เดิมทีหลัวเหว่ยและหยางอวิ๋นชิงนั้นเป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว เมื่อหัวค่ำหยางอวิ๋นชิงไปลาดตระเวนองครักษ์ผู้เฝ้าประตูวังจึงไม่อาจปลีกตัวมาได้ ขณะที่เขากำลังช่วยวางแผนการในค่ำคืนนี้ไม่ทันระวังจึงถูกฮั่วชิงเอ๋อร์ที่เดินหลงทางในวังมาถึงสวนดอกไม้ด้านตะวันตกได้ยินเข้า
ดูเหมือนแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด หลัวเหว่ยบังเกิดความคิดที่จะฆ่าคนปิดปากทันที
เผอิญเจอกับหลัวซืออวี่ที่กำลังตามหาเขา จึงขัดขวางเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นได้ฉวยโอกาสที่กำลังพูดคุยกับเขา หลัวซืออวี่อาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันได้ป้องกันตัว ลากเขาเข้าหากำแพงแล้วตีจนสลบ ช่วยให้เขาผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้
พูดไปแล้วหลัวซืออวี่ตัดสินใจในเวลาคับขัน นับได้ว่าจัดการได้พิถีพิถัน
อย่างน้อยได้ทำให้หลุดรอดสายตาของเจี่ยงลิ่วและคนอื่นๆ ไปได้ เมื่อทุกคนมาถึงจึงพบเพียงหลัวกั๋วกงที่สลบอยู่ ล้วนเข้าใจว่าหยางอวิ๋นชิงเห็นว่าเขาขวางทางจึงลงมือ กลับไม่ได้คิดถึงสาเหตุที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น และเช่นเดียวกับหยางอวิ๋นชิง เขาได้กลายเป็นเขี้ยวเล็บของสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนนานแล้ว
ในใจหลัวซืออวี่คิดเพียงจะปิดบังเรื่องนี้แทนบิดาของตน เรื่องงามหน้าที่จะทำให้จวนของพวกนางล่มสลายได้
ส่วนฮั่วชิงเอ๋อร์ได้รับการช่วยเหลือจากหลัวซืออวี่ จึงรับปากที่จะปิดปากอย่างสนิทเพื่อตอบแทนบุญคุณ
หลังจากทั้งสองคนได้พูดคุยนัดแนะกันดีแล้ว รีบรุดกลับไปรายงานเรื่องนี้ที่งานเลี้ยง คิดจะปิดบังเรื่องนี้ต่อไป
แต่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ลงมือแล้ว
และ…
ฮูหยินฮั่วเคราะห์ร้ายเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้
ขณะที่กำลังวิตกกังวลว่าหลัวเหว่ยยากที่จะรอดตัวไปได้ เวลานี้หลัวซืออวี่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับฮั่วชิงเอ๋อร์ได้อย่างไร
นางยอมรับกับตนเองว่าการมาของตนนั้นมีความเห็นแก่ตัวอยู่ แต่เมื่อเห็นนางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ในใจมีความรู้สึกอันหลากหลายประดังกันเข้ามายากจะทนไหว
“คุณหนูฮั่ว…” หายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง เมื่อหลัวซืออวี่กำลังคิดจะเอ่ยวาจา พลันได้ยินเสียงของขันทีดังมาจากนอกประตู “ฝ่าบาทเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ”
คนทั้งสองรู้สึกหัวใจบีบรัด ต่างมองกันไปมา รีบเร่งไปต้อนรับที่ประตู
ฮ่องเต้นั้นเดิมทีต้องไปว่าราชการที่ท้องพระโรง แต่เมื่อคืนขุนนางใหญ่บาดเจ็บไม่น้อย เขาไม่อาจไม่แสดงอันใด จึงต้องมาดูด้วยตาตนเอง และได้รับรายงานถึงการเสียชีวิตของฮูหยินฮั่ว จึงตรงมาที่นี่
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” ฮั่วชิงเอ๋อร์และหลัวซืออวี่คุกเข่าถวายบังคม
“อืม” ฮ่องเต้ประทับยืนอยู่หน้าประตูของทางเดิน ไม่คิดจะเดินเข้ามา เพียงแต่กวาดตามองด้านในจากไกลๆ
ฮั่วกังมีใจคิดคดทรยศ เขาไม่ได้ประกาศความผิดของเขาออกไปให้เป็นที่รู้กัน ซ้ำยังต้องมีพระราชโองการในการจัดงานศพเสมือนขุนนางผู้มีคุณงามความดี ในใจย่อมไม่ยินดีอย่างยิ่งยวด
ดังนั้นเมื่อได้พบบุตรสาวของฮั่วกังในเวลานี้ ทำให้เขาเพิ่มความเกลียดชังยิ่งขึ้นอีก
