——. ———.”
เขาได้ร่ายเวทย์และชี้ไม้คทายาวไปด้านหน้าแทบจะทันที
เมื่อเขาได้ลืมตาขึ้นมองไปด้านหน้า…
“กระสุน”
ผ้าคลุมหนาของเขาได้กระพือขึ้นตามแรงลม และมีบาเรียนูนปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
เงาราตรีที่พุ่งเข้าชนกับบาเรียต่างก็กระเด็นกลับไปก่อนจะระเบิดขึ้น
ยังไม่หมดเท่านั้น ฟิลิป มูเลอร์ได้ลดไม้คทาลงไปแล้ว จากนั้นเขาก็เปิดหนังสือขึ้นแทบจะทันที หน้ากระดาษได้พลิกไปโดยอัตโนมัติเหมือนใบไม้ถูกลมพัด จากนั้นหน้ากระดาษก็หยุดนิ่งไป และฟิลิป มูเลอร์ก็เงยหน้ามองขึ้นไป
“อวา อวา อวาริเทีย”
วงแหวนเวทย์นับสิบได้ปรากฏขึ้นหมุนวนรอบตัว ไม่นานนักวงแหวนเวทย์ก็หยุดหมุน และสัญลักษณ์เรขาคณิตภายในวงแหวนเวทย์ที่เปล่งประกายก็สีซีดลงไป
ต่อจากนั้นวงแหวนเวทย์หลายสิบอันก็กระพริบขึ้น และยิงเวทย์ชนิดต่างๆออกมา
ตูม ตูม ตูมมมม!
เมื่อเวทย์จำนวนมากได้ถูกยิงลงมาเหมือนกับสายฝน เหล่าเงาราตรีก็ได้แต่ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ชายเพียงคนเดียวได้ระเบิดกลุ่มมอนสเตอร์จำนนมากให้ตายได้แทบจะทันทีทำให้ทั้งทีมมีกำลังใจกันขึ้นมา
แน่นอนว่าศัตรูก็ยังเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมาก แถมยังมีบางตัวที่โชคดีหลุดพ้นผ่านระเบิดเข้ามาได้อีกด้วย ยังไงก็ตามแอ็กเนสก็ได้จัดการกับพวกมันอย่างรวดเร็ว
เธอได้กวาดล้างศัตรูที่บินเข้ามาจากทุกทิศทางอย่างรวดเร็วด้วยการกางแขน และหงายฝ่ามือปล่อยเส้นด้ายสีเงินออกไปจากปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง
เส้นด้ายที่ถูกปล่อยออกไปได้รัดพันกลุ่มควันเงาราตรีได้อย่างน่าประหลาด จากนั้นเมื่อแอ็กเนสสะบัดแขนอย่างรุนแรง เหล่าเงาราตรีที่ถูกมัดเอาไว้ก็ถูกฉีกกระจายเป็นชิ้นๆ
เป็นพลังที่น่ากลัวมาก!
