ในตอนนี้ ณ ห้องโถงของบ้านผู้ปกครองเมือง เจ้าหน้าที่จำนวนมากกำลังรวมตัวกันและพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“เซี่ยเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะสามารถเอาชนะบาหลีหั่นและแม้กระทั่งผู้ปกครองเมืองบาหลีหู่เช่นกัน ยอดฝีมือเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ทำไมถึงไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรือว่าเขาจะมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์?”

เจ้าหน้าที่บางคนที่คาดเดาออกมา

สถานที่ที่เรียกว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเมืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ เป็นเหมือนดั่งเมืองหลวง สถานที่แห่งนั้นมียอดฝีมือที่มากมายดั่งก้อนเมฆบนฟากฟ้า แม้แต่ยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิก็ดำรงอยู่ที่นั่นเช่นกัน

ซึ่งการที่มนุษย์ในทวีปแห่งนี้สามารถที่จะพักหายใจภายใต้การกดขี่ของเผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนได้นั้น ก็เป็นเพราะการดำรงอยู่ของเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้เช่นกัน

“อาจจะไม่ได้มาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์”

บาหลีหั่นส่ายหัว “ข้าเคยไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ถึงแม้ว่าจะดูกว้างใหญ่อย่างมาก ทว่าแวดวงสังคมภายในนั้นแคบพอสมควร หากมีข้อมูลสำคัญใดๆแม้แต่น้อยก็จะสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งข้านั้นก็ไม่เคยได้ยินชื่อเซี่ยมาก่อน”

เขาคิดว่าเซี่ยนั้นจะไม่ใช่ผู้คนของเมืองศักดิ์สิทธิ์

“หากเป็นเช่นนั้น จะบอกว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นเพียงแค่คนพื้นบ้านหรือ? พูดได้เพียงแค่ว่าเจ้าเด็กพื้นบ้านนี้เป็นเหมือนกับเสือซ่อนเล็บจริงๆ ไม่เคยปรากฏตัวที่ใดมาก่อน”

“ใช่ไหม? เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมียอดฝีมือจำนวนมาก การที่จะมีราชันถือกำเนิดขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนามนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

ได้ยินคำเหล่านี้ เจ้าหน้าที่จำนวนมากก็พยักหน้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดที่ชัดเจนของเซี่ยปิง ทว่าเซี่ยปิงนั้นก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไร

“ทว่าเซี่ยก็ดูเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยมาก การที่สามารถเลื่อนขั้นมาในระดับราชันได้ในอายุเท่านี้และสามารถเอาชนะท่านผู้ปกครองเมืองได้นั้น ดูเหมือนว่าโอกาสที่เขาจะพัฒนาเป็นยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิในอนาคตนั้นก็มีความเป็นไปได้สูง อาจจะกลายเป็นยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิคนที่สี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

เจ้าหน้าที่บางคนที่พูดออกมาอย่างกะทันหัน

“ระดับจักรพรรดิ?! ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว ข้าก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน”

“ดูจากรูปลักษณ์ของเซี่ย คาดการณ์ได้ว่าคงจะมีอายุไม่ถึงสามสิบปี การที่สามารถเลื่อนขั้นมาในระดับราชันได้ในอายุที่น้อยเช่นนี้นั้น การที่จะกลายเป็นจักรพรรดิก็มีความหวังอย่างมาก อย่างน้อยหากเทียบกับคนอื่นๆ เขาก็มีโอกาสมากที่สุด”

“การที่เผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนสามารถที่จะกดขี่เผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราได้นั้น ก็เป็นเพราะการที่พวกเขาพึ่งพายอดฝีมือในระดับจักรพรรดิหกคน ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราที่มีเพียงแค่สามคนนั้น ไม่มีทางที่จะเทียบด้วยกันได้”

“ใช่ หากเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเรามียอดฝีมือในระดับจักรพรรดิเป็นจำนวนมากล่ะก็ จากนั้นก็จะสามารถลดความกดดันลงและบางทีก็อาจจะสามารถต่อกรกับเผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนได้อย่างสูสี จะไม่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไป”

ผู้คนต่างก็มีความหวังกันอย่างมาก ในทวีปเทพเจ้ามังกรนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ถือว่าอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนแม้แต่น้อย

