นิสัยของฉู่สวินหยาง เขาย่อมรู้ดี

“เอาเป็นว่าข้าไม่ไป” ฉู่สวินหยางกล่าว เดินเข้าไปอีกก้าวหนึ่งกอดเขาเอาไว้ เอาศีรษะซบลงกับหัวไหล่ของเขา ไม่ให้เขาเห็นสีหน้าของตน น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความแง่งอนและไม่ได้ดั่งใจหลายส่วน “นางจะอยู่หรือตายไม่เกี่ยวอันใดกับข้า? ไฉนข้าต้องไปพูดจาขอร้องให้กับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้าด้วยเล่า?”

เกรงว่าหากนางไปหาฉู่ฉีเหยียน คงจะเรียกว่า ขอร้อง ไม่ได้ เพียงแต่คุยกันเพียงสองประโยค…

ฉู่ฉีเหยียนผู้นั้น ย่อมไม่ทำอะไรฮั่วชิงเอ๋อร์ที่เป็นเพียงสตรีอ่อนแอบอบบางผู้หนึ่ง

แต่ทว่า…

วันนี้เวลานี้ นางกลับไม่อยากพูดคุยทักทายกับเขาแม้เพียงครึ่งคำ

เมื่ออ่านออกถึงสายตารุ่มร้อนและความรู้สึกซับซ้อนในดวงตาของเขาได้ นางรู้สึกสับสนในใจอย่างกะทันหัน แม้เพียงความสัมพันธ์เล็กน้อยๆ ก็ไม่อยากมีให้

ที่รบกวนจิตใจยิ่งกว่า…

ยังต้องให้นางไปขอร้างฉู่ฉีเหยียนต่อหน้า

นางไม่อยากมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคนผู้นั้น ยิ่งไม่อยาก…

ติดค้างอันใดต่อเขา

เพียงแต่การกระทำเฉยเมยไม่ช่วยเหลือของนาง อาจจะทำให้ชื่อเสียงของนางยากจะรอดพ้นคำว่าเลือดเย็น

นิสัยของฉู่สวินหยางนั้นเข้มแข็ง ไม่ว่าทำเรื่องอันใดก็ตัดสินใจเฉียบขาดรวดเร็ว ไม่รั้งรอใดๆ ทั้งสิ้น

นางวิ่งมาเขาด้วยท่าทางของเด็กๆ ซ้ำยังพูดกับเขาไม่หยุดถึงเรื่องเหล่านี้…

ที่จริงแล้วมันพิสูจน์ได้ว่าในใจของนางรังเกียจการกระทำเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ยื่นมือเข้าช่วยยิ่งนัก

ฉู่ฉีเฟิงฟังนางพูดอย่างแง่งอนด้วยท่าทีของสาวน้อยอย่างหาได้ยากนักของนางแล้ว ในใจกลับอ่อนโยนขึ้น ราวกับสายน้ำ อารมณ์ดีเสียจนแทบจะเลอะเลือน

“หึ…” เขาหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา ยืนนิ่งไม่ขยับให้นางพิงร่างกายของตนตามอำเภอใจ หางตาเต็มไปด้วยประกายของรอยยิ้ม ยกมือขึ้นลูบหลังของนางเอ่ยขึ้นช้าๆ “เจ้าอย่าได้ไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น ดูแลตนเองให้ก็เพียงพอแล้ว สวมอาภรณ์น้อยเช่นนี้ไม่หนาวหรือไร?”

ฉู่ฉีเฟิงพูดแล้วก็จับมือของนาง

เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดที่นางสวมมาร่วมงานเลี้ยงในคืนแรกนั้นได้ทิ้งไปนานแล้ว เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายในยามนี้น้อยชั้นกว่ายามปกติชั้นหนึ่ง

นางติดตามฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงสองพ่อลูกวุ่นวายตลอดทั้งคืน จึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ยามนี้เมื่อจับมือของนาง ฉู่ฉีเฟิงจึงขมวดคิ้วแน่น บีบนวดฝ่ามือของนาง จากนั้นจึงปลดเสื้อคลุมชั้นนอกของตนออกมาคลุมไหล่ให้นาง “ข้าและท่านพ่อไม่ได้ดูแลเจ้า เจ้ากลับไม่ใส่ใจตนเอง? ฝนตกระวังจะเป็นหวัดได้”

ความวุ่นวายที่ทำให้เท้าแทบจะไม่ติดพื้นตลอดทั้งคืน ฉู่สวินหยางแรกเริ่มไม่ได้รู้สึกอันใด ยามนี้เมื่อร่างกายได้รับความอบอุ่น กลับรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นบัดดล

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางสูดจมูกครั้งหนึ่ง ยิ้มให้ฉู่ฉีเฟิง

ยามนี้ร่างกายอุ่นขึ้น สายลมพัดมาวูบหนึ่งจากทางเดิน ปรับตัวไม่ทันทำให้นางจามออกมาทีหนึ่ง

“เป็นหวัดแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่?” คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วของฉู่ฉีเฟิงแน่นขึ้นอีก เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากของนาง

ฉู่สวินหยางรู้ว่าหากเขาไม่ได้ดูจนแน่ใจเขาย่อมวางใจไม่ลง จึงให้เขาวัดอุณหภูมิที่หน้าผากนางจากนั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มกับนาง “ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

