ไม่ใช่ว่าเขาปฏิเสธไม่ได้ แต่ฮ่องเต้อยู่เบื้องบน เขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะพูดคำว่าไม่
ทางสายนี้ ฉู่สวินหยางได้เตือนให้เขาหันกลับไป แต่นี่มัน…
เขาไม่มีโอกาสจะหวนคืนไปได้เนิ่นนานแล้ว
ใต้หล้านี้ตำแหน่งที่สูงที่สุดมีเพียงหนึ่งเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเพียงเช่นนี้ตลอดกาล
เขาไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่อย่างถูกกดขี่ข่มเหง ทว่าที่เจ็บปวดยิ่งไปกว่านั้นคือชาติกำเนิดที่เขาเลือกไม่ได้
แค่เพียงต้องการกำจัดหญิงสาวที่ไม่มีผลต่อชีวิตของเขา กลับต้องเอาเรื่องการแต่งงานของเขามาเกี่ยวข้อง?
วิธีการกำจัดที่อ่อนแอไร้สามารถเยี่ยงนี้ ไม่ใช่นิสัยแต่ไหนแต่ไรมาของฉู่ฉีเหยียน
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ทำให้เขารู้สึกว่าแม้จะหายใจยังลำบากเหลือทน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอะอะโวยวายอีก คนแซ่เจิ้งเพียงเห็นสีหน้าดำทะมึนไร้ซึ่งความรู้สึกของเขาแล้วพลันรู้สึกวางใจไม่ลง
นางขยุ้มผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา พร้อมกับพูดสะอึกสะอื้นอย่างทนไม่ไหว “ข้ามีเพียงเจ้าและพี่ใหญ่ของเจ้าสองคนเท่านั้น เวลานี้นางถูกให้ร้ายจนตาย เจ้าจะให้ข้าผู้เป็นแม่สงบจิตสงบใจได้อย่างไร? เหยียนเอ๋อร์ ข้า…”
“ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายต้องทำ หากเสด็จแม่ไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็รีบกลับไปเถิดพะยะค่ะ” ฉู่ฉีเหยียนหันหน้าไปมองสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่ด้านนอกพร้อมกับยกฝ่ามือตั้งขึ้น เอ่ยขึ้นเสียงเย็นขัดจังหวะการพูดจาของนาง
“เหยียนเอ๋อร์…” คนแซ่เจิ้งอยากจะพูดสิ่งใดอีก แต่เมื่อเห็นท่าทางยืนกรานปฏิเสธอของเขาแล้ว ริมฝีปากเต้นระริก ทว่าสุดท้ายไม่กล้าดื้อดึงพูดต่อ
“ท่านไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว อย่างไรกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะเจ้าคะ” เมื่อเห็นสองแม่ลูกต่างไม่มีใครยอมใคร แม่นมกู้จึงก้าวขึ้นไปข้างหน้าดึงแขนเสื้อของนางและส่งสัญญาณทางสายตา
คนแซ่เจิ้งหันไปมองฉู่ฉีเหยียนอีกครั้ง เห็นท่าทีอันเย็นชาของเขาจึงคิดได้ว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ได้แต่เช็ดน้ำตาและให้แม่นมกู้ประคองเดินจากไป
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้หันกลับมามอง แววตาในดวงตาทั้งคู่เคร่งขรึมยิ่งนัก เขายืนฟังเสียงฝนที่ตกลงมาดังสนั่นบริเวณด้านนอกทางเดินอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งคนแซ่เจิ้งเดินจากไปไกลแล้ว หลี่หลินจึงปรากฏกายขึ้น เรียกเขาด้วยน้ำเสียงหยั่งท่าที “ซื่อจื่อ”
“อืม” ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้หันกลับมา และไม่ได้รอคำพูดประโยคหลังของเขา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปจัดการ หลังจากเจ็ดวันแล้ว ให้ลงมือระหว่างทางที่ฮั่วชิงเอ๋อร์ส่งศพของฮั่วฮูหยินกลับบ้านเกิด ทำให้สะอาดสะอ้าน”
เขาไม่มีแผนการสารพัดวิธีเช่นฮ่องเต้หรือคนแซ่เจิ้ง ในเมื่อทั้งสองคนต่างนำปัญหามารวมไว้ด้วยกันที่นี่ เขาไม่มีความอดทนแม้แต่นาทีเดียว ไม่อยากมีความเกี่ยวพันใดๆ กับคนเหล่านี้
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นวิธีการในการจัดการเรื่องของฉู่ฉีเฟิงมาโดยตลอด หลี่หลินได้ยินแล้วยังคงตกตะลึง จึงเอ่ยปากขึ้นอย่างเกรงใจว่า “ซื่อจื่อ ทำแบบไม่ดีกระมัง เมื่อสักครู่ฝ่าบาทตรัสแล้วว่าจะพระราชทานสมรสให้กับท่านและคุณหนูฮั่ว นางกลับมาเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายเช่นนี้ ต่อให้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ย่อมมีผลกระทบกับชื่อเสียงของท่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ขอรับ”
คนแซ่เจิ้งถูกความเคียดแค้นชิงชังบดบังดวงตาจนมืดบอด บวกกับนิสัยของสตรีไร้วิสัยทัศน์
ฉู่ฉีเหยียนไม่ควรทำเช่นนี้
“ใครอยากจะพูดอย่างไร ก็แล้วแต่พวกเขาเถิด” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ทว่ากลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ พูดได้ครึ่งหนึ่งเขามีท่าทีราวกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงถามขึ้นว่า “เรื่องของจื่อเหวยสืบได้หรือไม่? เป็นฝีมือของวังบูรพาหรือจวนอ๋องรุ่ย?”
