ตอนที่ 11 กลัวจนฉี่ราด
“นี่มัน…” เนี่ยเถิงมึนงงจนวิงเวียนศีรษะ
เหวินหลิงเสวี่ยและสตรีข้างกายเองก็แสดงอาการตื่นตะลึงเช่นกัน
เมื่อครั้งอดีต ซูอี้ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ ทว่าเพราะเกิดอุบัติเหตุขึ้น จึงเป็นผลให้สูญเสียการบ่มเพาะทั้งหมดไป
เรื่องราวนี้เป็นที่ทราบกันดีทั่วทั้งเมืองกว่างหลิง
แต่แล้ว ณ ตอนนี้ ซูอี้กลับสามารถสยบหยางเชิ่งได้อย่างราบคาบด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!!
“หยางเชิ่ง เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!?”
ขณะเดียวกันนี้เอง หวงเฉียนจวินเผยสีหน้าปั้นยากออกมา
หยางเชิ่งคือหนึ่งในผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นตัวตนโหดเหี้ยมขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสอง แต่ทว่าขณะนี้กลับบาดเจ็บหนักเพราะซูอี้ เรื่องนี้แทบทำเอาเขาไม่อาจนึกเชื่อได้ลง!
“นายน้อย… ข้า… อั่ก!”
ที่มุมหนึ่งของกำแพง หยางเชิ่งเผยสีหน้าเจ็บปวด เขาคิดจะลุกขึ้นยืน แต่กลับกระอักเลือดเต็มปาก ศีรษะโอนเอน ก่อนจะสิ้นสติไปแทน
หวงเฉียนจวินเผยสีหน้าแปรเปลี่ยนรุนแรง ในใจกราดเกรี้ยว เขาโบกมือเร็วพร้อมตะโกนลั่น
“พวกเจ้ามัวทำบ้าอะไร จัดการ สังหารมันแก่ข้า!!”
ผู้คุ้มกันซึ่งยืนรายล้อมต่างหันมองหน้ากันเอง เท้าของพวกเขาก้าวออกด้านหน้า พร้อมลงมือโจมตี
ผู้คุ้มกันแต่ละคนต่างเป็นผู้บ่มเพาะด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งยังมีนิสัยโหดเหี้ยม บ่อยครั้งที่พวกเขาไม่ปล่อยให้ศัตรูของตนเองรอดชีวิต
ขณะพวกเขาบุกทะยาน สีหน้าของพวกเขาเปรียบดั่งจระเข้ขย้ำเหยื่อ!
ท่วงท่าอันดุดันซึ่งเผยออก เป็นผลให้เหวินหลิงเสวี่ย เนี่ยเถิง และผู้อื่นหายใจไม่ออก มือเท้าเย็นเยียบ ห้วงความคิดกลายเป็นขาวโพลนราวกระดาษ
แม้พวกเขาเหล่านี้จะบ่มเพาะตั้งแต่วัยเยาว์ ทว่าอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่มสาว นับตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยต้องหาอาหารหรือเสื้อผ้าสวมใส่เอง จึงหาได้มีประสบการณ์ต่อสู้แลกเป็นแลกตายไม่
เช่นนั้นมีหรือจะเคยพบเจอกับเรื่องราวเช่นตอนนี้?
จิตใจและความกล้าของพวกเขาขณะนี้ เรียกได้ว่าสั่นคลอนยากจะตั้งสติกลับคืนมาได้!
“หากภายหน้ามีโอกาส คงต้องเคี่ยวกรำหลิงเสวี่ยให้ดี การบ่มเพาะมิใช่เพียงการฝึกฝนทางสมาธิ แต่ยังรวมถึงจิตใจและความกล้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้” ซูอี้ตระหนักทราบเรื่องนี้ดีจากการสังเกตน้องภรรยาของตน
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นตอนนี้ เขาไม่คิดเร่งรีบ แต่กลับเฉยชาเหมือนดังเคย
จนกระทั่งศัตรูใกล้ถึงตัว ซูอี้จึงค่อยขยับเคลื่อนเท้าไปด้านหน้า พร้อมประทับฝ่ามือออก
ตู้ม!