เขาเลื่อนสายตาไป ไม่ให้ความรู้สึกใดๆ ในดวงตาทั้งคู่ปรากฏออกมา ฝ่าบาทเพียงแต่ดำรัสด้วยเสียงต่ำ “ขุนนางราชสำนักและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อคืนต่างได้รับการดูแลอย่างดีแล้ว ผู้ที่เสียชีวิตพระราชทานยศและพิธีการงานศพเต็มพิธีการ ห้ามละเลยเรื่องพิธีศพเป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลี่รุ่ยเสียงรับคำ
“หม่อมฉันขอบพระทัยแทนมารดาเพคะ” ฮั่วชิงเอ๋อร์พยายามกดกายลงต่ำ โขกหัวให้กับฮ่องเต้อย่างนอบน้อม
ฮ่องเต้ใช้หางตาปราดมองนางครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นนาง เขาก็คิดถึงฮั่วกง ภายในใจจึงคิดวุ่นวายสับสนขึ้นมาอีกครา
“ฝ่าบาท รีบคลุมพระวรกายพ่ะย่ะค่ะ ลมในยามเช้าเช่นนี้หนาวยิ่ง” หลี่รุ่ยเสียงรีบเร่งหยิบเสื้อคลุมกันลมมาจากแขนของเย่าสุ่ยคลุมให้กับฝ่าบาท
ฮ่องเต้เอามือปิดปากกระแอมกระไอสองครั้ง ทว่าไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด หลังจากสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง คนทั้งหมดคิดว่าเขาจะปลีกตัวออกไปแล้ว ทว่ากลับได้ยินน้ำเสียงอันเย็นเยียบของเขาที่เอ่ยขึ้นกับฮั่วชิงเอ๋อร์ว่า “บิดาของเจ้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เขาถามเรื่องเหล่านี้ขึ้น ทำให้คนคาดไม่ถึงยิ่งนัก
ฮั่วชิงเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั้งใจ ยิ่งยอบกายต่ำลงอีก ตอบตามความจริงว่า “เพคะ”
“บิดามารดาของเจ้าล้วนจากไปแล้ว เหลือเจ้าเพียงคนเดียวให้น่าเวทนานัก” ฮ่องเต้ทอดถอนใจ มองสีของท้องฟ้าข้างนอก สีหน้าเต็มไปด้วยความเวทนาหลายส่วนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลังจากนั้นไม่นาน เขาดึงสายตากลับมาแล้วมองผ่านกลุ่มคนไปที่ฉู่สวินหยางพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “สวินหยาง ข้าได้ยินว่าเจ้าและแม่นางสกุลฮั่วผู้นี้มีสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่น้อย นางเพิ่งจะสูญเสียครอบครัวและที่พึ่ง รอให้งานศพของฮูหยินฮั่วแล้วเสร็จ รับนางไปอยู่กับเจ้าสักพักเป็นอย่างไร?”
ฮ่องเต้ถามถึงญาติพี่น้องของสกุลฮั่ว ฉู่สวินหยางนึกรู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้จะลงมือ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าการลงมือครั้งนี้จะเบนเข็มมาที่นาง
ขณะเดียวกันฉู่สวินหยางกำลังเล่นนิ้วหัวแม่มือของตนเองอยู่ นางทำตัวเป็นผู้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางตะลึงไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฮ่องเต้
แววตาของฮ่องเต้ทั้งขุ่นมัวและระอาใจ มองไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริง เพียงแต่เสแสร้งแกล้งทำรอคำตอบจากนาง
ฉู่สวินหยางประสานสายตากับเขา…
แม้จะมองไม่ออกถึงความรู้สึกใดๆ ในแววตาของเขา ทว่าคาดเดาได้ถึงเจ็ดถึงแปดส่วนถึงความคิดของจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี้…
เขากำลังคิดจะใช้วิธียืมมีดฆ่าคน
คิดจะหยิบยืมความเคียดแค้นชิงชังที่นางมีต่อฮั่วกัง
และจะให้หญิงสาวแซ่อื่นที่ไร้ซึ่งศัตรูใดๆ ในยามปกติเข้ามาอาศัยอยู่ในวังบูรพา นี่มันเรื่องอันใดกันเล่า?”
ความคิดของฉู่สวินหยางโลดแล่น ชั่วพริบตานางพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว…
ฉู่ฉีเฟิง
ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉู่ฉีเฟิงไม่ได้คิดเรื่องพรรค์นั้นกับฮั่วชิงเอ๋อร์ ซ้ำยังรู้ด้วยว่านางและฮั่วกังมีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน และยังมีแค้นที่สังหารบิดาของฮั่วชิงเอ๋อร์ ยามนี้ต้องการจะยัดเยียดคนให้กับนาง
นี่ฮ่องเต้คิดว่านางลงมืออย่างเหี้ยมโหดกับฮั่วกังแล้ว คิดจะบีบบังคับให้นางลงมือสังหารอีกครั้งหรือไร?
