สายตาของนางกวาดมองไปทั่วทุกด้านอย่างเคว้งคว้าง ทว่ามองไปรอบหนึ่งแล้วกลับไม่พบเงาของชายหนุ่มผู้นั้น…
ความรู้สึกชั่วขณะนั้นบอกไม่ถูกระหว่างความรู้สึกผิดหวังหรือเป็นความโชคดี
และอีกด้านหนึ่ง ฮูหยินใหญ่หลัวถูกคำพูดของหลัวซืออวี่ที่กล่าวมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นทำให้สงบนิ่ง
สีหน้าของนางแข็งค้าง แววตาเต็มไปด้วยความสับสน ตกตะลึงอยู่ที่นั่น
“ท่านแม่” หลัวซืออวี่เรียกขึ้นอีกครั้งด้วยความร้อนใจ
อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย นางไม่กล้าใช้สายตาส่งสัญญาณใดๆ ให้กับฮูหยินใหญ่หลัวแต่ยังดีที่ระหว่างมารดาและบุตรสาวรู้ใจกันมาเป็นเวลาหลายปี
ฮูหยินใหญ่หลัวตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าบุตรสาวกำลังทำอันใดอยู่ แต่ไม่เคยสงสัยในความตั้งใจดีของนาง
“ใช่แล้ว….” ฮูหยินใหญ่หลัวรีบหายใจเข้าลึก กำลังจะเอ่ยปากยอมรับ ทว่าชายาเอกอ๋องหนานเหอ คนแซ่เจิ้งร้อนใจเสียแล้ว
เมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นในวังหลวง เต๋อเฟยได้รับบาดเจ็บ เพื่อดึงคนมาเป็นฝ่ายตน นางจึงอยู่ปลอบใจนางในตำหนักของอีกฝ่ายตลอดทั้งคืน
วันนี้เมื่อเช้าขณะที่กำลังจะออกจากวัง จึงมาที่นี่เพื่อเยี่ยมฉู่ฉีเหยียน โชคไม่ดีที่พบฮ่องเต้เข้า ดังนั้นจึงตามมาพร้อมกันด้วย
ในใจของคนแซ่เจิ้งนั้น เข้าใจว่าสกุลฮั่วเป็นฆาตกรที่สังหารฉู่หลิงอวิ้นมานานแล้ว
เดิมทีเห็นกับตาว่าฮ่องเต้ต้องการกำจัดสกุลฮั่วอย่างถอนรากถอนโคน แต่ผู้ใดเลยจะรู้ว่าระหว่างทางกลับมีสกุลหลัวโผล่ออกมา
ทันทีที่ฮั่วชิงเอ๋อร์เข้าไปอยู่ในจวนหลัวกั๋วกง ยังใช้ได้อีกหรือ
หากหลัวซืออวี่เสนอซู่จื่อ[1]ซักคนหนึ่งก็ยังพอทำเนา แต่ไฉนต้องผลักซื่อจื่อหลัวเถิงออกมาด้วยเล่า
ไม่ได้ จะให้คนต่ำช้าเช่นนี้ได้เปรียบไม่ได้
ความเคียดแค้นชิงชังในใจของคนแซ่เจิ้ง ทำให้นางไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิด รีบเดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง ย่อเข่าเอ่ยกับฮ่องเต้อย่างมีมารยาทว่า “เสด็จพ่อ ฮั่วชิงเอ๋อร์ผู้นี้ทั้งกตัญญูและรู้มารยาท สะใภ้นั้นชอบพอในตัวนางมาโดยตลอด เดิมทีก็มีความคิดเช่นนี้ แต่ไม่ทันได้เอ่ยปากกับฮูหยินฮั่ว วันนี้บังเอิญเหลือเกิน…”
นางพูดแล้ว ตวัดสายตาไปมองฮั่วชิงเอ๋อร์ครั้งหนึ่ง
สายตานั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ทว่ากัดฟันพูดสิ่งที่ค้านกับใจตน “ฉีเหยียนยังไม่ได้แต่งงาน ก่อนหน้านี้ได้พูดกับท่านอ๋องแล้วครั้งหนึ่ง ท่านอ๋องพอใจคุณหนูฮั่วมากเพคะ…”
คนแซ่เจิ้งควบคุมสีหน้าเมตตาอารีย์บนใบหน้า พูดจาราวกับชอบพอในตัวฮั่วชิงเอ๋อร์อย่างแท้จริง
หลังจากฟังคำพูดของนางแล้ว ไม่เพียงแต่ฮั่วชิงเอ๋อร์ คนแรกที่ราวกับถูกสายฟ้าฟาดจนแข็งค้างที่นั่นก็คือฉู่ฉีเหยียน
ในสมองเขามีแต่เสียงหวึ่งๆ ดังขึ้น ร่างทั้งร่างราวกับถูกไฟแห่งความโกรธเผาผลาญอยู่ ไม่สามารถบรรยายถึงความรู้สึกในยามนี้ออกมาได้
เพียงแต่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด เขากลับเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฉู่สวินหยางที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของฮ่องเต้