เหตุผลที่เผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนยังไม่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น เป็นเพราะว่าตัวตนของยอดฝีมือมนุษย์ในระดับจักรพรรดิสามคน นอกจากนี้ก็ยังมีการป้องกันของเมืองศักดิ์สิทธิ์อีก ส่งผลให้เผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนไม่สามารถที่จะฆ่าล้างพวกเขาได้

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังต้องตกอยู่ในสภาวะที่ถูกกดขี่ข่มเหง สถานการณ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นน่าอนาถอย่างมาก เมื่อใดที่เผชิญหน้ากับดราโกเนี่ยน หากไม่ถูกจับตัวไปเป็นทาส ก็จะต้องถูกสังหารไป

ยิ่งไปกว่านั้นยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนนั้นก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หากมีระดับจักรพรรดิถือกำเนิดขึ้นมาอีกคนหนึ่งหรือว่าถือกำเนิดขึ้นมาถึงสองคนนั้น จากนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะไม่มีโอกาสต่อต้านจริงๆ จะต้องถูกเผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนฆ่าล้างอย่างแน่นอน

“หากยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนตายไปสัก2-3คนก็คงจะดี หากเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวเผ่าพันธุ์ดราโกเนี่ยนอีก”

บางคนที่พูดออกมาด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม

“อย่าเพ้อฝันไป ต่อให้พวกเราทั้งหมดจะตายไป ดราโกเนี่ยนระดับจักรพรรดิก็คงจะยังมีชีวิตอยู่ต่อ” บาหลีหั่นพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

คนอื่นๆก็รู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน เมื่อพัฒนาขึ้นไปในระดับจักรพรรดินั้น อายุขัยจะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก อย่างน้อยก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้นานถึงสามพันปี ยิ่งไปกว่านั้นหากบ่มเพาะทักษะที่ช่วยในการยืดชีวิตออกไปอีกนั้น ก็อาจจะใช้ชีวิตอยู่ได้นานถึง5พันปีด้วยซ้ำ

ภายในระยะเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปมากแค่ไหน การที่ต้องการจะรอให้ยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิตายไปก่อนนั้น ช่างเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ข้าก็แค่คิด ก็แค่คิดเท่านั้นเอง”

คนๆนั้นยิ้มออกมาอย่างบิดเบี้ยว

………….

ในช่วงเวลานี้ ณ ส่วนลึกของชีพจรมังกร

เซี่ยปิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหิน ไหลเวียนวิชาหยางบริสุทธิ์ออกมาและดูดกลืนพลังฉีของชีพจรมังกรแห่งนี้

หล่ง หล่ง หล่ง~

ทันใดนั้นออร่าของชีพจรมังกรที่ไร้ขอบเขตก็ได้หลั่งไหลเข้ามาในกล้ามเนื้อและกระดูกของเขา ทำให้พลังเวทมนตร์ในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ ผสมผสานเข้ากับเซลล์แต่เซลล์ในร่างกาย

“สบายตัวจริงๆ!”

เซี่ยปิงอดใจที่จะอุทานออกมาไม่ได้ เพราะว่าพลังฉีธรรมชาติของชีพจรมังกรแห่งนี้อุดมสมบูรณ์จริงๆ เทียบได้กับน้ำวิญญาณ อีกทั้งยังมีออร่าของมังกรเช่นกัน

ออร่านี้มีความพิเศษอย่างมาก มีผลประโยชน์อย่างมหาศาลต่อร่างกายของมนุษย์ สามารถที่จะกระตุ้นเซลล์ภายในร่างกาย เพิ่มพลังเวทมนตร์ อีกทั้งพลังอำนาจของจิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

การที่บ่มเพาะในสถานที่แห่งนี้นั้น มันจะเพิ่มประสิทธิภาพของการพัฒนาได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสถานที่อื่นๆถึงหลายเท่า

“ช่างลึกลับจริงๆ”

จิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเซี่ยปิงได้แผ่ออกไปที่ส่วนลึกของชีพจรมังกรและได้ผสมผสานเข้ากับชีพจรมังกรแห่งนี้ เหมือนกับจะรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ รู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงและความล้ำลึกของโลก

เขารู้สึกว่าชีพจรมังกรแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของชีพจรวิญญาณนับไม่ถ้วน ชีพจรพลังฉีเหล่านี้กระจายออกไปในพื้นที่ระยะนับหมื่นกิโลเมตร ขยายออกไปไกล เป็นรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนผืนนี้

เมื่อจิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ไหลไปตามการไหลเวียนของชีพจรมังกร เขาก็สัมผัสได้ถึงเมืองร้อยลี้ที่อยู่ด้านบนชีพจรมังกรแห่งนี้เช่นกัน เหมือนกับจะสัมผัสได้ถึงสิ่งต่างๆ ลมหายใจของสิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมือง สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพวกเขา สัมผัสได้ถึงจังหวะเต้นของหัวใจในแต่ละครั้ง นี่เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

“นี่คือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลกหรือ นี่คือค่ายกลของโลกหรือ?!”

