ภาคที่ 4 ตอนที่ 130 หวาดกลัวว่าเรื่องเศร้าจะซ้ำรอยในชีวิตข้า

มรรคาสู่สวรรค์

นกชิงเหนี่ยวมองจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ต้องมองข้า ไม่เกี่ยวกับข้า”

ถงเหยียนมองนกชิงเหนี่ยว

นกชิงเหนี่ยวพูดภาษามนุษย์ออกมา “ไม่ต้องมองข้า ไม่เกี่ยวกับข้า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ แม้แต่จิ๋งจิ่วก็ยังมองไปทางนกชิงเหนี่ยว

ที่นี่คือดินแดนแห่งความฝันที่อยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ทุกสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับเจ้า

นกชิงเหนี่ยวกล่าวว่า “ข้าเป็นดวงจิตคันฉ่อง มิใช่กฎ”

คำพูดประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้ง นางไม่ได้อธิบายทั้งหมด ทิ้งเอาไว้ให้จิ๋งจิ่วและถงเหยียนครุ่นคิด

จิ๋งจิ่วไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ต่อเรื่องนี้ เขากล่าวกับถงเหยียนว่า “ต่อ”

ไม่ว่าจะเป็นการทำลายทัณฑ์สวรรค์หรือว่าผ่านทัณฑ์สวรรค์ เผชิญหน้าหรือว่าล้มเลิก นั่นล้วนแต่เป็นการตัดสินใจของมั่วกง

ตอนที่เขาวางหมากสีดำก่อนหน้านี้ บนท้องฟ้าก็มีสายฟ้าฟาดลงมาสายหนึ่ง ในตอนนี้ถึงตาถงเหยียนแล้ว

ถงเหยียนมองเข้าไปในส่วนลึกของพายุหิมะ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้สามนิ้วคีบหมากสีขาวเม็ดหนึ่งวางลงไปบนกระดาน

นกชิงเหนี่ยวเดินไปบนกระดานหมากล้อม ใช้อุ้งเท้าขวาเขี่ยหมากสีขาวเม็ดนั้น ทำให้ตำแหน่งของมันตรงขึ้นกว่าเดิม ก่อนกล่าวต่อว่า “ทำไมถึงยังโง่เหมือนตอนเด็กๆ อีก?”

ถงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หากข้าโง่ แล้วเจ้าเรียกอะไร?”

เห็นได้ชัดว่าถงเหยียนกับนกชิงเหนี่ยวรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีด้วย จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ หยิบหมากเม็ดสีดำเม็ดหนึ่งวางลงไป

ถงเหยียนวางหมาก

จิ๋งจิ่ววางหมาก

มือสองข้างวางหมากอย่างต่อเนื่อง

ตัวหมากบนกระดานมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

นกชิงเหนี่ยวเดินไปมาบนกระดาน ฝีเท้าแผ่วเบา คล้ายกำลังเต้นระบำอย่างไรอย่างนั้น

ภาพนี้ดูงดงาม

แต่เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินเหล่านั้นต่างมองไม่เห็น แล้วก็มองไม่เห็นพายุหิมะที่ตกลงมาในพระราชวัง แล้วก็ยังมีสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะๆ พวกเขามองเห็นแค่สิ่งที่นกชิงเหนี่ยวมองเห็น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความตั้งใจของชิงเหนี่ยว นางไม่อยากให้คนที่อยู่ในโลกภายนอกทราบเรื่องที่มั่วกงพบเจอทัณฑ์สวรรค์ โดยเฉพาะนักพรตไป๋

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงต่างรู้ว่าสถานการณ์ภายในเมืองหลวงของแคว้นฉู่กำลังตกอยู่ในความตึงเครียด แต่ในช่วงเวลาสิบกว่าวันมานี้ พวกเขาได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกภายในคันฉ่องฟ้ากระจ่างแล้ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ การเปลี่ยนแปลงตัวกษัตริย์ เรื่องเหล่านี้ยากที่จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของพวกเขาได้ พวกเขาเพียงแต่อยากดูการประลองหมากกระดานนี้

เพียงแต่เมื่อได้ยินเสียงคำรามที่ฟังดูทุ้มต่ำและอัดอั้นตันใจที่ดังออกมาจากในภาพเป็นระยะๆ ทำให้พวกเขานึกสงสัยว่าหิมะตกหนักขนาดนี้ เหตุใดถึงมีเสียงฟ้าร้องได้?