คนแซ่เจิ้งลงมือ นี่มันเหนือความคาดหมายของฉู่สวินหยาง
นางไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอันใด เพียงแต่คาดไม่ถึงจึงเลื่อนสายตาคิดจะดูปฏิกิริยาของฉู่ฉีเหยียน
ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนยังคงเย็นชาเหมือนยามปกติทั่วไป น้อยครั้งนักที่จะมีอารมณ์และความรู้สึกปรากฏ เหตุไฉนมองไปแล้วไม่เห็นจะมีอันใด ทว่าเมื่อสบสายตาของเขาแล้วนั้น หัวใจของฉู่สวินหยางกลับบีบรัดขึ้น…
แววตาของเขามีความเคียดแค้นซ่อนอยู่ในนั้น ทว่าเมื่อสายตานั้นประสานกับสายตาของนางกลับเปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางความเคียดแค้นชิงชัง กลับถูกคลื่นลมรุนแรงม้วนกลับ กลายเป็นแววตาอันทุกข์ทรมานลึกๆ ดังไฟแผดเผา
แววตาเช่นนี้…
ไฉนดูแล้วจึงเหมือนเคยรู้จัก
ความรุ่มร้อนนั้น ชีวิตนี้ของนางได้พบกับแววตาเช่นนี้ในแววตาของเหยียนหลิงจวิน และทั้งๆ ที่แววตานั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นทว่ากับเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนอันทุกข์ทรมาน…
ช่วงสุดท้ายของชาติที่แล้ว เมื่อเขาสารภาพความในใจกับนางนั้น กลับถูกนางวางเหล้าพิษจนสิ้นชีวิตและหมดอนาคต นางเคยได้เห็นสายตาชนิดนี้มาก่อน
ทั้งๆ ที่คับแค้นใจยิ่งนักที่ไม่สามารถฆ่านางได้ นำศพของนางมาสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น ทว่ากลับขัดแย้งกับตัวเองอยากจะใช้วิธีอื่นมากำราบนางให้ศิโรราบ
การค้นพบอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ฉู่สวินหยางตกตะลึงในใจอย่างแปลกประหลาด
ชาตินี้นางเองคิดว่าตนได้หลบหลีกอยู่ห่างไกลจากฉู่ฉีเหยียนมาตั้งแต่ต้น และไม่คิดมาก่อนว่าระหว่างพวกเขาแล้วนอกจากความเป็นอริต่อกันแล้วยังจะมีความรู้สึกอย่างอื่นได้อีก
แต่นี่มันตั้งแต่เมื่อใดกัน สายตาของเขาที่มองนางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
ฉู่สวินหยางสับสนในใจยิ่งนัก นางจึงเสียกริยาในบัดดลอย่างไม่รู้ตัว
ฉู่สวินหยางเห็นท่าทางของนางในยามนี้ ได้แต่จับจ้องและคาดเดาความในใจของนาง ชั่วขณะเขาคิดวุ่นวายไปหมด กลับลืมคนแซ่เจิ้งที่กำลังเอ่ยถึงความรู้สึกของนางที่มีต่อฮั่วชิงเอ๋อร์
แม้ฮั่วชิงเอ๋อร์จะไม่รู้ว่าตนเองไปทำอันใดให้คนแซ่เจิ้งเคียดแค้นเช่นนี้ แต่ความเกลียดชังที่ปรากฏในสายตาของคนแซ่เจิ้งนั้นนางมองเห็น ในใจพลันโหวงเหง
หลัวซืออวี่ร้อนใจแล้วเช่นกัน รีบส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับฮูหยินใหญ่หลัว
“อ้อ” ฮูหยินใหญ่หลัวรีบดึงสติคืนมา ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว “ชายาเอกอ๋องหนานเหอ เรื่องเช่นนี้อย่างไรเสียก็ต้องมีก่อนมีหลัง ไม่ว่าท่านจะชมชอบในตัวคุณหนูฮั่วอย่างไร แต่ข้าและฮูหยินฮั่วได้พูดเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินฮั่วได้รับปาก…”