ดูเหมือนสวรรค์ต้องการชะล้างร่องรอยและกลิ่นคาวเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้สะอาด ฟ้าสว่างแล้ว ทว่าสายฝนยังคงไม่หยุดโปรยลงมา กลับยิ่งตกยิ่งแรงขึ้น

ฉู่ฉีเฟิงมองไปข้างนอกเห็นสายฝนเริ่มจะขาดเม็ดเบาบางลง แล้วหันกลับมามองฉู่สวินหยางที่ยืนริมฝีปากเขียวคล้ำตรงหน้า เอ่ยขึ้นว่า “ที่นี่ไม่มีเรื่องอันใดชั่วคราวแล้ว ข้าส่งเจ้ากลับไปก่อน”

“เช่นนี้จะดีหรือ? เช่นนั้นไปบอกท่านพ่อก่อนดีหรือไม่?” ฉู่สวินหยางกล่าว กระชับอาภรณ์บนร่างกาย

“อืม” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้ารับคำ กำลังจะหันกาย เห็นชิงเถิงถือยาขวดเล็กเดินมาจากทางโค้งของทางเดินอย่างรีบเร่ง

“คังจวิ้นอ๋อง ท่านหญิง” เมื่อพบคนทั้งสอง ชิงเถิงย่อเข่าคำนับ

“เจ้ามาได้ประจวบเหมาะยิ่งนัก ประเดี๋ยวไปบอกท่านพ่อ ว่าข้าส่งสวินหยางกลับไปก่อน ช่วงบ่ายจะมาใหม่ หากช่วงเช้ายังมีเรื่องอันใดให้ลู่หยวนกลับไปเรียกข้าเถิด” ฉู่ฉีเฟิงสั่งความ

“เจ้าค่ะ” ชิงเถิงพยักหน้า เดินเข้ามาทว่าสีหน้ามีความตื่นเต้นหลายส่วนพร้อมกับยัดยาขวดเล็กนั้นมาให้ฉู่สวินหยาง “ท่านหญิง ขาของท่านยังหายไม่ดีนัก บ่าวไปเบิกยานวดมาให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ”

สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงค่อยๆ เปลี่ยนไป

ฉู่สวินหยางรีบนำยาขวดเล็กซ่อนไว้ในแขนเสื้อ หันไปพูดกับชิงเถิงว่า “หายตั้งนานแล้ว อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”

ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้กล่าวอะไร กลับโน้มตัวและนั่งยองๆ ลงไป

ฉู่สวินหยางเดิมทีคิดจะถอยหลังหนึ่งก้าว ทว่ากลับช้าไปก้าวหนึ่ง ถูกเขาจับข้อเท้าเอาไว้

แรกเริ่มนั้นนางระมัดระวังลงน้ำหนักเท้า ที่จริงไม่ได้บาดเจ็บมากมายอันใด มียานวดของเหยียนหลิงจวิน และพักรักษาตัวอยู่เงียบๆ หลายวัน เดิมทีควรจะไม่มีปัญหาอันใดแล้ว

แต่เหตุการณ์เมื่อคืนเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ทุกคนต่างคิดเอาชีวิตรอด หลังจากเกิดเรื่องนางวิ่งไปทั่ววังหลายครั้ง เวลานี้บาดแผลจึงบวมขึ้นมาอีก

เมื่อสัมผัสข้อเท้าของนางผ่านถุงเท้ผ้าหลัวรู้สึกได้ถึงความบวมเป่ง ฉู่ฉีเฟิงรู้สึกปวดใจยิ่งนัก

“ไม่เป็นไร ข้ายังกระโดดโลดเต้นได้ กลับไปนวดยาสักหน่อยก็ลดบวมได้แล้ว” ฉู่สวินหยางกล่าว ฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันตั้งตัว รีบถอยหลังหนึ่งก้าว รอยยิ้มเต็มดวงหน้าไม่ปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดใดๆ

นางเองไม่รู้ว่าข้อเท้าของนางบวมขึ้นมาเมื่อใดกัน เมื่อคืนสภาพจิตใจตกอยู่ในภาวะตึงเครียด คาดว่าเมื่อบิดถูกข้อเท้าก็ยังลืมเจ็บ และในเวลานี้ชาเสียแล้วไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ

ฉู่ฉีเฟิงไม่ได้พูดอันใด เมื่อยืนขึ้นมานั้น ทั้งใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

ฉู่สวินหยางถูกท่าทางเช่นนี้ของเขาที่จดจ้องมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิดอันใด แต่กลับรู้สึกร้อนตัวอย่างประหลาด แม้กระทั่งรอยยิ้มบนริมฝีปากก็ยังแข็งค้าง กลายเป็นความอึดอัดคับข้องใจ

ฉู่ฉีเฟิงไม่พูดแม้แต่คำเดียว ตรงเข้าไปอุ้มนางไว้ในอ้อมกอด ไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธอุ้มนางเดินก้าวยาวๆ ออกไปจากที่นั่น

เสื้อคลุมตัวนั้นตกลงบนพื้น ชิงเถิงรีบหยิบขึ้นมาแล้ววิ่งตามไป

บนทางเดินฝั่งตรงข้าม เงาร่างทั้งสองที่ถูกม่านสายฝนบดบังจนแทบจะมองไม่เห็นได้เดินจากไปข้างหน้าคนหนึ่งข้างหลังคนหนึ่งเช่นกัน ได้รีบเร่งเดินจากไป