การประทับฝ่ามือที่ราวกับเล็กน้อย หากแต่เหล่าผู้คุ้มกันที่บุกเข้ามาซึ่ง ๆ หน้ากลับรู้สึกราวปะทะกับขุนเขา ทั้งตัวคนกระเด็นร่างลอยลิ่ว กระทั่งปะทะกับเก้าอี้ไม้แพรทางด้านหลัง
ผู้อื่นไร้ซึ่งเวลาให้ตอบสนอง ซูอี้พลันเคลื่อนเท้า ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำ หนึ่งร่างผู้คุ้มกันจะกระเด็นลอยไกล
บ้างก็ปะทะกับกำแพง จนกระดูกในร่างหัก
บ้างก็ปะทะกับโต๊ะอาหาร ร่างกายถูกน้ำซุปและอาหารเปรอะเปื้อน
บ้างก็ร่างกระแทกพื้นแน่นิ่ง น้ำลายฟูมปากและสลบไป…
ขณะซูอี้ก้าวเท้าครั้งที่เจ็ด ห้องส่วนตัวแห่งนี้ก็กลายเป็นยุ่งเหยิง พร้อมร่างมากมายที่นอนกองกับพื้น
สารพัดเสียงกรีดร้องดังตามมา
นับตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ การเคลื่อนไหวของเขาเรียบง่าย เพียงผลักฝ่ามือประทับ ราวกับไม่ได้ใช้เรี่ยวแรง!
“นี่มัน… นี่มัน…” เด็กสาวผู้ซึ่งยืนอยู่ ร่างกายชะงักงันแข็งค้าง
บุตรเขยผู้นี้ ที่ผู้คนทั้งหลายต่างก็หมางเมินและเหยียดหยามตั้งแต่ครั้งเริ่มงานเลี้ยง แท้จริงแข็งแกร่งถึงขนาดจัดการศัตรูเป็นกลุ่มด้วยตนเอง?
มันเป็นเรื่องราวเกินคาดคิด ทั้งยังชวนตื่นตะลึง
เนี่ยเถิงร่างกายแข็งค้าง เลือดราวไม่สูบฉีด ในหัวกำลังครุ่นคิดถึงย่างก้าวของซูอี้เมื่อครู่ ในใจถึงกับสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึง ซูอี้เดินเข้าหาหวงเฉียนจวิน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย พร้อมแค่นเสียงปรากฏจากมุมปากและเอ่ยคำ
“เจ้ากล่าวว่าจะสังหารข้า?”
ฝูงชนกลายเป็นเงียบเสียง!
ใบหน้าหวงเฉียนจวินเขียวคล้ำและซีดขาวแปรเปลี่ยนไปมา นัยน์ตาเปี่ยมด้วยร่องรอยความหวาดกลัวอันชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นตะลึงเช่นกัน ทั้งยังไม่เคยนึกคิด ว่าผู้คุ้มกันของตนที่มาเป็นหมู่คณะ จะไม่อาจจัดการซูอี้เพียงคนเดียวได้
เรื่องราวนี้มันแตกต่างจากที่คาดคิดเอาไว้ นี่ไม่ใช่บุตรเขยไร้ค่าซูอี้ที่เขารู้จัก!
ขณะนี้ ซูอี้ที่อยู่เบื้องหน้าก้าวเท้า สายตากวาดมองผู้อื่นในงานเลี้ยงด้วยสายตาเฉยชา ทำเอาใจของหวงเฉียนจวินปรากฏความเย็นเยียบหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด
ทว่าอย่างไรแล้ว เขาก็คือผู้อหังการตลอดช่วงหลายปีมานี้ ดังนั้นถ้อยคำเจือความกล้าจึงกล่าวออกมา “ซูอี้ เจ้ากล้าดีต่อสู้กับข้างั้นหรือ? จงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นเพียงบุตรเขยอันไร้ค่า ขณะที่ข้าเป็นทายาทสายตรงของตระกูลหวง!”
กล่าวถึงเรื่องนี้ ความหาญกล้าในตัวเขาพลันกลับมา น้ำเสียงเริ่มเย็นเยือกมากขึ้น “หากเจ้ากล้า เจ้าก็ลองดู! แต่ภายหน้า รอคอยเตรียมรับการล้างแค้นจากพวกเราตระกูลหวงได้เลย!”