“สืบไม่ได้ขอรับ” หลี่หลินตอบ สีหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ “น้องชายและน้องสาวของนางทั้งคู่ยังคงขายตัวเป็นทาสทำงานอยู่ในจวนสกุลฮั่ว ข้าน้อยได้ให้คนเข้าไปเลียบเคียงถามแล้ว เด็กสอนคนนั้นกลับมีท่าทีเหมือนไม่รู้เรื่องทั้งหมด เหมือน…เพียงแต่ถูกผู้อื่นใช้เป็นเหยื่อล่อขอรับ”
“เช่นนั้นก็เป็นสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนกระมัง” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ตัดสินใจอย่างรวบรัดรวดเร็ว
“ข้าน้อยกลับคิดว่านี่ดูคล้ายวิธีการของท่านหญิงสวินหยาง นางไม่ได้แตะต้องเด็กสองคนนั้น” หลี่หลินกล่าวอย่างแคลงใจ
“ผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเจ้ายังไม่ดูไม่กระจ่างแจ้งอีกหรือไร?” ฉู่ฉีเหยียนกลับหัวเราะเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง ทว่าหัวเราะด้วยแววตาแข็งกระด้างขึ้นหลายส่วน “ฉู่ซินรุ่ย สตรีเจ้าแผนการผู้นั้นไม่มีใครเทียบได้ สิ่งที่เจ้ามองเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เห็นก็ได้”
การเคลื่อนไหวลงมือของฉู่ซินรุ่ยทำให้วังหลวงเต็มไปด้วยคาวเลือด
หญิงสาวผู้นี้ ถือเป็นสตรีที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตลำดับต้นๆ
แม้หลี่หลินจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่ากลับเชื่อในคำพูดของเขามาโดยตลอด จึงเอ่ยเพียงว่า “เช่นนั้นพวกเราต้องทำอันใดหรือไม่ขอรับ?”
“ยังไม่ต้อง ดูว่าวังบูรพาต้องการทำอะไร” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ช้าไม่เร็ว
เมื่อเอ่ยถึงวังบูรพา แววตาของหลี่หลินพลันทอประกายวาบ เขามองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง เมื่อเห็นไม่มีผู้ใดแล้วจึงก้าวขึ้นมากระซิบเบาๆ ข้างหูฉู่ฉีเหยียน “ซื่อจื่อ เรื่องที่ท่านสั่งให้ข้าไปสืบมาก่อนหน้านี้ มีความคืบหน้าแล้วขอรับ”
ด้วยเป็นเรื่องสำคัญ เขาจึงก้าวขึ้นไปกระซิบข้างหูฉู่ฉีเหยียน ใช้มือป้องเอาไว้ สีหน้าและการพูดจาล้วนระมัดระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็นได้
ฉู่ฉีเหยียนฟังแล้ว ใบหน้าที่เดิมทีมีเพียงความเย็นชากลับกลายเป็นมีความรู้สึกขึ้นมา คิ้วขมวดแน่น จนกระทั่งสุดท้ายทนไม่ไหวเดินออกมาจากระเบียง หันกลับไปกระชากคอเสื้อของหลี่หลิน แล้วพูดเพื่อตอกย้ำว่า “เป็นความจริงหรือไม่?”
“คนได้พากลับมาแล้วขอรับ” หลี่หลินกล่าว อาจเป็นเพราะเรื่องนี้มีความสำคัญสำหรับจิตใจมาก แม้กระทั่งลมหายใจขณะพูดจาก็ยังต้องพยายามควบคุมเอาไว้อย่างยิ่งยวด “เพื่อเป็นการป้องกันการผิดพลาด ข้าน้อยได้ให้คนไปสืบมาหลายครั้งแล้วขอรับ คำตอบของนางไม่มีทางเข้าทางออก หากเป็นความจริง เช่นนั้น…”
เรื่องนี้ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
หลี่หลินได้แต่ถอนใจในใจ พูดขึ้นมาแล้วเขาแทบจะลืมเลือนสถานการณ์นั้น
“เฮ้อออ” ฉู่ฉีเหยียนร้องเฮ้อขึ้นครั้งหนึ่ง ขัดจังหวะความคิดของเขา และระแวดระวังจากสายตาคนรอบข้าง จากนั้นเพียงสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วเดินไปข้างหน้า “ไป กลับไปก่อน พาข้าไปพบกับคนผู้นั้นแล้วค่อยพูดกัน”
หลี่หลินติดตามเขาไป สองนายบ่าวมุ่งไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ
ขณะที่เพิ่งเลี้ยวไปข้างหน้า พลันได้ยินเสียงดังขึ้นจากทางเดินที่คั่นด้วยสวนดอกไม้อีกด้านหนึ่ง เป็นน้ำเสียงอ่อนหวานและงดงามของหญิงสาวที่ดังขึ้น “ท่านพี่”
ฝีเท้าอันเร่งรีบของฉู่ฉีเหยียนถูกทำให้หยุดชะงัก
เสียงนี้คุ้นหูยิ่งนัก แต่เมื่อดังเข้าไปถึงในใจของเขา กลับทำให้เขาหงุดหงิดอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ในใจของเขาลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง อยากจะทำราวกับไม่รู้ไม่เห็นแล้วเดินตรงไป…
สุดท้ายได้แต่หันกลับไปมองอย่างอดใจไม่ไหว
หยาดพิรุณที่กำลังเทลงมาอย่างหนักอยู่ด้านนอก ทำให้ทิวทัศน์ข้างนอกล้วนมองไม่ชัดเจน เห็นชัดเจนเพียงเงาร่างของคนทั้งสองกำลังเดินมุ่งหน้ามา
สวนดอกไม้ที่นี่ล้วนถูกเชื่อมไว้ด้วยหลังคา ทั้งสี่ด้านถูกเชื่อมไว้ด้วยทางเดินเส้นเดียว
ก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางเดินไปคนละทางกับฉู่ฉีเหยียน
นางรู้สึกว่าเรื่องราวในวังหลวงไม่น่าสนใจเช่นกัน ดังนั้นจึงรีบไปหาฉู่ฉีเฟิง เพื่อบอกกล่าวกับเขาว่านางจะออกจากวังไปก่อน
เมื่อฝ่าบาทเสด็จมานั้น ฉู่ฉีเฟิงนำคนไปสวนดอกไม้ ยังคงจัดการกับสนามรบที่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ต่อมาเมื่อรู้ว่าฝ่าบาทเสด็จ จึงได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากเจี่ยงลิ่วอีกครั้ง จึงเร่งรุดมาที่นี่
สองพี่น้องจึงอยู่พร้อมหน้ากัน
เห็นหน้าผากของฉู่ฉีเฟิงเต็มไปด้วยหยดน้ำ ฉู่สวินหยางเม้มปากหัวเราะ ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดให้เขา “ไฉนไม่มีผู้ใดกางร่มให้ท่านเล่า?”
“รีบมาอยู่สักหน่อย” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ทว่าไม่ได้ห้ามปรามนาง
ใบหน้าฉู่สวินหยางประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว สายตากลับดูเรียบเฉยอยู่หลายส่วน
ฉู่ฉีเฟิงล้วนมองอยู่ในสายตา จึงถอนใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ข้าได้ยินเรื่องของฮั่วชิงเอ๋อร์แล้ว เจ้าไม่มีความสุขอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ใครบอกเล่า?” ฉู่สวินหยางปากแข็งไม่ยอมรับ เลิกคิ้วขึ้นถลึงตาใส่เขา ทว่าเมื่อสบสายตาที่ดูเหมือนรู้เท่าทันนางทุกอย่าง จึงถอนใจทันใด แล้วหลุบตาลงต่ำ หยิบหยกพกที่ห้อยอยู่ข้างเอวเขามาเล่นโดยไม่ยอมพูดจา
ฉู่ฉีเฟิงเห็นท่าทางลังเลใจของนางแล้วคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ก้มลงมองมือของนางที่พันอยู่กับเส้นไหมทองและเอ่ยขึ้นว่า “ฉู่ฉีเหยียนไม่ใช่คนที่ไม่สามารถพูดจาด้วยได้ หากเจ้า…”
“ข้าไม่ไป” แม้ว่าเขาจะเอ่ยไปอย่างนั้นเอง ทว่านางกลับโมโหใหญ่โต ขัดจังหวะการพูดของเขาด้วยเสียงอันดัง
ฉู่ฉีเฟิงตกตะลึง ตั้งตัวรับไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่ง ได้แต่เอ่ยขึ้นอย่างอดทนว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน? โมโหผู้ใดกันเล่า? ข้าเพียงแต่พูดไปอย่างนั้นเอง ข้าคิดว่าเจ้าทนไม่ได้ที่คุณหนูฮั่วต้องตกลงไปในกองไฟ”