มั่วกงคือคนที่มีสภาวะสูงที่สุดในโลกนี้
ความจริงนี้ชัดแจ้งเหมือนอย่างตัวเขาที่สวมชุดสีดำ ยืนอยู่ในพระราชวังที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาว เพียงแค่เหลือบมองก็สามารถมองเห็นได้
ตามหลักแล้วเขาไม่ควรจะยืนอยู่ที่นี่ แต่เขายืนอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ใดกล้าไถ่ถาม
บนพื้นหิมะมีรอยกรงเล็บ นั่นคือร่องรอยที่นกชิงเหนี่ยวตัวนั้นบินผ่านไปในท้องฟ้า
มั่วกงไม่ได้มองท้องฟ้าอีก หากแต่มองรอยกรงเล็บเหล่านั้น คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ภายในห้องทำงานที่อยู่ด้านนอกกำแพงวัง มหาบัณฑิตจางมองดูน้ำชาที่ค่อยๆ เย็นลง กำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน
ขุนนางคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าตึงเครียด
หัวหน้าทหารหลวงผลักประตูเดินเข้ามาพร้อมกับเศษหิมะที่ติดตามร่างกาย กล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “คนจากชางโจวถูกจับตาเอาไว้หมดแล้วขอรับ เพียงแต่กังวลว่าทหารเหล่านั้นจะแอบเข้าไปในวังเสียก่อนหรือเปล่า แล้วก็เหล่าชาวบ้านกับบัณฑิตที่มารวมตัวอยู่นอกวังเหล่านั้น หากไม่รีบสลายตัวพวกเขาไป เกรงว่าจะถูกคนหลอกใช้งานได้ขอรับ”
มหาบัณฑิตใช้นิ้วมือผลักถ้วยชาออกห่างจากขอบโต๊ะเบาๆ พลางกล่าวว่า “หากในวังของฝ่าบาทมีความเคลื่อนไหว ทหารหลวงก็ลงมือเลยแล้วกัน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ขุนนางผู้นั้นพลันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาคุกเข่าลงไปตรงหน้ามหาบัณฑิตพลางกล่าวอย่างร้อนใจ “ใต้เท้า ไม่ได้นะขอรับ!”
มหาบัณฑิตมองดูคนผู้นั้น มิได้กล่าวกระไร
ขุนนางคนนั้นกล่าวเสียงขมขื่นเล็กน้อยว่า “ฝ่าบาทรงมีรับสั่งให้รัฐทายาทจิ้งอ๋องเข้าเมืองหลวง สถานการณ์ภายในราชสำนักพลันไม่แน่นอน ความคิดของประชาชนปั่นป่วนวุ่นวาย โอกาสดีๆ แบบนี้จะพลาดไปได้อย่างไรขอรับ?”
คำพูดประโยคนี้มิได้อธิบายอะไร แต่ความหมายกลับชัดเจนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าฮ่องเต้ทรงต้องการสังหารรัฐทายาทจิ้งอ๋อง หรือว่ารัฐทายาทจิ้งอ๋องคิดจะสังหารฮ่องเต้ ราชสำนักก็สามารถฉวยโอกาสจากความวุ่นวายนี้ทำอะไรได้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังเสร็จเรื่องราวแล้วไม่จำเป็นต้องรับโทษใดๆ ด้วย ไม่ว่าดูอย่างไรก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของมหาบัณฑิต เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ
กระทั่งหัวหน้าทหารหลวงก็ยังหวั่นไหว เขามองดูมหาบัณฑิต รอคอยการตัดสินใจสุดท้ายของเขาอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นมหาบัณฑิตยังคงนิ่งเงียบ ขุนนางผู้นั้นเกิดความหวังขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวโน้มน้าวต่ออีกว่า “ต่อให้ฝ่าบาททรงเตรียมการอะไรเอาไว้จริงๆ แต่มั่วกงก็อยู่ในวัง ขอเพียงเขาลงมือ…ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถคลี่คลายได้มิใช่หรือขอรับ?”
“ชีวิตนี้ของพี่มั่วทำเพื่อความยุติธรรม เขาจะมาลงมือเพื่อความเห็นแก่ตัวของพวกเราได้อย่างไร?”
มหาบัณฑิตจางลุกขึ้นเดินไปริมหน้าต่าง มองออกไปยังส่วนลึกของวังที่มองไม่เห็น คิดถึงสหายที่รู้จักกันมาหลายสิบปีผู้นั้น ก่อนจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ด้วยสติปัญญาและความสามารถของรัฐทายาทของจิ้งอ๋อง ในเมื่อสามารถพามั่วกงเข้ามาในวังได้ เขาก็ย่อมสามารถพูดกล่อมให้มั่วกงลงมือได้ วันนี้นับเป็นโอกาสที่ดีมากจริงๆ ต่อให้ฝ่าบาทจะทรงมีสติปัญญาที่ลึกซึ้งเพียงใดแอบซ่อนอยู่ พระองค์ก็ไม่มีทางที่จะต้านทานพายุหิมะครั้งนี้ได้ แต่เหตุใดตัวเขาถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ?
สายตาเขามองทะลุพายุหิมะและกำแพงวังเข้าไป คล้ายว่ามองภาพมั่วกงที่กำลังยืนอยู่บนพื้นหิมะ รับรู้ได้ว่าตรงนั้นมีเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งกำลังเกิดขึ้น
มั่วกงยืนอยู่ในพายุหิมะ แล้วก็มีหลายคนที่ยืนอยู่ในพายุหิมะเช่นเดียวกัน
อย่างเช่นชาวบ้านและบัณฑิตที่มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกวังยืนตะโกนร้องไห้อยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ขอร้องฝ่าบาทให้ทรงรับรองความปลอดภัยของรัฐทายาท เพื่อไม่ให้แคว้นฉู่ต้องไปตกอยู่ในไฟสงครามที่น่ากลัว อย่างเช่นทหารม้าที่เตรียมพร้อมอยู่ในถนนเล็กๆ เหล่านั้น อย่างเช่นยอดฝีมือของชางโจวที่เตรียมจะบุกเข้าไปในวัง ในสถานที่ที่อยู่ห่างออกมาจากตำหนักไม่ไกล ขันทีสองสามคนที่ตอนตัวเองเพื่อเข้ามาในวังเมื่อสิบปีก่อนต่างอาศัยพายุหิมะอำพรางกาย ค่อยๆ คืบเข้าไปใกล้ นอกจากถงเหยียนและตัวพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคือนักรบที่ชางโจวส่งเข้ามาในวัง
เรื่องราวและผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงของแคว้นฉู่ในวันนี้ก็เหมือนกับรอยเท้าที่นกชิงเหยี่ยวจงใจทิ้งเอาไว้ในพื้นหิมะ ตะวันออกที่หนึ่ง ตะวันตกที่หนึ่ง ดูแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ความจริงแล้วมันกลับมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นและมหัศจรรย์อย่างมากอยู่
สุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้จะกลายเป็นอย่างไร สุดท้ายคนเหล่านี้จะเป็นหรือตาย ก็ล้วนแต่ต้องรอให้หมากกระดานนั้นจบลง
แต่ในเวลานี้หมากกระดานนั้นหยุดลงชั่วคราว
ถงเหยียนมองไปในพายุหิมะที่อยู่ไกลออกไป คิ้วที่คมเข้มราวกระบี่เลิกขึ้นมา
ที่นี่คือดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง มิใช่โลกแห่งความเป็นจริง ผู้บำเพ็ญพรตที่นี่ไม่สามารถบรรลุกลายเป็นเซียนได้ เหตุใดถึงมีทัณฑ์สวรรค์ปรากฏขึ้นมา? จากนั้นเขาคิดถึงคำพูดประโยคนั้นที่เคยได้ยินตอนที่เพิ่งเข้ามาในโลกนี้เมื่อหลายปีก่อน —- สภาวะในการบำเพ็ญเพียรสูงสุดของโลกนี้คือขั้นจินตันบริบูรณ์ไปจนถึงจิตก่อรูปขั้นต้น หรือก็คือคเนจรขั้นต้น ไม่สามารถบรรลุสูงขึ้นไปกว่านั้นได้อีก
สาเหตุที่มีเค้าลางว่าจะมีทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้น หรือจะเป็นเพราะในโลกนี้มีคนกำลังจะสัมผัสกับสภาวะที่อยู่เหนือขั้นจิตก่อรูประดับต้น?