หวงเฉียนจวินทำตัวอหังการที่เมืองกว่างหลิงมาได้ตลอดหลายปี นั่นเพราะมีตระกูลหวงอยู่เบื้องหลัง บิดาของเขาเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหวง
มันเป็นเหตุให้เขากล้าอวดดี
แน่นอนว่า หลังได้ยินถ้อยคำหวงเฉียนจวิน เหวินหลิงเสวี่ยและเนี่ยเถิงพลันใจดิ่งฮวบ ทั้งสองต่างตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา รวมถึงผลที่จะตามมา
“ขู่ข้า?” ซูอี้ยกยิ้ม
มือของเขายื่นออกในฉับพลัน คว้าเข้าที่ลำคอหวงเฉียนจวิน ยกร่างอีกฝ่ายขึ้นพร้อมเอ่ยคำเสียงเบาแต่เย็นเยือก
“หากเจ้ามีความกล้า ลองกล่าวเพิ่มอีกสักคำ แล้วคอยดูว่าข้าจะกล้าสังหารหรือไม่!”
หวงเฉียนจวินถูกบีบคอจนเจ็บ ใบหน้าขณะนี้แดงก่ำ ฝ่ามือและนิ้วของซูอี้ยังคงกดทับ เขารู้สึกได้ชัดว่าสมองเริ่มเลือนราง ดวงตาเริ่มดับมืด ราวกับใกล้เผชิญถึงความตาย
สัญชาตญาณเอาตัวรอดพลุ่งพล่าน เขาพยายามดิ้นรน ทว่าไร้ผล
ท่ามกลางสายตาผู้คน หวงเฉียนจวินราวกับตั๊กแตนซึ่งถูกจับตัว ชะตาจะอยู่หรือตายไม่อาจควบคุมด้วยตัวเอง!
หรือว่า ซูอี้จะคิดสังหารจริง?
ความคิดนี้ปรากฏในใจเหวินหลิงเสวี่ย เนี่ยเถิง รวมถึงเด็กสาวผู้อื่น ในใจพวกนางแตกตื่น แต่ละคนต่างเผยสีหน้าปั้นยากกันออกมา
“เหตุใดจึงไม่กล่าวคำอีกเล่า?” ซูอี้เผยยิ้มและเอ่ยคำถาม
สีหน้าของหวงเฉียนจวินหวาดกลัวบิดเบี้ยว ร่างพยายามดิ้นรนรุนแรง ฟันกัดเอาไว้แน่น เขาไม่กล้าเอ่ยคำ ดวงตาขณะนี้ปรากฏเพียงแต่ความหวาดกลัวอันลึกล้ำเข้าครอบงำ
ตั้งแต่เติบโตจนถึงตอนนี้ นี่คือครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงความตายอันใกล้ชิดเพียงเอื้อมมือ มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งร่างกำลังร้องบอกถึงคราวดับสิ้น
ความคิดอันแรงกล้าบอกต่อเขา ตราบเท่าที่เอ่ยสักคำ ซูอี้จะกล้าหักคออย่างแน่นอน!
ซูอี้พ่นลมหายใจพลางคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะโยนร่างในมือทิ้งไป
ตึง!
หวงเฉียนจวินกลิ้งไปกับพื้น พร้อมปัสสาวะที่เปรอะเปื้อนเปียกชุ่มเป้ากางเกง
เมื่อพบเห็นเรื่องราวตรงหน้า เหวินหลิงเสวี่ย เนี่ยเถิง รวมถึงผู้อื่นต่างตื่นตะลึงและคิดหัวเราะ ผู้ใดกันจะคาดคิด หวงเฉียนจวินที่อหังการอวดดีและเหี้ยมโหด จะหวาดกลัวถึงขนาดฉี่ราด?
“มิตรสหาย โปรดยั้งมือด้วย!” ทันใดนี้เองที่ปรากฏเสียงดังจากภายนอกห้องส่วนตัว
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองเร่งรีบเข้ามา พร้อมประสานมือเคารพให้ซูอี้ “คุณชาย ข้าเยวี่ยเทียนเหอเป็นเถ้าแก่ภัตตาคารรวมเซียนแห่งนี้ ขอมิตรสหายเห็นแก่หน้าอันบางเฉียบของข้า ปล่อยนกปล่อยม้าคืนแผ่นดินแล้ว”
เยวี่ยเทียนเหอ!
