ฉู่ฉีเหยียนหันกลับมา สายตาของเขาลุ่มลึกอยากจะอ้าปากปฏิเสธในทันใด

ราวกับฮ่องเต้จะรู้ว่าเขาจะปฏิเสธ จึงตวัดสายตากลับมา ถามขึ้นก่อนว่า “เจ้ามีเรื่องจะพูด?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความหมายไม่ชัดเจนในสายตานั้น คำพูดที่ฉู่ฉีเหยียนเตรียมจะพูดกลับถูกอุดให้กลืนลงไปในลำคอเสียสิ้น

แม้จะกล่าวว่าคนแซ่เจิ้งนั้นหิวน้ำค่อยขุดบ่อ แต่ยามนี้ผู้ที่ต้องการยืมมีดฆ่าคนกลับเป็นฮ่องเต้

เขาจะพูดอะไรได้เล่า?

ปฏิเสธการแต่งงานต่อหน้าทุกคน?

ตบหน้าของคนแซ่เจิ้งไม่กระไร สำคัญที่สุดคือ…

ฮ่องเต้ย่อมไม่ยินดีเป็นแน่

เรื่องนี้ ไม่มีโอกาสให้เขาปฏิเสธได้เลย

มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นอย่างไร้สุ้มเสียง ฉู่ฉีเหยียนค่อยๆ หลุบตาลงต่ำ เก็บงำสายตาเย็นชานั้นอย่างรวดเร็ว เพียงแต่โน้มกายคำนับด้วยมารยาทเอ่ยว่า “เรื่องการแต่งงาน ย่อมต้องให้บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ ในเมื่อเป็นฝ่าบาทที่เอ่ยปาก ฉีเหยียน…ย่อมน้อมรับ ขอบพระทัยฝ่าบาทพะยะค่ะ”

น้ำเสียงของเขามั่นคงยิ่ง ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับปรากฏความเยียบเย็นแข็งกร้าวขึ้นมาหลายส่วน

ฮั่วชิงเอ๋อร์นั้นคุกเข่าอยู่ นางค่อยๆ ช้อนตาขึ้น…

ไม่จำเป็นต้องดูแววตาที่ปรากฏในดวงตาคู่นั้น เพียงตวัดสายตามองใบหน้าด้านข้างของเขา นางได้แต่โอดครวญในใจ

“ฝ่าบาทและชายาเอกอ๋องหนานเหอทรงเมตตา หม่อมฉันเกรงว่า” ดูเหมือนในน้ำเสียงนั้นมีความตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน ฮั่วชิงเอ๋อร์รีบเอ่ยปาก “เพียงแต่บิดามารดาของหม่อมฉันเพิ่งจะจากไป ในฐานะบุตรสาวของพวกเขา หม่อมฉันย่อมต้องไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูแทนพวกเขา จึงไม่กล้าที่จะรับเรื่องแต่งงานในเวลานี้ ขอฝ่าบาทดึงกลับ…”

คำพูดของฮั่วชิงเอ๋อร์ยังไม่ทันสิ้นเสียง คนแซ่เจิ้งพูดขัดจังหวะขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “เจ้าต้องไว้ทุกข์ นั่นเป็นเจ้าที่รู้ธรรมเนียม เปิ่นหวางเฟยย่อมไม่คัดค้านต่อใจกตัญญูของเจ้า นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคอันใดเพียงแต่กำหนดเรื่องแต่งงานให้เรียบร้อยเสียก่อน รอจนกระทั่งเจ้าไว้ทุกข์ครบกำหนดแล้วค่อยปรึกษาหารือเรื่องแต่งงานก็ไม่สาย”

ฉู่ฉีเหยียนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของนาง และไม่ว่าจะคุณสมบัติ หน้าตา ความสามารถล้วนโดดเด่นทุกด้าน เป็นความภาคภูมิใจของนางมาโดยตลอด

ฮั่วชิงเอ๋อร์นับเป็นสิ่งของอันใดได้? นางคงเสียสติไปแล้วหากคิดจะเอาหญิงสาวเช่นนี้มาเป็นสะใภ้

หากไม่ใช่เพราะจวนหลัวกั๋วกงผลักหลัวเถิงซื่อจื่อผู้นี้ออกมา ทำให้นางไม่มีทางเลือก จึงได้แต่เอาฉู่ฉีเหยียนมากดอีกฝ่ายเอาไว้ เพื่อจะควบคุมฮั่วชิงเอ๋อร์เอาไว้ในมือ นางไฉนเลยจะเอาเรื่องแต่งงานของบุตรชายมาเป็นเรื่องล้อเล่นได้เล่า?

ทำร้ายบุตรสาวของนางจนตายเป็นเรื่องแรก เวลานี้ยังต้องเอาเรื่องแต่งงานของบุตรชายมาให้นางอีก…

บัญชีนี้ นางจะต้องเอาคืนจากฮั่วชิงเอ๋อร์โดยเร็วที่สุด

คนแซ่เจิ้งออกแรงขยุ้มผ้าเช็ดหน้าในมือ พยายามปิดบังความรู้สึกโกรธกรุ่นที่ปรากฏในดวงตา

และคำพูดของนางได้พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ให้โอกาสฮั่วชิงเอ๋อร์หลีกเลี่ยงได้อีก

ฮั่วชิงเอ๋อร์ร้อนใจดังไฟสุม ทว่ากลับไร้ซึ่งหนทางจะรับมือ

“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็กำหนดแน่นอนแล้ว” ฮ่องเต้กล่าว สีหน้าเต็มไปด้วยความระอา ย่างเท้าเดิน “รอไม่กี่วันข้ามีเวลาว่างแล้ว จะออกราชการพระราชทานสมรสให้กับพวกเจ้า”

ไม่กี่วัน? เวลานั้นฮั่วชิงเอ๋อร์ยังจะมีกระดูกอีกหรือไม่?

การกระทำครั้งนี้ของฮ่องเต้ดูเหมือนออกจะเอิกเริกอยู่สักหน่อย

ฉู่สวินหยางยืนอยู่ข้างกายฉู่อี้อัน หลุบตาลงต่ำในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน ได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงมองตามเงาร่างของฮ่องเต้ สายตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ

“เสด็จพ่อ” คนแซ่เจิ้งรีบก้าวตามฮ่องเต้ ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างระแวดระวัง พูดจาประจบสอพลอ “คุณหนูฮั่วตัวคนเดียวไม่มีใครน่าเวทนายิ่ง แม้จะพูดว่าเรื่องการแต่งงานค่อยปรึกษาหารืออีกครั้ง หลังจากงานศพของฮูหยินฮั่วแล้ว สะใภ้จะรับตัวนางเข้าจวนทันทีเพคะ จะได้เป็นการดูแลนาง ท่านเห็นว่าเช่นนี้ได้หรือไม่เพคะ?”

ฮั่วชิงเอ๋อร์ได้ยินแล้ว สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

ฮ่องเต้ย่อมไม่ยินดีที่จะไปยุ่มย่ามกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ส่งเสียง ฮึ แล้วก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว

คนแซ่เจิ้งจึงได้แต่เข้าใจว่าฮ่องเต้ไม่ได้ปฏิเสธ มุมปากยกยิ้มเป็นรอยยิ้มเย็นชา หันกลับมา ใช้สายตาคมปลาบถลึงตาใส่ฮั่วชิงเอ๋อร์ครั้งหนึ่ง

ฉู่สวินหยางไม่อยากอยู่ที่นี่นาน จึงหันหลังกลับเดินจากไป

ฉู่ฉีเหยียนมองมารดาของตนด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง สะบัดชายเสื้อคลุม ก้าวใหญ่ๆ เดินไปอีกด้านหนึ่ง คนละทางกับฉู่สวินหยาง

ผู้คนที่นี่เริ่มแยกย้ายกันไป

ฮั่วชิงเอ๋อร์ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ค่อยๆ นั่งแปะลงกับพื้น แววต่างเปล่าร่ำไห้ไร้น้ำตา

หลัวซืออวี่คุกเข่าอยู่ข้างกายนาง คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าเคร่งขรึมโอบไหล่ของนางเอาไว้ ปลอบโยนนางเสียงต่ำ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ฉวยโอกาสที่ฮูหยินฮั่วยังไม่ได้ฝัง ยังมีโอกาส อย่างไรต้องคิดหาวิธีออกมาให้ได้”

ระหว่างหลัวซืออวี่และฮั่วชิงเอ๋อร์ ต่อไปมีความเกี่ยวข้องเพียงแค่พยักหน้าให้แก่กันแล้ว

หลัวกั๋วกงฮูหยินเห็นท่าทางของบุตรสาวนางที่เปลี่ยนไป ในแววตาเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วไม่เห็นพิรุธใดๆ จึงไม่ได้เอ่ยอันใด