ภายในคันฉ่องฟ้ากระจ่างน่าจะเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ที่นี่มิได้มีชีวิตจริงๆ ดูแล้วคงจะถูกทำลายทิ้งไปจนหมด
แต่ว่าครั้งนี้…ถงเหยียนรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังจากในพายุหิมะทางด้านนั้น อารมณ์ค่อนข้างสับสน เพราะเขารู้ว่าคนที่กำลังจะทำลายทัณฑ์สวรรค์คือใคร
มั่วกงเป็นกวีชื่อดัง แล้วก็เป็นนักเขียนพู่กันชื่อดัง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีสภาวะสูงที่สุดในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา
เขาเป็นสหายต่างอายุของถงเหยียน แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของมหาบัณฑิตจาง วันนี้เขามายังเมืองหลวงของแคว้นฉู่ มิใช่เพื่อสังหารฮ่องเต้ หากแต่เพื่อความสงบสุขของใต้หล้า
แต่ก็เหมือนกับที่มหาบัณฑิตจางคิดเอาไว้ ในเมื่อถงเหยียนสามารถกล่อมให้เขามายังเมืองหลวงได้ เช่นนั้นก็จะต้องมีวิธีพูดกล่อมให้เขาลงมือสังหารจิ๋งจิ่วอย่างแน่นอน
เพียงแต่ในเวลานี้ถงเหยียนลังเล
หากมั่วกงเลือกที่จะทำลายทัณฑ์สวรรค์ เขาจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นจะส่งผลกระทบต่อแผนการเขาอย่างร้ายแรง
ไม่ว่าจะยืนอยู่ในมุมของมั่วกงหรือว่าในมุมของเขา ก็คล้ายว่าเขาควรจะหาวิธีทำให้มั่วกงไม่ไปเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์
ปัญหาอยู่ที่ว่าถงเหยียนเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่ง เขาเข้าใจดีถึงความรู้สึกที่มองเห็นมหามรรคาอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เรียกว่ารู้แจ้งตอนเช้า สิ้นชีวิตตอนเย็นก็ไม่เสียดายนั้นก็หมายความเช่นนี้ เขาไม่อยากให้มั่วกงต้องพลาดโอกาสนี้ไปเพราะตนเอง
“เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
ถงเหยียนพลันมองไปทางจิ๋งจิ่วพลางถาม คำถามนี้ย่อมมิได้หมายถึงการเดินหมากตาต่อไป หากแต่หมายถึงการเลือกของมั่วกง
จิ๋งจิ่วมองเขา มิได้กล่าวกระไร
สำหรับเขาแล้วนี่มิใช่เรื่องที่ต้องเลือกเลย เดิมชีวิตก็ควรจะมุ่งหน้าไปทางนั้นอยู่แล้ว
ลมพายุยิ่งแรงขึ้นทุกขณะ ภาพในพระราชวังยิ่งเลือนลางขึ้นทุกขณะ
เวลาไหลไปอย่างเชื่องช้า
มั่วกงยืนอยู่ในพื้นหิมะ ยังคงไม่เคลื่อนไหว
จิ๋งจิ่วขยับแล้ว
เขาหยิบเอาหมากสีดำเม็ดหนึ่งวางลงไปบนกระดานหมอกล้อม
เปรี้ยง!
สายฟ้าขนาดใหญ่สายหนึ่งพลันผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า ทะลุผ่านเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนลงมาในวัง!
ด้านนอกวังมีเสียงอุทานตกใจจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา ผู้คนแตกตื่น
ร่างกายถงเหยียนแข็งเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าอะไร
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไปดูหน่อย”
หลิ่วสือซุ่ยมองถงเหยียน ก่อนจะถือร่มเดินออกไปจากประตูวัง มาถึงในลานของวังหลวง
คำสั่งปิดวังได้ถ่ายทอดลงมาแล้ว ถึงแม้จะมีสายฟ้าฟาดลงมา แต่ด้านนอกวังก็ได้ตกอยู่ในความวุ่นวายเป็นอย่างมาก ยังคงไม่มีใครเข้ามาในวัง
พื้นหิมะที่เหมือนพรมสีขาวมีรอยแตกปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง คล้ายว่าถูกไฟเผาจนแตกอย่างไรอย่างนั้น รอบด้านมีรอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน
ขอบเสื้อผ้าของมั่วกงมีรอยไหม้ มองดูท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ในดวงตาไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความปรารถนาที่จะต่อสู้ มือขวาวางลงบนกระบี่
หลิ่วสือซุ่ยมองเขาอย่างเงียบๆ รอเขาทำการตัดสินใจสุดท้ายออกมา
……
……
ปีกแหวกหิมะ ชิงเหนี่ยวบินมา ร่อนลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
มันไม่ได้ไปดูมั่วกงที่อยู่ในพื้นหิมะ ดังนั้นผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินจึงไม่เห็นภาพสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้น
มันเองก็ไม่ได้มองไปยังตัวหมากที่อยู่บนกระดานเหล่านั้น หากแต่มองไปทางจิ๋งจิ่ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยและสับสน
……………………………………………………………..