เหวินหลิงเสวี่ย เนี่ยเถิง และผู้อื่นต่างหดกาย
พวกเขาล้วนเคยได้ยินนามเยวี่ยเทียนเหอ เถ้าแก่ภัตตาคารรวมเซียน ผู้มีพื้นเพอันลึกลับ อีกทั้งแขกเหรื่อทั้งหลายที่มาเยือนที่แห่งนี้ ต่างก็เป็นถึงคนใหญ่คนโตของเมืองกว่างหลิงทั้งสิ้น
แต่ที่ทำพวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่า คือการที่ซูอี้หาได้เห็นแก่หน้าเยวี่ยเทียนเหอไม่!
สายตาซูอี้เย็นชา คำกล่าวออก “เจ้าไม่เสนอหน้าออกมายามคนเหล่านี้สร้างปัญหาให้ข้า ทว่าตอนนี้ที่ชีวิตของพวกมันแขวนบนเส้นด้าย เจ้ากลับออกมาบอกกล่าวให้ข้ายั้งมือ เจ้าคิดว่าหน้าตนเองใหญ่มากพอ หรือเห็นว่าตัวข้าแซ่ซู…ว่าง่ายงั้นหรือ?”
ถ้อยคำเหล่านี้ดูดาษดื่น แต่ท่าทีกลับแฝงความแข็งกร้าวอันใหญ่ยิ่ง
เยวี่ยเทียนเหอชะงักงันไปครู่ เขาไม่คาดคิดว่าบุตรเขยตระกูลเหวินจะถึงขนาดไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้
สายตาเขากวาดมองยังหวงเฉียนจวิน รวมถึงผู้คนที่นอนทอดกายกับพื้น ในใจยังคงนึกทึ่ง ก่อนถ้อยคำถัดมาจะกล่าวออกอย่างจริงจัง “ถูกแล้วที่คุณชายซูกล่าวโทษข้า เป็นความผิดข้าที่ออกมาช้าเกินไป หากไม่แล้วเรื่องราวเช่นนี้คงมิเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้ข้าวิงวอนขอคุณชายซูมีน้ำใจสักเล็กน้อย แล้วภายหน้าหากมีโอกาสข้าสัญญาว่าจะชดใช้ท่านเรื่องนี้แน่นอน”
สุดท้ายแล้วเขายังกล่าวคำขออภัย
เหวินหลิงเสวี่ย รวมถึงเนี่ยเถิงและผู้อื่นต่างตะลึง
คนเช่นเยวี่ยเทียนเหอ หากอยู่ในเมืองกว่างหลิง เขาไม่มีความจำเป็นใดต้องลดตัวให้กับผู้อื่นยกเว้นเจ้าเมือง!
กระนั้นสถานการณ์ตรงหน้า กลับทำพวกเขาเกิดสับสนขึ้นมา
ซูอี้ส่ายศีรษะและกล่าวตอบ “ขออภัยนั้นไม่พอ และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับเจ้า แต่หากเจ้าคิดจะเอาตัวข้องเกี่ยวด้วยจริง เช่นนั้นข้าคงต้องขอเตือนไว้ว่าระวังจะถูกไฟลามไปหาได้!”
ดวงตาเยวี่ยเทียนเหอพลันหดลงราวกับเขาเพิ่งได้รู้จักซูอี้ผู้นี้ อีกฝ่ายตรงหน้าคือซูอี้จริงหรือ? ข่าวลือเรื่องบุตรเขยอันน่าขันของตระกูลเหวิน ก็คือชายคนนี้งั้นหรือ!!
ข่าวลือที่ว่าสมควรผิดพลาดแล้ว!
เยวี่ยเทียนเหอเคยผ่านคลื่นลมมาก็ไม่น้อย มันทำให้เขาตัดสินใจได้ในทันที
ขณะนี้เอง ซูอี้หันมองไปทางหวงเฉียนจวินและกล่าวคำออกมา “ตัวข้าซูอี้กระทำการทุกอย่างชัดแจ้ง หลังจากนี้เจ้าจงกลับไปคิดให้ดี ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ล้างแค้น แต่เมื่อใดที่เจ้าตัดสินใจลงมือ จงนึกถึงผลที่จะตามมาด้วย ชั่งน้ำหนักตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเอง!”