เซี่ยปิงรู้สึกได้ถึงปริศนาบางอย่างในช่วงเวลานี้ เหมือนกับว่าภายในพลังอำนาจของโลกนั้นจะมีกฎที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างอยู่ โดยเฉพาะชีพจรมังกรแห่งนี้ มีชีพจรพลังฉีนับไม่ถ้วนที่เชื่อมโยงกัน ก่อตัวกลายเป็นเหมือนกับค่ายกลของสวรรค์และโลกก็ว่าได้

นี่คือรากฐานของค่ายกล ชีพจรพลังฉีนับไม่ถ้วนได้รวมตัวกันและก่อตัวกลายเป็นชีพจรมังกรแห่งนี้ หากสามารถที่จะควบคุมได้ก็จะเข้าใจพลังอำนาจของโลกและจะสามารถใช้พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้อย่างอิสระ

ทว่านี่คือพลังอำนาจในระดับหล่อหลอมสมบัติ!

ในช่วงเวลานี้ เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้สัมผัสถึงปริศนาของระดับหล่อหลอมสมบัติ นี่คือระดับที่เป็นก้าวแรกของการเริ่มทำการสำรวจความลึกลับของโลก

ด้วยความเล็กของตนเอง การที่จะสำรวจจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลได้นั้น จะต้องดื่มดำกับจังหวะของโลกด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

หลั่ว หลั่ว หลั่ว~

เซี่ยปิงไม่ได้บ่มเพาะนานเท่าไหร่นัก ทว่าแน่นอนว่าจิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ได้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 10กิโลเมตร 20กิโลเมตร 100กิโลเมตร 1,000กิโลเมตร 2,000กิโลเมตรและในที่สุดก็มาถึง4,000กิโลเมตร

เหมือนกับว่าในระยะการครอบคลุมนี้ของจิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

“ถึงเวลาแล้ว”

เซี่ยปิงมีสายตาเป็นประกาย เขาไหลเวียนวิชาหยางบริสุทธิ์ออกมา รูขุมขนทั้งหมดในร่างกายกำลังกลืนและคายออก เป็นเหมือนกับควันที่ออกมาจากปล่องไฟก็ว่าได้ พลังฉีธรรมชาติที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นแม่น้ำสายยาวที่ถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างกายของเขา

อีกทั้งพลังเวทมนตร์ของเขาก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมากเช่นกัน

ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหน พลังเวทมนตร์ภายในพื้นที่ราชวังสีม่วงของเขาก็มาถึงสภาวะขีดจำกัด

เขารู้สึกว่าได้ตนเองได้มาถึงขีดจำกัดของระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง จะต้องเริ่มทำการก้าวผ่านขีดจำกัดและเลื่อนขั้นขึ้นไป

นี่ไม่ใช่การเลื่อนขั้นแบบฝืนบังคับ ทว่าเป็นการประสบความสำเร็จตามเงื่อนไขในระดับนี้ เป็นการเลื่อนขั้นตามธรรมชาติ

ตึบ!

ทันใดนั้นพลังเวทมนตร์ที่ไร้ขอบเขตก็เกือบที่จะท่วมท้น ทำลายบาเรียข้างใน ขยายพื้นที่ของราชวังสีม่วงออกไป ภายในไม่กี่ลมหายใจ พื้นที่ก็ขยายออกไปถึงหนึ่งเท่าตัว

นี่ทำให้พื้นที่ของราชวังสีม่วงรองรับพลังเวทมนตร์ได้มากยิ่งขึ้น กว้างขวางขึ้น เป็นเหมือนกับท้องทะเลที่ปั่นป่วนก็ว่าได้ เหมือนกับว่ามีการเปลี่ยนแปลงของทั้งสี่ฤดู กาลเวลาหมุนเวียนไป

พลังเวทมนตร์และจิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเขารวมถึงพลังอำนาจของร่างกายได้เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก มาถึงจุดที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

อย่างไม่ต้องสงสัย ในที่สุดเขาก็ได้ก้าวเข้ามาในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง!