ฉู่ฉีเฟิงพาฉู่สวินหยางกลับวังบูรพาและเรียกให้หมอในวังมาตรวจ หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยงลิ่วก็มาเชิญเขาบอกว่าฉู่อี้อันให้เขากลับวังเดี๋ยวนี้ เขาจึงไม่มีเวลาดูแลทางนี้ ทำได้เพียงกำชับชิงเถิงให้ดูแลฉู่สวินหยางให้ดีแล้วก็รีบร้อนไป
ฉู่ฉีเฟิงเดินเร็วมาก เจี่ยงลิ่วคอยกางร่มให้เขา เพียงชั่วพริบตาก็หายไปท่ามกลางม่านฝนที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
จนกระทั่งออกมาจากวังแล้ว ฉู่ฉีเฟิงก็ยังคงสาวเท้าไม่หยุด แต่กลับเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่อง?”
“หลังจากท่านจวิ้นอ๋องกับท่านหญิงออกจากวังไปแล้ว ซื่อจื่ออ๋องหนานเหอก็ออกจากวังไปเช่นกันขอรับ” เจี่ยงลิ่วเอ่ยอย่างระมัดระวังและเคารพ “เขาออกจากวังไปแล้วไม่ได้กลับจวน แต่ออกจากเมืองไปทางประตูเมืองทิศใต้ และเพราะเกรงว่าจะถูกเขาจับได้ สายสืบของเราจึงไม่ได้ตามไปอีกขอรับ”
“ออกจากเมืองไปแล้วหรือ? ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เขาออกจากเมืองไปทำอะไร?” ฉู่ฉีเฟิงชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อยจนแทบจับสังเกตไม่ได้ และเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมา
“ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย จึงรีบมาแจ้งให้ท่านจวิ้นอ๋องทราบ” เจี่ยงลิ่วเอ่ย
ฉู่ฉีเฟิงเงียบไปครู่ใหญ่ เขาครุ่นคิดแล้วก็เผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกออกมา พลางเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “จุดอ่อนของ
ฉู่ฉีเหยียนจับไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก เจ้าทำถูกแล้ว อย่าเพิ่งทำให้เขารู้ตัว เรื่องที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนที่สุดในเวลานี้คือทางจวนอ๋องรุ่ยชิน”
“เมื่อคืนหลังจากองค์ชายเจี่ยนกับท่านหญิงฉางหนิงกลับจวนแล้วก็เก็บตัวเงียบ ไม่เคลื่อนไหวอะไรอีก” เจี่ยงลิ่วเอ่ย “ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนี้นะขอรับ!”
“ต่อให้ฉู่ซินรุ่ยจะกล้าหาญและฝีมือโหดเหี้ยมแค่ไหน สุดท้ายคนที่สามารถคุมแผนทั้งหมดได้ก็มีเพียงฉู่อี้เจี่ยนเท่านั้น” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย นัยน์ตาลุ่มลึกพลันฉายแววเย็นชาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ “เจ้าคิดว่าเมื่อคืนนางบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวแบบนั้นไปเพื่ออะไร? หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด การโค่นล้มบัลลังก์รอบนั้นเป็นแค่หน้าฉากที่ใช้ตบตาและอำพรางเจตนาที่แท้จริง ความจริงน่าจะเป็น…”
ฉู่ฉีเฟิงพูดพลางชะงักไปอย่างกะทันหัน
เขาหยุดยืนนิ่ง พลางเงยหน้ามองฝนตกหนักที่กระจายเต็มท้องฟ้าและเอ่ยเยาะเย้ยว่า “แปดส่วนเพราะพวกเขาสองพี่น้องมีความเห็นแตกต่างกัน อย่างแย่ที่สุดก็น่าจะฉู่ซินรุ่ยเกิดขัดแย้งกันภายในก่อน จริงๆ แล้วนางตั้งใจทำเช่นนี้ก็เพื่อบีบให้ฉู่อี้เจี่ยนหมดหนทางหนีและจัดการควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงให้ได้เร็วที่สุด”
เบาะแสแต่ละอย่างแสดงให้เห็นว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ฝีมือของฉู่อี้เจี่ยนจริงๆ
ฉู่ซินรุ่ยลงมือวางแผนเรื่องใหญ่ขนาดนี้เอง ทั้งที่ไร้ความมั่นใจโดยสิ้นเชิง และนางยังคิดจะใช้โชคช่วยเพราะอยากจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จในครั้งเดียว แต่อย่างไรความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จนั้นก็น้อยเกินไป…
ดูจากนิสัยสุขุมลุ่มลึกของนางแล้ว ต้องวางแผนทำอย่างอื่นแน่
เจี่ยงลิ่วไม่ได้คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เขาได้ยินแล้วก็นิ่งงันไปชั่วขณะ “ท่านจวิ้นอ๋องหมายความว่าเวลานี้ฝ่าบาททรงเพ่งเล็งพวกเขาแล้วหรือขอรับ?”
เขาพูดเองแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธก่อน “ไม่สิ หากฝ่าบาทเกิดระแวงขึ้นมาจริง ก็น่าจะกักตัวพวกเขาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะปล่อยพวกเขากลับจวนอ๋องโดยไม่ตรัสอะไรแม้แต่คำเดียวได้อย่างไร? นี่มันปล่อยให้ศัตรูรอดและเก็บคนที่ก่อเหตุเอาไว้ไม่ใช่หรือขอรับ?”
ฉู่ฉีเฟิงยิ้มมุมปาก แต่กลับอุบไว้และไม่พูดอะไรต่ออีก
ถึงแม้ในใจของเจี่ยงลิ่วจะเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย แต่เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามถามต่ออีกเช่นกัน จำเป็นต้องเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นว่า “ซื่อจื่ออ๋องหนานเหอออกจากวังไปแล้ว องค์ชายก็ติดตามฝ่าบาทไปเข้าเฝ้าช่วงเช้าอีก ในวังไม่มีคนสั่งการ ท่านจวิ้นอ๋องจะเข้าไปตอนนี้หรือไม่ขอรับ?”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า ทว่าเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าวกลับชะงักไปอย่างกะทันหันอีก เขาหันตัวกลับไปมองยังทางเดินเล็กที่ผ่านมาเมื่อครู่อีกครั้ง
เจี่ยงลิ่วมองใบหน้าที่เหมือนจะเย็นชาและแข็งกร้าวของเขา พลางลองถามว่า “อาการบาดเจ็บของท่านหญิงไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ?”
ฉู่ฉีเฟิงเม้มปาก แต่กลับไม่ตอบ เขาเงียบไปอีกชั่วครู่ ถึงจะเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไปเรียกเหยียนหลิงจวินมาตรวจดูหน่อยเถอะ!”
พูดจบก็เดินต่อไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมาอีก
เขาไม่ชอบเหยียนหลิงจวิน และยังไม่ชอบที่ฉู่สวินหยางกับเหยียนหลิงจวินสนิมสนมกันเกินไปด้วย เรื่องนี้ต่างไม่ได้เป็นความลับกับทั้งวังบูรพาหรือแม้กระทั่งในเมืองหลวง
เจี่ยงลิ่วตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ เขาอึ้งไปในชั่วพริบตา จนกระทั่งได้สติกลับมาแล้วก็รีบถือร่มตามออกไป
ณ จวนอ๋องรุ่ยชิน
หลังจากฉู่ซินรุ่ยอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไม่ได้นอนทั้งคืน นางดื่มน้ำขิงไปหนึ่งถ้วยแล้วก็ยังนั่งหันหน้าเข้าหาพิณเจ็ดสาย[1] ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างประณีตพลางครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ในห้องดนตรี
เสียงฝนด้านนอกดังมาก ผ่านยามฟ้าสางไปแล้ว บรรยากาศทั้งห้องก็ยังคงมืดครึ้ม
แสงเทียนที่จุดไว้ในห้องตลอดเวลาสาดแสงทแยงมา
ใบหน้าของนางยังคงจริงจังเหมือนเดิม แต่น่าประหลาดที่พอได้เห็นแล้วกลับทำให้รู้สึกแปลกๆ
ชิงเกอเฝ้าอยู่หน้าประตู
วันฝนตกอากาศชื้นมาก แต่ฉู่ซินรุ่ยกลับไม่ให้นางปิดประตู
นางยืนอยู่ใต้ชายคาหน้าประตู กระโปรงจึงเปียกเร็วชื้น นางเผลอหดคอและค่อยๆ ถอยไปใกล้ประตูอีกสองก้าว
ชั่วครู่เดียวก็หนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดท้องฟ้าก็ค่อยๆ เห็นแสงสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านหญิง ฮวนเกอกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงเกอที่กำลังจะทนไม่ไหวแล้วเพราะเปียกชื้นไปทั้งตัวร้องขึ้นมาอย่างดีใจในทันใด นางรีบกางร่มที่วางอยู่ใกล้ประตูและเดินออกไปรับ
ฮวนเกอสวมเสื้อกันฝนตัวหนาหนักที่ทำจากฟางข้าวรีบวิ่งเข้ามาข้างใน
ฉู่ซินรุ่ยที่ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่หลังกู่ฉินได้สติกลับมาทันที แล้วเงยหน้ามองไปทางนางและถามเสียงเบาว่า “ได้มาแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ!” ฮวนเกอพยักหน้า
ชิงเกอช่วยนางดึงเสื้อกันฝนออกโยนไปไกลๆ แล้วนางก็รีบล้วงห่อกระดาษไม่เล็กไม่ใหญ่ออกมาจากในอกเสื้อ และยื่นไปตรงหน้าฉู่ซินรุ่ยอย่างระมัดระวัง
ฉู่ซินรุ่ยรับห่อกระดาษนั้นมาไว้ในมือ แต่กลับไม่แกะออกทันที นางลูบอยู่ในมือครู่หนึ่งด้วยสีหน้าคล้ายจะสับสน
สองสาวใช้เข้าไปช่วยย้ายกู่ฉินออกไปจากบนโต๊ะตรงหน้านาง
