เมื่อมองเห็นภาพที่อยู่บนท้องฟ้า ภายในหุบเขาหุยอินแตกตื่น หลายคนต่างตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนอย่างเชวี่ยเหนียง
วิถีหมากล้อมมีสัจธรรม สำหรับผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากแล้วนี่เป็นวิชาที่จำเป็นต้องเรียน ยกเว้นเหล่าศิษย์ชิงซาน
การประลองหมากล้อมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตย่อมต้องเป็นการประลองอันน่าตกตะลึงระหว่างจิ๋งจิ่วและถงเหยียนในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยกระดานนั้น
หลังจากนั้นถงเหยียนเก็บตัวไม่ออกมา จิ๋งจิ่วหายตัวไปไม่พบร่องรอย นี่ยิ่งทำให้หลายคนพากันรู้สึกเสียดาย บอกว่าโลกนี้ไม่มีหมากที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นอีกแล้ว
ใครจะไปคิดบ้างว่าภายในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง จิ่งจิ่วและถงเหยียนจะได้มาเจอกันอีกครั้ง อีกทั้งยังประลองหมากล้อมกันในฐานะฮ่องเต้แคว้นฉู่และรัฐทายาทจิ้งอ๋องอีกด้วย
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปบนท้องฟ้า มองดูพระราชวังที่อยู่ในพายุหิมะ ศาลาเล็กๆ ที่มีหิมะทับถมลงมา กระดานหมากล้อมที่อยู่ใต้ศาลาและคนสองคนที่นั่งเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ ดูเร่าร้อนเป็นอย่างมาก
นกชิงเหนี่ยวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ อยู่ห่างไกลจากพระราชวัง นางรู้ว่าคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอยากจะดูอะไร นางจึงขยายกระดานหมากล้อมให้ใหญ่จนเต็มภาพ
ลายเส้นและตัวหมากสีดำที่ส่องประกายบนกระดานหมากล้อมปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน
จิ๋งจิ่วยื่นนิ้วออกไปสองนิ้ว คีบหมากสีขาววางไว้บนกระดานเม็ดหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวล ไม่มีเสียงใดๆ แต่คนที่กำลังชมอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงกลับคล้ายได้ยินเสียงฟ้าคำราม
หลังจากนั้น ถงเหยียนใช้นิ้วสามนิ้วคีบหมากสีดำขึ้นมาเม็ดหนึ่ง จากนั้นวางลงไปบนกระดานอย่างสบายๆ
หมากเพียงแค่สามตัวย่อมไม่อาจถือว่ายอดเยี่ยมอะไรได้ การเคลื่นไหวเองก็เรียบง่ายสบายๆ แต่กลับทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินต่างรู้สึกว่าไม่เสียทีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้
การประลองหมากล้อมของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนกระดานนั้นเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว รายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเขาฉีผานครั้งนั้นไม่รู้ว่าถูกพูดถึงกี่ครั้ง
ทุกคนจำได้ดีว่าวิธีการวางหมากของจิ๋งจิ่วเป็นเช่นนี้ แล้วก็จำได้ถึงท่าทางในการวางหมากของจิ๋งจิ่ว ต่างก็ไม่ได้เห็นมานานแล้ว
เชวี่ยเหนียงยืนสองมือกอดอก จ้องมองภาพที่อยู่บนท้องฟ้า ดวงตาไม่กระพริบ เผยให้เห็นประกายที่อยู่ในดวงตา
เซี่ยงหว่านซูมองดูท่าทางที่ตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยของนาง มุมปากยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
จู่ๆ เชวี่ยเหนียงพลันมีสีหน้างุนงง กล่าวว่า “นี่มันอะไรกัน?”
เซี่ยงหว่านซูตกใจเล็กน้อย มองไปบนท้องฟ้า
หลังจากนั้นก็มีเสียงอุทานไม่เข้าใจดังขึ้นมา
มิได้เป็ฯเพราะในตาที่สี่จิ๋งจิ่วเดินหมากแปลกๆ ที่ไม่มีใครมองออก หากแต่เป็นเพราะว่าจู่ๆ ภาพที่อยู่บนท้องฟ้าก็ดูเลือนรางขึ้นมา ไหนเลยยังจะมองเห็นกระดานหมากล้อมนั้นอีก
นกชิงเหนี่ยวดึงสายตากลับมา ภาพที่ดูเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เป็นใบหน้าใบหน้าหนึ่ง
คนผู้นั้นยืนอยู่หน้านกชิงเหนี่ยว มีผาขาวปิดปากและจมูก เผยให้เห็นเพียงดวงตา ดวงตาเปล่งประกายเป็นอย่างมาก แต่กลับให้ความรู้สึกไม่มีชีวิตชีวา
……
……
“ถอยไปสิ!”