ถัดจากนั้น เขาจึงเผยยิ้มพร้อมหันไปโบกมือให้เหวินหลิงเสวี่ย “หลิงเสวี่ย เราไปกันได้แล้ว”
หลังประสบเรื่องราวชวนตื่นตะลึงเมื่อครู่ ห้วงความคิดของเหวินหลิงเสวี่ยแม้อื้ออึง ทว่าก็เร่งรีบลุกขึ้นตามซูอี้ไป
“พวกเจ้ายังคิดอยู่ที่นี่กันอีกหรืออย่างไร?” ซูอี้หันมองทางเนี่ยเถิงและผู้อื่น
คนหนุ่มสาวเหล่านี้ที่เดิมตื่นตะลึง ต่างหันมองหน้ากันเองอย่างสับสน มีหรือพวกเขาจะกล้าอยู่ต่อ?
พริบตาจึงตอบสนอง และกลับไปพร้อมซูอี้
นับตั้งแต่โผล่มาจนจบเรื่องราว เยวี่ยเทียนเหอไม่หยุดยั้งซูอี้แม้แต่ครึ่งคำ
จนกระทั่งซูอี้และกลุ่มคนหายวับไปแล้ว เขาค่อยถอนหายใจลากยาว “สมแล้วที่เป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ ผู้คนของเมืองกว่างหลิงต่างปรามาสเขาเกินไปแล้ว…”
“ลุงเยวี่ย! ท่านเป็นสหายเก่าแก่กับบิดาข้าแท้ ๆ ตัวข้าถูกรังแกเช่นนี้เหตุใดจึงไม่จัดการมันกัน!?”
หวงเฉียนจวินลุกขึ้น สีหน้ายังคงซีดเผือดและหวาดกลัว
“โง่งม!” เยวี่ยเทียนเหอสบถซึ่งหน้า คำกล่าวถัดมาออกด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ไอ้หลานชาย ข้าไม่อาจแบกรับปัญหาเช่นนี้ได้ ในความเห็นข้า เป็นตัวเจ้าที่แส่หาเรื่องราวด้วยตนเอง ดังนั้นจงไปขอให้บิดาเจ้าคลี่คลายปัญหานี้เองเสีย!”
ดังซูอี้กล่าวไปแล้ว หากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเทียบเท่าการเล่นกับอัคคีไฟ!
“ข้าไม่นึกเลย ว่าลุงเยวี่ยจะเห็นแก่ตัวและหวาดเกรงคนเช่นนั้น กระทั่งไม่กล้าสู้กับบุตรเขยตระกูลเหวิน ถือว่าเมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้กล่าวคำใดก็แล้วกัน!” หวงเฉียนจวินกราดเกรี้ยว หลังจากตัดพ้อจบจึงเดินไปยังประตู โดยไม่คิดสนใจผู้คุ้มกันของตนเอง
เยวี่ยเทียนเหอไม่คิดรั้งไว้
กระทั่งเผยท่าทีเหยียดหยามทางสีหน้า อีกฝ่ายเป็นเด็กเสียนิสัย หากไม่ใช่เพราะบิดาคอยคุ้มหัวตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ไม่ทราบว่าจนถึงป่านนี้จะตกตายไปแล้วกี่ครั้งครา!
“ตระกูลเหวินอยู่เบื้องหลังเหวินหลิงเสวี่ย เบื้องหลังเนี่ยเถิงก็เป็นผู้บัญชาการกองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง ผู้อื่นต่างก็มีกองกำลังเบื้องหลังทั้งสิ้น ข้าไม่มีทางร่วมจมปลักกับปัญหาเช่นนี้แน่!”
เยวี่ยเทียนเหอครุ่นคิด สายตาหันมองทางผู้คุ้มกันตระกูลหวงที่บาดเจ็บหนักเพราะฝีมือซูอี้ ในใจยิ่งสงสัย
ตามข่าวลือ ไม่ใช่ว่าซูอี้สูญเสียการบ่มเพาะไปแล้วหรือไร?