ซอลจีฮูอ้าปากค้างออกมาเล็กน้อย
‘เขารู้ว่าสองคนนี้แข็งแกร่ง แต่นี่มัน…’
เขาอดไม่ได้ที่จะตกใจกับพลังที่ฟิลิป มูเลอร์ และแอ็กเนสได้เผยออกมาจัดการกับศัตรูกลุ่มใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
สมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็มีทีท่าที่คล้ายกัน แต่ว่าทั้งสองคนที่กำจัดศัตรูไปกลับแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“ทุกๆการต่อสู้ต่างก็ทิ้งคำถามไว้ให้ผมมากมาย…”
ฟิลิป มูเลอร์ได้ปิดหนังสือลง และพึมพำกับตัวเอง
“ฉันเห็นด้วยค่ะ เงาราตรีพวกนี้ก็พอที่จะฆ่าภูติวัยรุ่นได้ แต่ว่ามันเทียบไม่ได้กับเจ็ดกองทัพเลย แค่เอาไปเทียบก็ทำให้รู้สึกไม่ดีแล้วด้วยซ้ำ”
แอ็กเนสก็ยังคิดทำนองเดียวกัน
และซอลจีฮูก็เช่นกัน
การที่การต่อสู้ง่ายและราบรื่นมันไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่ปัญหาคือด้วยลักษณะของภารกิจที่พวกเขามาทำ การต่อสู้มันไม่ควรจะง่ายแบบนี้
[เสี้ยวพลังเทพที่ฉันย่อยไม่่ได้… จะเรียกว่าของเหลือก็ได้]
[ยังไงก็ตามมันกลายเป็นว่าการใส่ของเหลือนี้ไว้ในช่องท้องน้อยกลับได้ผลอันน่าทึ่ง เพราะแบบนีทำให้ลูกน้องของฉันแกร่งขึ้นได้เหมือนกัน]
ตามที่ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์เคยพูด สมาชิกของกองทัพเขาได้ดูดซับเอาเศษเสี้ยวพลังเทพที่ผู้บัญชาการไม่อาจจะย่อยได้ไป
แม้ว่าจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ แต่มันก็คือพลังแห่งเทพ ในเมื่อพวกมันครอบครองพลังของเทพ พวกมันก็น่าจะแกร่งกว่าปกติหลายเท่า
‘ทำไมพวกมันถึงได้อ่อนแอจังล่ะ?’
เขาอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับความเห็นของแอ็กเนสกับฟิลิป มูเลอร์ เพราะตัวเขาก็เคยแทบจะเอาชนะแวมไพร์ไม่ได้เลยต่อให้จะมีโฟลนช่วยก็ตาม
‘แถมการได้มาเห็นวิญญาณภูติทั้งๆที่ผู้บัญชาการเป็นสัตว์ในตำนานก็แปลกเหมือนกัน…’
ซอลจีฮูได้แต่เกาหัวทำอะไรไม่ถูก
นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขากังวล ศัตรูจำนวนมหาศาลที่จู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นก็ยังขวางเส้นทางพวกเขาเอาไว้
นี่มันหมายความได้ว่าหัวหน้าของเงาราตรีพวกนี้สังเกตเห็นพวกเขาแล้ว หากไม่เช่นนั้นเหล่าเงาราตรีจำนวนมากแบบนี้คงจะไม่ได้โผล่มาพร้อมๆ กันแน่
“นั่นมันอะไรน่ะ?”
ในตอนนี้เองฮิวโก้ได้ตะโกนขึ้น
ซอลจีฮูได้สะบัดความคิดออกไป และเบิกตากว้างขึ้น ตรงจุดที่เงาราตรีระเบิดเหมือนดอกไม้ไฟมีปรากฏการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นอยู่
ตัวที่ตายไปก่อนหน้านี้ได้ถูกดูดหายไปโดยทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้วย
ย้อนไปในตอนแรกเขาเห็นไม่ชัดก็เพราะตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ และเงาราตรีได้ค่อยๆถูกจัดการทีละตัว แต่ในคราวนี้เงาราตรีจำนวนมากได้ตายพร้อมกันทำให้มันเห็นได้อย่างชัดเจน
มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากคราวทที่แล้วก็คือ เงาราตรีที่ตายลงจากการระเบิดไม่ได้บินหายไปไกลเหมือนกับในตอนแรก
พวกมันกำลังรวมตัวกันอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆโดยสูงเหนือพื้นแค่ประมาณหนึ่งเมตร ร่างหมอกควันจำนวนมหาศาลได้กำลังกระจุกรวมตัวด้วยกันจนทำให้ทั้งพื้นที่เหมือนกับกำลังส่องแสงประกาย
“นั่นมัน…”
เมื่อโชฮงขมวดคิ้วขึ้น ลูกศรธนูได้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
คาซุกิที่รู้สึกแปลกๆได้ยิงลูกธนูออกไปตามสัญชาตญาณทันที
ยังไงก็ตามลูกธนูได้พุ่งผ่านควันไป และกลุ่มก้อนควันที่กลายเป็นหนาขึ้นก็เรืองแสงสีฟ้าออกมา
ใบหน้าคาซุกิยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม
“มันสายเกินไปแล้ว”
อย่างที่เขาพูดเอาไว้
กลุ่มควันได้ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างไปราวกับจะขึ้นรูปเป็นบางอย่าง
แคร๊ก! จากนั้นเปลงเพลิงสีน้ำเงินเข้มก็ปรากฏขึ้น และมีร่างเดินออกมาจากเปลงเพลิง มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายม้าที่มีเขาอยู่บนหน้าผาก
ใช่แล้ว มันเหมือนกับยูนิคอนสีขาว…
‘ยูนิคอน?’
เมื่อซอลจีฮูคิดมาถึงจุดนี้ ปากยาวของยูนิคอนก็ได้เปิดขึ้น
“เข้าใจแล้ว… ทั้งหมดมันเพราะพวกเจ้า”
น้ำเสียงแหลมสูงคล้ายกับเสียงโลหะขูดกันได้ดังออกมา
…ไม่ มันไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้น
แต่นับตั้งแต่ที่ศัตรูตัวนี้ปรากฏตัวขึ้น ซอลจีฮูก็รู้สึกแปลกๆ ภายนอกแล้วยูนิคอนมีรูปลักษณ์ที่สูงส่งงดงาม แต่ว่ามันกลับให้ความรู้สึกมืดมนน่าอึดอัด
มันเป็นความรู้สึกน่าอึดอัด และน่าสะอิดสะเอือนจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
“อย่างที่คาดเอาไว้จริงๆด้วย ราชินีช่างมองการณ์ไกลจริงๆ”
ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น จากเสียงพึมพำนั่นมันเหมือนกับว่าราชินีปรสิตรู้ว่าพวกเขากำลังเข้ามาในอาณาจักรภูติ
ถ้าแบบนี้แสดงว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ทำให้พวกเขานึกถึง ‘ยูนิค่อน’ กำลังรอพวกเขาอยู่
“เยี่ยม เยี่ยมมาก ฉันกำลังเบื่อที่ติดอยู่ที่นี่กับเจ้าพวกภูติอ่อนแออยู่เลย นี่มันสมบูรณ์แบบ”
ยูนิคอนได้พยักหัว และก้มหน้าลงมองทีมพวกเขาจากบนท้องฟ้าด้วยใบหน้าหยิ่งยโส
“โฮ่ ผู้บริหารสองคน แล้วก็… หืม?”
แม้กระทั่งตอนมันเห็นแบคแฮจูมันก็ยังคงมีสายตาไม่แยแส จนกระทั่งเมื่อมันเห็นซอยูฮุยดวงตามันถึงได้เป็นประกาย
เมื่อมองสำรวจทีมพวกเขาเสร็จแล้ว มันก็แสดงใบหน้าภาคภูมิใจออกมา
“คิคิคิ ร่างกายต้องสาปนี่กำลังตื่นเต้นขึ้นแล้วสิ!”
ซอลจีฮูกระทั่งสงสัยตัวเอง
“ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ผู้หญิงมันก็เหมือนกันหมด ทำไมเผ่าพันธุ์นี่ถึงได้สนแต่สาวบริสุทธิ์กันนะ?”
มันพึมพำกับตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้ว ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงได้พูดถึงร่างกายตัวเองเป็นคนนอก และเรียกว่า ‘ร่างกายต้องสาป’
แต่ยูนิคอร์นก็ได้แลบลิ้นออกมาพร้อมแสดงสายตาบ้ากามโดยไม่สนใจความคิดของซอลจีฮูเลย สมาชิกหญิงของทีมอย่างซอยูฮุยกับฟีโซราตัวสั่นขึ้นแทบจะพร้อมกัน
แค่ดวงตาของม้าที่ยกขึ้นยิ้มเป็นรูปจันทร์เสี้ยวก็แปลกพอแล้ว แต่ยิ่งเมื่อมันกวาดสายตาลงมามองสำรวจพวกเธอ ความรู้สึกน่าขนลุกก็ปรากฏขึ้นแทบจะทันที
“อี้!”
ฟีโซราที่ทนความรู้สึกนี้ไม่ไหวได้ลูบแขนและบิดตัวไปมา ยูนิคอนที่เห็นแบบนี้ก็ส่งเสียงออกมาราวกับมันคิดว่าน่ารัก
“ช่างเป็นหญิงสาวสุขภาพดี ยอดเยี่ยม! ข้าจะดูแลใส่ใจเธอเป็นอย่างดีเลย”
“แก”
ฟีโซราคำรามออกมา
“แกกำลังพูดอะไรอยู่ไอ้ม้าน่าขยะแขยง”
“โอ้ ดุซะด้วย ข้าชอบ ไม่ต้องห่วงนะ ถึงข้าจะดูเหมือนฮอรัส แต่ลูกน้อยของข้ามันใหญ่และยาว”
ยูนิคอร์นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“คอยดูสิ พอเธอได้ลองแล้ว เธอจะติดใจมันจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ!”
“อะไรนะ?”
ฟิโซราเบิกต้ากว้างขึ้นมา แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ระบายความโกรธ ซอลจีฮูก็เดินหน้าขึ้นมา
“นายคือผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ของปรสิต ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งงั้นเหรอ?”
“หืม?”
เมื่อมีแขกไม่รับเชิญเข้ามาแทรก ยูนิคอร์นที่กำลังอารมณ์ดีขมวดคิ้วขึ้น ยังไงก็ตามหลังจากมันมองสำรวจซอลจีฮูแล้วมันก็กระพริบตาออกมาอย่างตื่นเต้น
“โฮ่ เข้าใจแล้ว เจ้าก็คือคนที่ราชินีพูดถึง…”
“นายคือคนที่อันเชิญเงาราตรีมางั้นเหรอ?”
ยูนิคอร์นไม่ได้ตอบกลับ ถึงแม้ว่ามันจะแสดงให้เห็นว่าสนใจซอลจีฮูครู่หนึ่ง แต่ก็แค่นั้น
“เอาล่ะ… หยุดคุยกันเท่านี้ดีกว่า ตอนนี้ถึงเรื่องจัดการธุระแล้วสิ”
“ธุระอะไร?”
ซอลจีฮูหรี่ตาลง เขารู้สึกว่ายูนิคอร์นตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่อง
“ยังต้องให้อธิบายอีกเหรอ?”
แต่ว่านั่นก็ไม่ได้สำคัญ
“พวกเจ้าจะต้องฝ่าฉันไป และข้าก็จะหยุดพวกเจ้า ผู้ชนะจะได้สิ่งที่ต้องการ มันก็เรื่องง่ายๆ”
ทันทีที่มันพูดจบประโยคพลังงานที่มืดสลัวรอบตัวได้กลายเป็นสว่างจ้าในทนัที จากนั้นแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวจากยูนิคอร์นก็ปรากฏขึ้นเหนือทีมของพวกเขา
“อย่ากลัว! เจ้าหมอนี่มันเป็นหัวหน้าของพวกอ่อนแอ มันจะเป็นแข็งแกร่งได้ยังไงกัน?”
ฟีโซราตะโกนเสียงสูงออกมาราวกับจะสลัดแรงกดดัน ยังไงก็ตาม…
“คิฮ่าฮ่าฮ่า!”