เชวี่ยเหนียงไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร จึงตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนใจ
ด้านนอกหุบเขาหุยอินมีหลายคนที่ตะโกนขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะได้ยินหรือไม่
เสียงตะโกนที่หงุดหงิดและเสียงด่าทอค่อยๆ สงบลง กลายเป็นเสียงฮือฮาดึงขึ้นมา เพราะมีคนที่จำคนผู้นั้นได้
ชายที่มีผ้าขาวปิดบังใบหน้าผู้นั้นคือนักฆ่าที่น่ากลัวที่สุดในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง แต่ในโลกความเป็นจริงเขากลับเป็นสัตว์ประหลาดของสำนักชิงซาน
เหตุใดจัวหรูซุ่ยถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองหลวงของแคว้นฉู่ได้? ยิ่งไปกว่านั้นจิ๋งจิ่วและถงเหยียนยังอยู่ในวัง เหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ภูเขาตะวันตก ยืนอยู่ตรงหน้านกชิงเหนี่ยวได้?
หิมะตกลงมาอย่างเงียบๆ ภูเขาตะวันตกค่อยๆ เย็นยะเยือก
จัวหรูซุ่ยยืนอยู่บนพื้นหิมะ มองดูนกชิงเหนี่ยวที่อยู่บนกิ่งไม้ตัวนั้น มิได้กล่าวกระไร
เมื่อถูกเขายืนขวางอยู่ นกชิงเหนี่ยวย่อมไม่สามารถฉายภาพกระดานหมากล้อมที่อยู่ในศาลาให้คนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงดูได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นเชวี่ยเหนียงหรือว่าผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นก็ล้วนแต่มิได้พูดอะไร เพราะทุกคนล้วนแต่คาดเดาได้ว่าเขาจะต้องมีเหตุผลของเขาอยู่อย่างแน่นอน
เขากับนกชิงเหนี่ยวยืนอยู่ใกล้กันมาก มองเห็นดวงตาได้ชัดเจน ยังคงเป็นดวงตาที่สงบและน่ากลัว
เชวี่ยเหนียงมองดูดวงตาคู่นี้ในท้องฟ้า ในหัวพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากนั้น หลายๆ คนรวมทั้งเซี่ยงหว่านซูก็คิดได้ถึงความเป็นไปได้นี้
ด้านนอกหุบเขาหุยอินพลันเงียบสงัดขึ้นมา เงียบสงัดเสียยิ่งกว่าภูเขาตะวันตกที่มีหิมะตกลงมาเสียอีก
จิ๋งจิ่วสั่งให้ถงเหยียนเข้ามายังเมืองหลวง จัวหรูซุ่ยพลันปรากฏตัว เป็นไปได้อย่างมากว่านี่จะเป็นเรื่องที่ตกลงกันมาก่อนล่วงหน้า
พวกเขาจะร่วมมือกันกำจัดถงเหยียน
ถงเหยียนเป็นผู้แสวงมรรคาที่เฉลียวฉลาดที่สุดของสำนักจงโจว หากสามารถฆ่าเขาได้ นั่นย่อมต้องเป็นเรื่องดีต่อการที่สำนักชิงซานจะชิงเอายันต์เซียนวัฒนะ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ริมทะเลสาบชางโจว จัวหรูซุ่ยเคยพยายามแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ว่าหลังจากที่จิ๋งจิ่วเข้ามาในดินแดนแห่งความฝัน เขาก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปัญญาอ่อน เหตุใดจู่ๆ ถึงทำการเปลี่ยนแปลงอย่างมากขนาดนี้?
หากนี่เป็นแผนการที่สำนักชิงซานวางขึ้นมาเพื่อสังหารถงเหยียน จัวหรูซุ่ยย่อมต้องคอยจับตาดูนกชิงเหนี่ยวเอาไว้ อย่างน้อยก็ต้องได้รับการรับรองบางอย่างจากนาง
นกชิงเหนี่ยวคือดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง หากนางอยากจะแอบช่วยศิษย์ของสำนักตัวเอง ต่อให้จิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะสังหารถงเหยียนได้
“ครั้งที่แล้วเจ้าไม่ได้ทำแบบนี้ ดูแล้วนี่คงเป็นความคิดของจิ๋งจิ่วสินะ? ข้าไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับการแสวงมรรคา ข้าเพียงแต่อยากจะเตือนเจ้าว่า หากคิดจะฆ่าคนก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะถูกคนฆ่าด้วย”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ นกชิงเหนี่ยวก็บินออกไปจากกิ่งไม้ บินไปทางพระราชวัง
ผู้คนที่อยู่ในด้านนอกหุบเขาหุยอินได้ยินคำพูดประโยคนี้ นี่ก็คือคำสัญญาของสำนักจงโจว
จัวหรูซุ่ยหายตัวไปในพายุหิมะ
ภาพที่อยู่บนท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงไปตามการบินของชิงเหนี่ยว
รายละเอียดทุกอย่างในพระราชวังและเมืองหลวงของแคว้นฉู่
ด้านนอกหุบเขาหุยอินมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
ยอดฝีมือจำนวนมากที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านแต่บนร่างกายกลับมีอาวุธเหล่านั้นน่าจะเป็นนักรบเดนตายที่ทางชางโจวรวบรวมเอาไว้?
ทหารหลวงแคว้นฉู่ที่เตรียมพร้อมเหล่านั้น สุดท้ายจะฟังคำสั่งใคร?
เหมือนดั่งที่นกชิงเหนี่ยวว่าไว้ ถงเหยียนกล้าเข้ามาในวัง เขาย่อมต้องมีความมั่นใจอยู่ หรือเขาเองก็คิดที่จะทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับการโจมตีครั้งนี้เช่นกัน?
มือทั้งสองข้างที่กอดอกอยู่ของเชวี่ยเหนียงยิ่งกอดแน่นขึ้น ครั้งนี้มิใช่ตื่นเต้นหรือวิตกกังวล หากแต่เป็นห่วง
หมากล้อมที่อยู่ในศาลากระดานนั้น ที่แท้อันตรายถึงเพียงนี้เลยอย่างนั้นหรือ
ภาพบนท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน
นั่นคือลานที่อยู่ในวัง ปกคลุมไปด้วยหิมะ ด้านบนมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง
คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ ยืนอยู่บนพื้นหิมะ ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
เขาคือมั่วกง
เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้
ใครจะไปคิดบ้างว่ามั่วกงจะตามรัฐทายาทของจิ้งอ๋องเข้ามายังเมืองหลวง หรือเขาจะมาสังหารฮ่องเต้?
มั่วกงพลันเงยหน้ามองท้องฟ้า
ทุกคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงต่างมองเห็นดวงตาของเขา
ผู้บำเพ็ญพรตไม่เคยสนใจคนที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันเหล่านั้น เรียกได้ว่าไม่ได้มองพวกเขาเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่จริงๆ เสียด้วยซ้ำ
มั่วคงคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งความฝัน แต่สภาวะของเขาก็อยู่แค่ในขั้นจิตก่อรูปขั้นต้นเท่านั้น
แต่เมื่อมองดูดวงตาของคนผู้นี้ ผู้คนที่อยู่ในหุบเขาหุยอินกลับเกิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจอย่างรุนแรง คล้ายถูกคนผู้นี้มองจนทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น
นกชิงเหนี่ยวเองก็มองเห็นดวงตาของมั่วกง
มันบินลงไปเกาะบนแผ่นกระเบื้องหลังคาของตำหนัก มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา จากนั้นมองไปยังศาลา
การประลองหมากล้อมภายในศาลาได้เริ่มมาสักพักแล้ว
บนกระดานมีตัวหมากวางกระจัดกระจายอยู่ยี่สิบกว่าเม็ด ดูสะเปะสะปะ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ แล้วก็ไม่มีหมากไหนอยู่ติดกัน
จิ๋งจิ่วพลันมองไปยังอีกด้านหนึ่งในพายุหิมะ
ถงเหยียนมองตามไป เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “มีคนกำลังบรรลุสภาวะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ทำลายทัณฑ์สวรรค์น่ะ”
…………………………………………………………………