“ฮูหยินฮั่วได้รับปากแล้ว?” คนแซ่เจิ้งหัวเราะเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง ไม่ได้คิดจะถอย มุมปากยกขึ้นด้วยความเย้ยหยัน มองไปในเรือนที่ร่างของฮูหยินฮั่วนอนอยู่ “ยามนี้เจ้าก็เพียงแต่พูดปากเปล่า หากเปิ่นหวางเฟยยินดีแล้วละก็ ย่อมพูดได้เช่นกันว่าได้ตกลงปากเปล่ากับฮูหยินฮั่วแล้ว ในเมื่อไม่มีเทียบหมั้น[2] เช่นนั้นจะนับเป็นอะไรได้”
“ชายาเอก นี่ท่านต้องการจะเถียงข้างๆ คูๆ ใช่หรือไม่?” ฮูหยินใหญ่หลัวพูดด้วยความโกรธ น้ำเสียงนั้นสูงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“เปิ่นหวางเฟยกำลังพูดเหตุผลกับเจ้าอยู่” คนแซ่เจิ้งกล่าว
นางต้องการชีวิตของฮั่วชิงเอ๋อร์ ฮั่วกังสองสามีภรรยามีปัญญาคิดบัญชีกับบุตรสาวทั้งสองของนางอย่างลับๆ เช่นนั้นเมื่อติดหนี้ย่อมต้องชำระ อย่าได้คิดว่าจะแล้วกันไปเช่นนี้
ฮูหยินใหญ่หลัวนั้นมีความเกรงกลัวต่อฐานะของนางอยู่เดิม เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงได้แต่รั้งรอ
หลัวซืออวี่กลับรอไม่ไหว จึงเงยหน้ามองนางแล้วกล่าวขึ้นอย่างปกติว่า “ชายาเอก ท่านบอกว่ามารดาของข้าพูดไม่มีหลักฐาน แล้วตัวท่านเองไม่ใช่หรือไร? ในเมื่อเวลานี้พวกเราทั้งสองครอบครัวล้วนต้องการเช่นนี้…คุณหนูฮั่วยังอยู่ที่นี่ พวกเราทั้งสองครอบครัวจะแย่งชิงกันไปย่อมไม่มีประโยชน์อันใด ทั้งหมดต้องแล้วแต่ความยินยอมของคุณหนูฮั่ว เป็นอย่างไรเพคะ?”
ความยินยอมของฮั่วชิงเอ๋อร์?
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่เขลา ขืนให้นางเลือก นางย่อมต้องหลีกเลี่ยงจวนอ๋องหนานเหอของตนเป็นแน่
คนแซ่เจิ้งไม่ยอมรับปาก ท่าทางแข็งกร้าวพูดเสียงเย็น “เรื่องการออกเรือนแต่ไรมาล้วนเป็นพ่อแม่ที่เป็นผู้ตัดสินใจ นางเป็นเพียงแม่นางน้อยแต่ตัดสินใจเลือกสามีด้วยตนเอง? หากพูดออกไปจะไม่เป็นเรื่องตลกขบขันของผู้อื่นหรือไร?”
“ท่าน…” หลัวซืออวี่ยังจะพูดอันใดได้
คนแซ่เจิ้งถือโอกาสลงมือก่อน จึงหันกายกลับไปหาฮ่องเต้อีกครั้งและเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท “เสด็จพ่ออยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อ สะใภ้ชมชอบคุณหนูฮั่วจริงๆ เพะคะ เหยียนเอ๋อร์นั้นท่านเห็นมาตั้งแต่เล็ก วันนี้ถือว่าขอความเมตตาจากท่านต่อหน้าผู้คนสักครั้ง…”
“ฝ่า…” หลัวซืออวี่ร้อนใจดั่งไฟสุม ยังคิดจะแย่งชิง
คนแซ่เจิ้งคิดอย่างไร ฮ่องเต้เห็นอยู่กับตา เดิมทีเขามีความคิดจะยืมมีดฆ่าคนอยู่แล้ว แต่ถูกฉู่อี้อันปฏิเสธ เวลานี้จวนอ๋องหนานเหอมาเสนอตัวรับไม้ต่อด้วยความยินดี ไฉนเขาจะไม่ยินดีเล่า?
“ไม่ต้องพูดแล้ว ทะเลาะกันไร้ซึ่งกฎระเบียบ?” ฮ่องเต้กวาดมองอย่างไม่พอใจครั้งหนึ่ง พูดอย่างหงุดหงิดใจว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายล้วนไม่มีเทียบหมั้นอยู่ในมือ คนแซ่เจิ้งขอร้องเจิ้งต่อหน้าเช่นนี้ เจิ้งอนุญาตเจ้าก็พอ”
ยังไม่ทันได้สิ้นเสียง เขาก็หันกายพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ
————————————–
[1] ซู่จื่อ หมายถึง บุตรชายที่ถือกำเนิดจากอนุภรรยา
[2] เทียบหมั้น เป็นหนังสือสำคัญที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงในพิธีหมั้น เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการแต่งงาน