ยูนิคอร์นหัวเราะออกมาพร้อมส่ายหัวไปมา
“ตลก ตลกมาก”
มันได้เผยรอยยิ้มและมองฟีโซราด้วยสายตาสมเพช
“ช่างโง่เง่าจริงๆเลย ตะโกนปลุกใจหลังจากที่เอาชนะเศษสวะส่วนหนึ่งของร่างกายนี้เท่านั้น… มันก็แค่พลังงานที่หลงเหลืออยู่ที่… ข้าปล่อยออกมา!”
หลังจากจบจู่ๆเสียงของมันก็สั่นสะเทือนจนทำให้พวกเขาสะดุ้งขึ้น
ออร่าของยูนิคอร์นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในตอนนี้มันกลายเป็นออร่าน่าขนลุกที่ทำให้พวกเขาสั่นไปถึงกระดูก
อีกด้านหนึ่งซอลจีฮูก็เตรียมตัวตั้งรับผู้บัญชาการที่สี่ที่เผยพลังที่แท้จริงออกมาอย่างเป็นกังวล แต่ในใจเขาก็สงสัยเช่นกัน
‘ส่วนหนึ่งของร่างกายมัน? พลังงานที่หลงเหลืออยู่?’
เขาคิดว่าคำพูดของยูนิคอร์นมันแปลกๆ ถึงจะยากที่จะระบุให้ชัด แต่มันดูเหมือนจะต่างไปจากผู้บัญชาการที่หนึ่งอยู่หน่อย
ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้แบ่งพลังเทพที่มันดูดซับไม่ได้ให้กับเผ่าพันธุ์ตัวเอง และให้พวกนั้นเป็นลูกน้อง
แต่ยูนิคอร์นตัวนนี้… ควรจะพูดยังไงดีล่ะ แทนที่จะสร้างกองทัพหรือลูกน้องคอยรับใช้ มันกลับทำเหมือนเงาราตรีพวกนั้นเป็นเศษสวะ ไม่สิ เหมือนกับอาหารเหลือที่ถูกโยนทิ้งไปมากกว่า
“คิฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าแค่นี้ทำให้พวกนายหวาดกลัวข้าก็คงผิดหวังมาก ในเมื่อพวกเจ้าปากกล้ากันแบบนี้ หลังว่าจะมีความสามารถให้เหมือนกับปากนะ”
เสียงนี้ได้ดังก้องอยู่ในหัวซอลจีฮูซ้ำๆ
ไม่ใช่แค่ออร่าที่ต่างกันเท่านั้น แต่ยูนิคอร์นก็ยังขนาดใหญ่กว่าในตอนแรกที่ปรากฏตัวมากอีกด้วย
‘เดี๋ยวก่อน’
เขาไม่ได้คิดไปเอง ในตอนแรกที่ปรากฏตัวยูนิคอร์นกำลังยืนสองขาอยู่ แต่ในมันกำลังยืนบนพื้นสี่ขาด้วยร่างขนาดใหญ่ของมัน
“พวกเจ้าอาจจะไม่รู้…”
เสียงกีบเท้าได้ดังก้องขึ้น
‘ซวยแล้ว’
สมองของซอลจีฮูได้ส่งสัญญาณตัวออกมาอย่างรุนแรงจนทำให้เขาเผลอจับหอกแน่น
“ข้ากับร่างกายสัตว์ในตำนานนี้ ข้าคือ…”
ต่อจากนั้นยูนิคอร์นก็แค่นเสียงพร้อมๆกับม่านตาสีดำสนิทของมันเปล่งแสงสีน้ำเงิน
“วิญญาณภูติที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติวิญญาณ!”
หลังจากนั้นยูนิคอร์นได้เงยหน้าขึ้นราวกับถูกคนขี่กระชากบังเหียนขึ้น
“นับจากนี้น…”
ในเวลาเดียวกันมันก็อ้าปากตะโกนเสียงดังสนั่นออกมา
“ข้าจะแสดงพลังของภูติปีศาจให้ดูเอง!”