ฉู่ฉีเหยียนอารมณ์ไม่ดี ฝีเท้าที่ก้าวเดินจึงรวดเร็ว

คนแซ่เจิ้งเดินตามมาข้างหลัง สุดท้ายไม่รู้จะทำเช่นไรจึงวิ่งตามไปจึงไล่ทันเขา ออกแรงคว้าตัวเขาเอาไว้

“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ” คนแซ่เจิ้งพูดอย่างโมโห พูดแล้วก็หอบใจหอกแฮกพูดไม่ทัน

คนผู้นี้เป็นเสด็จแม่ของเขา

ต่อให้ฉู่ฉีเหยียนจะไม่สบอารมณ์เพียงใด ก็ไม่สามารถลงมือกับนางได้ ดังนั้นจึงได้แต่สะกดอารมณ์ แล้วแต่นางจะยื้อยุดฉุดกระชาก

สายตาของเขาตวัดผ่านใบหน้าของคนแซ่เจิ้งครั้งหนึ่ง น้ำเสียงเย็นเยียบที่พูดเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและถากถาง “เสด็จแม่จะตามข้ามาทำไมกัน? เวลานี้ท่านไม่ใช่มีเรื่องต้องไปทำหรอกหรือ?”

“เจ้า…” ฉู่ฉีเหยียนปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพตลอดมา คนแซ่เจิ้งโมโหท่าทางเช่นนี้ของเขา แต่เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วเป็นนางที่ไร้เหตุผล จึงได้แต่ควบคุมความโกรธเอาไว้

“ข้ารู้ว่าเรื่องในวันนี้ข้าทำลงไปอย่างพลการ แต่ใจของข้าไม่ยินยอม” คนแซ่เจิ้งกล่าว ออกแรงขยุ้มผ้าเช็ดหน้าในมือ แววตานั้นปรากฏความโหดเหี้ยมที่บรรยายไม่อออก “หรือว่ามีเพียงพวกเขาที่ทำร้ายพี่ใหญ่ของเจ้าได้ ข้ากลับต้องทนดูคนชั้นต่ำกลายเป็นหงส์หรืออย่างไร? บนโลกนี้ไฉนเลยจะมีเรื่องที่ได้เปรียบเช่นนี้เล่า?”

“ดังนั้นเล่า?” ฉู่ฉีเฟิงถามกลับ “เพียงแค่ต้องการเอาคืนแทนพี่ใหญ่ เรื่องสำคัญเช่นการแต่งงานของข้าก็สามารถนำมาเป็นสะพาน? ให้ท่านนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการล้างแค้นสกุลฮั่วได้ใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่ใช่…” สกุลเจิ้งคิดจะอธิบายอย่างร้อนตัว แต่เรื่องได้เกิดขึ้นแล้ว นางย่อมรู้ว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงกัดฟันหันหน้าไม่ดูสีหน้าของฉู่ฉีเหยียนกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าผิดต่อเจ้า แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าแต่งนางจริงๆ ไม่รู้ว่าหลัวกั๋วกงฮูหยินไปถูกคุณไสยอันใดเข้า กลับจะให้คนชั้นต่ำนั่นแต่งเข้าไปในจวนกั๋วกง ข้าเองไม่มีทางเลือก”

นางพูดแล้วหันมาจับมือข้างหนึ่งของฉู่ฉีเหยียนด้วยสีหน้าวิงวอน “เหยียนเอ๋อร์ เจ้าให้อภัยข้าสักครั้ง พระราชโองการของฝ่าบาทยังไม่ลงมา ระหว่างนี้ ข้าย่อมมีวิธีที่จะจัดการนางโดยที่ไม่มีใครรู้ อย่างไรก็ไม่ใช่การพระราชทานสมรสจริงๆ รอให้ล้างแค้นแทนพี่ใหญ่เจ้าแล้ว หากเจ้ามีสตรีในดวงใจ ข้าจะไปขอให้เจ้าใหม่เป็นพอ”

คนแซ่เจิ้งพูดแล้วยิ่งร้อนใจ เกรงว่าฉู่ฉีเหยียนจะไม่ยิมยอม ดวงตาพลันมีละอองน้ำตาเอ่อขึ้น

คำอธิบายเหล่านี้ของนาง สำหรับฉู่ฉีเหยียนแล้วเป็นเรื่องไร้สาระ

ฉู่ฉีเหยียนฟังนางพูดด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ กระทั่งนางพูดจบ จึงหัวเราะเยาะนางเสียงเย็น “เสด็จแม่ ในเมื่อท่านพูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจะปฏิเสธได้อีกหรือ?”