นี่เป็นการเดินหมากที่สมปรารถนากระดานหนึ่งทีเดียว
เมื่อแจ่มแจ้งดีแล้ว ฉู่สวินหยางรู้สึกปลอดโปร่ง ทว่าไม่ได้เอ่ยวาจารับปากแต่อย่างใด เพียงแต่หันไปพูดกับฉู่อี้อันว่า “บิดาต่างหากเป็นผู้ตัดสินใจ ท่านพ่อคิดเช่นใดเล่า?”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วอยู่ครึ่งหนึ่ง
คำตอบของฉู่อี้อันชัดเจนและตรงไปตรงมายิ่งกว่า เขายกมือขึ้นลูบผมของบุตรี เอ่ยขึ้นช้าๆ อย่างมีเหตุมีผลว่า “เสด็จพ่อสงสารแม่นางสกุลฮั่วนั้นเพราะมีใจเมตตา แต่ลูกได้กำหนดเรื่องออกเรือนที่แน่นอนของสวินหยางเอาไว้ในช่วงเวลานี้แล้ว นางยังมีเวลาอยู่ในจวนเพียงไม่กี่วัน ในเมื่อเสด็จพ่อเอ็นดูแม่นางสกุลฮั่วผู้นี้ ไม่สู้แต่งตั้งนางขึ้นมา ประทานเงินทองและข้ารับใช้ ก็สามารถดูแลนางได้อย่างดีเช่นกันพะยะค่ะ”
คำพูดของเขาพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
ทว่าฮ่องเต้นั้นกระจ่างแจ้งดีแก่ใจ ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาที่จะรื้อบันไดทางลงของเขา
แววตาของฮ่องเต้เยียบเย็นขึ้นมาอีกหลายส่วนในทันใด
ฉู่อี้อันเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น ยังคงมองเพียงใบหน้างดงามราวกับดอกไม้งดงามของบุตรสาวด้วยความรักและทนุถนอม ทำให้ฮ่องเต้โมโหแต่ไม่รู้จะลงกับผู้ใด
พระราชทานตำแหน่งให้กับฮั่วชิงเอ๋อร์? ให้นางมียศถาบรรดาศักดิ์?
บุตรสาวของขุนนางกบฏคนหนึ่ง นางถือดียังไงเล่า?
ฮ่องเต้กัดฟันแน่นไม่ยอมเอ่ยปาก
แผ่นหลังฮั่วชิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เอ่ยขึ้นเสียงสั่นอย่างยากจะทนไหว “ไม่มีความดีความชอบไม่ขอรับสิ่งใดเพคะ หม่อมฉันไม่กล้ารับพระกรุณาของฝ่าบาท หากฝ่าบาทเมตตาสงสาร ขอฝ่าบาทโปรดอนุญาตให้กระหม่อมส่งอัฐิบิดามารดากลับสู่บ้านเกิด เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู”
ทันทีที่ฮั่วชิงเอ๋อร์ออกจากเมืองหลวง พ้นไปจากสายตาของผู้มีอำนาจในเมืองหลวง นางต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
คิ้วของฉู่สวินหยางขมวดมุ่น
หลัวซืออวี่ตกตะลึงพรึงเพริด นางกัดฟันในทันใด หันกลับมาไปมองหลัวกั๋วกงฮูหยินที่เดินออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ใช่บอกว่าท่านกับฮูหยินฮั่วได้คุยกันแล้วว่าจะยกคุณหนูฮั่วให้กับพี่รองของข้าใช่หรือไม่? เดิมทีคุณหนูฮั่วต้องไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญู จึงไม่รีบเร่งที่จะประกาศเรื่องนี้ แต่ยามนี้นางไร้ซึ่งที่พึ่ง ไม่สู้…”
การแต่งงานของหลัวเถิงไม่จำเป็นให้นางมาตัดสินใจ แต่ชีวิตของฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่สามารถรอได้อีกแม้แต่นาทีเดียว
ฮั่วชิงเอ๋อร์แข็งค้างไปตลอดทั้งกาย แม้จะเข้าใจในความปรารถนาดีของหลัวซืออวี่ในชั่วพริบตา แต่ในชั่วพริบตานั้นจิตใจพลันวุ่นวายสับสนนัก และเงยหน้าขึ้นมองไปยังกลุ่มผู้คนด้านหลังของฮ่องเต้