……

……

การประลองหมากกระดานนี้ของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนไม่เหมือนกับการประลองบนเขาฉีผานเมื่อในอดีต

การประลองครั้งนั้นเรียกได้ว่าเป็นการประลองที่สะเทือนฟ้าดิน นั่นเป็นเพราะทั้งสองแผ่จิตสังหารอันน่าหวาดกลัวไปบนกระดาน ทุกครั้งที่วางหมาก ฟ้าดินจะตอบสนอง ลมฝนโหมกระหน่ำ สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ส่งเสียงร้องคำราม

วันนี้ภายในวังมีพายุหิมะ แล้วก็มีเสียงฟ้าคำรามเช่นเดียวกัน แต่การประลองกลับราบเรียบและนุ่มนวล เรียกได้ว่าเฉยชา

ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าน้ำมีรสชาติเป็นอย่างไร แล้วก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับรู้ได้ถึงความยอดเยี่ยมของหมากกระดานนี้

จิ๋งจิ่วและถงเหยียนวางหมากตามสบาย แต่คนที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินกลับมีสีหน้าสับสน มองไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังเล่นอะไรกัน

มีเพียงเชวี่ยเหนียงที่จ้องมองภาพบนท้องฟ้า ใบหน้าแดงเรื่อ ร่างกายสั่นเทาเบาๆ คล้ายดื่มสุราฤทธิ์แรง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที คล้ายกับดื่มมากไป คิดอยากจะอาเจียนออกมา

นางได้ที่หนึ่งในการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทางวิถีหมากล้อม มีเพียงนางที่มองหมากของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนออก

นางตกตะลึงเมื่อพบว่าฝีมือของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนเหนือไปจากเมื่อปีก่อนนั้น

เซี่ยงหว่านซูยิ้มเจื่อนไม่กล่าวกระไร ในใจครุ่นคิดตนเองก็ถือว่าเป็นผู้ที่รู้เรื่องหมาก แต่วันนี้ได้แต่ต้องอาศัยปฏิกิริยาของเชวี่ยเหนียงมาวิเคราะห์สถานการณ์บนกระดาน ช่างน่าขันจริงๆ

ผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ รู้ตัวขึ้นมา หลังจากจิ๋งจิ่วและถงเหยียนวางหมากลงไป พวกเขาก็ไม่มัวมานั่งคิดอย่างยากลำบากอีก หากแต่มองไปทางเชวี่ยเหนียงทันที

ด้านนอกหุบเขาหุยอิน คนจำนวนนับไม่ถ้วนมองสลับไปมาระหว่างเชวี่ยเหนียงและท้องฟ้า ภาพที่อยู่บนท้องฟ้าคล้ายคลึงกับการประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น แต่กลับสนุกและน่าสนใจมากกว่า

การประลองหมากภายในศาลาเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน ปฏิกิริยาของเชวี่ยเหนียงน้อยลงเรื่อยๆ ผู้คนยากจะวิเคราะห์รูปหมากจากสีหน้าของนางได้

นางจ้องมองภาพที่อยู่บนท้องฟ้า ปีกจมูกขยับเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ใบหน้าเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดงเรื่ออีกครั้ง สายตาเปลี่ยนจากผิดหวังเป็นแน่วแน่

……

……

ขันทีสองสามคนนั้นกำลังรอคำสั่ง

นักรบเดนตายของชางโจวที่อยู่นอกวังและสายลับที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนก็กำลังรอคำสั่งอยู่เช่นกัน

พระราชวังป้องกันแน่นหนา วางเปล่าไร้ผู้คน

ภายในพายุหิมะ หลิ่วสือซุ่ยถือร่ม มองดูมั่วกงที่ยืนอยู่ในลาน

เขาไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงให้ตัวเองมาดูอะไร แต่ในเมื่อภายในวังมีเพียงคนผู้นี้ อย่างนั้นก็มาดูเสียหน่อย

ชายชุดดำนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สภาวะลึกล้ำมิอาจประมาณได้ หากอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรฝ่าบาท เขาไม่มีทางหยุดเอาไว้ได้แน่ เกรงว่าเพียงสองกระบวนท่าก็คงถูกสังหารแล้ว

ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ทำอะไร? เป็นคนปัญญาอ่อนอย่างนั้นหรือ?

หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงว่าตนเองก็ลืมเรื่องราวไปหลายเรื่อง ถือเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่งเช่นกัน จึงอดรู้สึกเห็นใจคนผู้นี้ขึ้นมาไม่ได้

มั่วกงย่อมมิใช่คนปัญญาอ่อน เขาเป็นคนที่มีสภาวะสูงส่งที่สุดในโลกนี้ แล้วก็เป็นคนที่มีปัญญาและความเมตตามากที่สุดในโลก

สติปัญญานั้นเป็นสิ่งที่ดี ความเมตตาเองก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อมีทั้งสองอย่างอยู่ บางครั้งการที่ต้องเลือกก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากขึ้นมา

ตอนนี้มั่วกงกำลังเผชิญกับการเลือกเช่นนี้ ดังนั้นเขาถึงได้นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน

วันนี้เขามายังพระราชวังของแคว้นฉู่ตามคำเชิญของรัฐทายาทของจิ้งอ๋อง ขณะเดียวกันก็คิดอยากจะช่วยเส้าเยวี่ย

ใต้หล้านี้ ฉิน จ้าว ฉู่เป็นสามแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุด

หากทั้งสามแคว้นนี้สามารถรักษาสมดุลของอำนาจในเวลานี้เอาไว้ได้ ไฟสงครามก็ยากที่จะลุกโชนขึ้นมา ประชาชนนับล้านก็จะใช้ชีวิตอยากสงบสุขต่อไป แคว้นฉินและแคว้นจ้าวไม่จำเป็นต้องกังวลใจ รัชทายาทที่ดุร้ายป่าเถื่อนผู้นั้นกับเก้าพันปีที่ดูลึกลับน่าหวาดกลัวผู้นั้นไม่มีทางทำอะไรผิดพลาด มีเพียงฮ่องเต้ปัญญาอ่อนแห่งแคว้นฉู่ผู้นี้ที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