ทันใดนั้นฉู่ซินรุ่ยถึงจะตั้งสติกลับมาได้อีกครั้งและยังถามฮวนเกอว่า “ไม่มีใครจับได้ใช่หรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ!” ฮวนเกอเอ่ย “บันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูล[2] นี้วางอยู่ในห้องหนังสือของท่านอ๋อง และไม่มีใครแตะต้องนานมากแล้ว ท่านหญิงวางใจ ข้าระมัดระวังมาก ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
“อืม!” ฉู่ซินรุ่ยพยักหน้า พลางคิดแล้วก็ยังสั่งอีกว่า “พวกเจ้าสองคนไปคอยเฝ้าหน้าประตูไว้ก่อน หากมีคนมาก็บอกข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวใช้ขานรับ แล้วถอยออกไปพร้อมกับปิดประตูด้วยอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งทั้งสองคนออกไปแล้ว ฉู่ซินรุ่ยที่ทำหน้าเยือกเย็นมาตลอดก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในชั่วพริบตา นางรีบร้อนแกะห่อกระดาษนั้นออกและหยิบบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูลที่อยู่ข้างในออกมา พลางรวบรวมสติและเริ่มตั้งใจศึกษาค้นคว้า
คู่หมั้นของซูอี้ต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับนางแน่ ไม่งั้นจะเกิดมามีเงาด้านข้างเหมือนกันแบบนั้นอย่างไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?
ความจริงนางรู้สึกสงสัยตั้งแต่ตอนที่อยู่ในวังแล้ว เพียงแต่ยังไม่ว่างสืบเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทว่าแค่คำพูดที่ฉู่อี้เจี่ยนพูดกับซูอี้ตอนที่แยกกันนั้นก็ดูออกได้ว่า…
ฉู่อี้เจี่ยนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
แต่ฉู่อี้เจี่ยนกลับไม่รีบไปเปิดดูบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูล คิดดูแล้วเขาคงคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว
นางรู้นิสัยพี่ชายของตนเองคนนี้เป็นอย่างดี การปรากฏตัวของผู้หญิงคนนี้…
ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องรู้ตัวตนของผู้หญิงคนนั้นให้เร็วที่สุดและประเมินนางคร่าวๆ มาถึงเวลานี้แล้วจะไม่ยอมให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นทั้งนั้น
ณ พระราชวังหลวง
หลังจากเลิกเข้าเฝ้าตอนเช้าแล้ว ฉู่อี้อันก็ไปจัดการปัญหาที่ตกค้างจากเหตุโค่นล้มบัลลังก์เมื่อคืนให้เรียบร้อย
หลี่รุ่ยเสียงเรียกราชรถมาและคุ้มกันฮ่องเต้กลับตำหนักทันที
ฮ่องเต้ก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเช่นกันจึงรู้สึกเหนื่อยล้า อีกทั้งช่วงนี้ร่างกายของเขายิ่งทรุดหนักลงทุกที ตอนที่ขันทีคอยประคองทั้งซ้ายและขวาเดินลงจากราชรถนั้น กระทั่งฝีเท้าก็เหมือนจะแกว่งไปด้วย
หลี่รุ่ยเสียงเดินตามอยู่ข้างหลังเขาไม่กี่ก้าวและยืนมองภาพเงาด้านหลังของฮ่องเต้อยู่ตรงระเบียง
หน้าตาของเขานิ่งเรียบเช่นเคย ปกติแล้วเขาแสดงอารมณ์ออกมาน้อยมาก แต่กลับเพราะควบคุมสีหน้านี้ได้เหมาะสม จึงทำให้คนดูจากหน้าตาของเขาไม่ออกว่ากำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ และแน่นอนว่าก็จะไม่ระวังตัวตามไปด้วย
ข้างหน้านั้นฮ่องเต้เดินช้ามาก เดิมทีร่างกายก็แก่ชราอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งแลดูหลังค่อม
หลี่รุ่ยเสียงมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทันใดนั้นนัยน์ตาที่สงบนิ่งมาตลอดพลันฉายแววมืดมน…
สภาพร่างกายของฮ่องเต้เช่นนี้เหมือนจะยื้อได้อีกไม่นานแล้ว
ทว่าเพียงชั่วพริบตาสีหน้าของเขาก็กลับมานิ่งเรียบอีกครั้ง และเดินตามเข้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็ว
——————————————-
[1] กู่ฉิน
[2] บันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูล เป็นบันทึกแบบตารางที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสืบเชื้อสายตามความสัมพันธ์ทางสายเลือดและเรื่องราวของบุคคลสำคัญในตระกูล เนื้อหาสำคัญประกอบด้วยสามส่วน คือ แผนภูมิการสืบสายตระกูล ชีวประวัติของคนในตระกูล และภาคผนวก