เขากังวลว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่จะมิได้ปัญญาอ่อนจริงๆ

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ในตอนที่ราชสำนักแคว้นฉู่ปลอดภัยมั่นคงที่สุด ฮ่องเต้ปัญญาอ่อนผู้นั้นพลันสั่งให้รัฐทายาทของจิ้งอ๋องเข้ามายังเมืองหลวง

เขาคิดจะอาศัยความวุ่นวายในการชิงเอาอำนาจมา โดยไม่กลัวว่าจะทำให้อาณาจักรเกิดสงครามภายในอย่างนั้นหรือ?

วิธีการเช่นนี้เรียกได้ว่าบ้าระห่ำเป็นอย่างมาก คนปัญญาอ่อนไหนเลยจะทำได้?

ดังนั้นเขาจึงฝ่าพายุหิมะมาที่นี่ เพื่อจะสังหารฮ่องเต้ผู้นี้ สร้างความสุขสงบให้แก่แผ่นดิน

ใครจะไปคิดบ้างว่าในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ จู่ๆ เขาจะรู้แจ้งความลับบางอย่างของสวรรค์

ตอนที่นกชิงเหนี่ยวบินผ่านไป มันได้ทิ้งรอยกรงเล็บที่ยุ่งเหยิงเอาไว้บนพื้นหิมะและในใจเขา

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า คล้ายมองเห็นอีกโลกหนึ่ง

บนท้องฟ้าที่อึมครึมและมีหิมะตกคล้ายจะมิใช่ความจริง คล้ายว่า….สามารถใช้กระบี่ฟันเปิดออกได้?

ในชั่วพริบตาที่มั่วกงเกิดความคิดที่ขึ้นในใจ บนท้องฟ้าที่มีหิมะตกโปรยปรายเริ่มมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา

ตอนนี้เขาเผชิญหน้ากับการเลือกอย่างหนึ่ง

สะบั้นกระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า

หรือว่า

หมุนตัวกลับไปสังหารฮ่องเต้

เขารู้ว่าในศาลาหลบหิมะที่อยู่ด้านข้างตำหนักที่อยู่ไม่ไกล ฮ่องเต้และรัฐทายาทของจิ้งอ๋องผู้นั้นกำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่

บนท้องฟ้ายังคงมีสายฟ้าและฟ้าคำรามดังขึ้นมาไม่หยุด เสียงที่ดังสนั่นดังเข้าไปในหูอย่างไม่ขาดสาย

สายฟ้าบ้างใหญ่บ้างเล็ก ผ่าลงมารอบกายเขา หิมะถูกละลายหายไป พื้นหินที่ปรากฏขึ้นมาเป็นรอยไหม้ดำกระจัดกระจาย เศษหินปลิวว่อน มีรอยแตกปรากฏขึ้นมา

ในมือมั่วกงถือกระบี่ ดวงตาค่อยๆ มีความเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้นมา

เมื่อเห็นภาพนี้ หลิ่วสือซุ่ยจึงมิหยุดยืนอยู่อีก หากแต่หมุนตัวเดินจากไป

……

……

การประลองหมากภายในศาลามาถึงช่วงสุดท้าย

หลิ่วสือซุ่ยถือร่มกลับมายังริมศาลา ส่ายศีรษะกับจิ๋งจิ่ว

พายุหิมะพลันหายไป สายฟ้าไม่ได้ผ่าลงมาอีก

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ หยิบเอาหมากเม็ดหนึ่งวางลงไปบนกระดาน กล่าวว่า “ข้าชนะแล้ว”

พระราชวังที่ปกคลุมด้วยหิมะเงียบสงัดไร้ซุ่มเสียง

ด้านนอกหุบเขาหุยอินเองก็เช่นกัน

ถงเหยียนมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้เห็นความรู้สึกยินดีใดๆ อยู่ในดวงตาเขา มีเพียงความเหนื่อยล้าและความรู้สึกเสียใจ

น้อยครั้งนักที่จิ๋งจิ่วจะมีอารมณ์เช่นนี้

เขาเหนื่อยล้าเพราะเรื่องอะไร?

แล้วเขานึกเสียใจเพื่อใคร?

รองเท้าเหยียบลงไปในหิมะที่กองสูง ส่งเสียงดังสวบๆ

มั่วกงเดินเข้ามาในประตูวัง

ถงเหยียนนั่งอยู่บนรถเข็น นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

จิ๋งจิ่วมองดูกระดานหมากล้อมพลางกล่าวประโยคหนึ่งว่า

ใครๆ ต่างก็รู้ว่าประโยคนี้เขาพูดให้มั่วกงฟัง

“ประเดี๋ยวในตอนที่เจ้ามองกลับไป หวังว่าเจ้าจะไม่นึกเสียใจกับการตัดสินใจในตอนนี้”

………………………………………………………