มั่วกงเข้าใจความหมายของจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “วิถีต่างกัน”
อยู่ตรงหน้าธรรมวิถี แต่สุดท้ายกลับไม่อาจก้าวหนึ่งก้าวนั้นออกไปได้ นั่นเป็นเพราะเขาห่วงใยใต้หล้า นี่คือสิ่งที่เขายินยอมเสียสละ
จิ๋งจิ่วไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแค่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
แต่สำหรับมั่วกงแล้ว การที่จิ๋งจิ่วสามารถมองออกว่าเขาอยู่ห่างจากธรรมวิถีเพียงก้าวเดียวกลับแสดงให้เห็นถึงปัญหาอย่างหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือปัญหาที่เขากังวลมาโดยตลอดก่อนหน้านี้
ฮ่องเต้ปัญญาอ่อนผู้โด่งดังผู้นี้มิใช่คนปัญญาอ่อนอย่างแน่นอน
“ในอดีตเส้าเยวี่ยเคยพูดถึงฝ่าบาทให้กระหม่อมฟัง กระหม่อมรู้สึกว่าเขาอธิบายไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ตอนนี้ดูแล้ว ในตอนนั้นเขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าฝ่าบาททรงเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง”
มั่วกงมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “แต่เพื่อไพร่ฟ้าในใต้หล้า วันนี้คงต้องขอให้ฝ่าบาทตายจะดีกว่า”
ใต้หล้าคือสิ่งสำคัญ อาณาจักรมิสำคัญเท่า ราชายิ่งมิอาจสำคัญเท่า ดังนั้นท่านตายได้
คำพูดประโยคนี้ดูราบเรียบ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมา ยิ่งใหญ่พอที่จะถูกเขียนลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ได้
จิ๋งจิ่วไม่มีปฏิกิริยาอะไร คล้ายไม่ได้ยิน
หลิ่วสือซุ่ยเองก็เช่นกัน
ถงเหยียนพลันรู้สึกแปลกๆ
ทุกอย่างอยู่ในการคาดการณ์ของเขา
ถึงแม้มหาบัณฑิตจางจะไม่คิดอยากเป็นฮ่องเต้ แต่การจะระงับความคลุ้มคลั่งภายในกลุ่มขุนนางนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและกำลัง ยิ่งไปกว่านั้นทางชางโจวยังตระเตรียมเรื่องต่างๆ มามากมายเพื่อให้ราชสำนักไม่อยู่ว่าง มั่วกงเข้าวัง จิ๋งจิ่วไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตออกไป เหตุใดตอนนี้เขาถึงยังใจเย็นได้ขนาดนี้?
สายตาของถงเหยียนมองไปบนกระดานหมากล้อม ทันใดนั้นพลันมองเห็นกลิ่นอายของความเป็นความตายมากมาย มือขวาพลันกุมมือจับรถเข็นเอาไว้แน่น
เขาเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้!”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าคิดจะฆ่าข้าตั้งแต่แรก ดูเหมือนเวลานี้จัวหรูซุ่ยก็น่าจะมาถึงแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ใช้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
ถงเหยียนกล่าว “จัวหรูซุ่ยยอมเชื่อฟังเจ้า แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกก่อนหน้านี้ เขาเองก็เหมือนกัน สำนักชิงซานช่างร้ายกาจจริงๆ”
เขาคล้ายจะคาดเดาตัวตนขององครักษ์ที่เป็นศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นได้ เพียงแต่ไม่มีหลักฐาน
“การลืมมิใช่เป็นเพราะโลก หากแต่เป็นเพราะกำลังของเวลา”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากไม่สามารถสลัดเวลาทิ้งได้ ก็จะกลายเป็นทาสของเวลาไปตลอดกาล ศิษย์ชิงซานไม่มีทางเป็นทาส”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ มั่วกงคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขากล่าวว่า “สิ่งที่เรียกว่าความปรารถนาก็เป็นโซ่ตรวนเช่นกัน ควรจะถอดทิ้งเหมือนอย่างเสื้อผ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็เป็นหลักการเดียวกัน”
มั่วกงมองไปทางศาลา พบว่าตัวเองมองถึงความตื้นลึกของฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้ไม่ออก เขาพลันกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องดึงดัน? บางทีวันนี้อาจจะมีจุดจบที่ดีกว่านี้”
สิ้นเสียงพูด ลมหนาวพลันม้วนเอาหิมะขึ้นมา เขาหายตัวไปจากจุดที่ยืนอยู่เดิม จากนั้นก็มาอยู่ในศาลา สองมือวางลงบนเก้าอี้เข็นของถงเหยียน
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าหลิ่วสือซุ่ยขึงขังขึ้นเล็กน้อย เขาค่อยๆ วางร่มในมือลง
สภาวะของอีกฝ่ายสูงส่งจริงๆ หากก่อนหน้านี้อีกฝ่ายลงมือกับฝ่าบาท เขาก็ไม่มีทางที่จะหยุดได้เลย
มั่วกงเข็นรถเข็นของถงเหยียนออกไปยังประตูวัง
ล้อรถบดทับไปบนหิมะ ส่งเสียงดังครึกๆ มิได้ฟังดูแย่
“พวกเจ้าล้มเลิกที่ฆ่าข้าได้ แต่ข้าไม่”
เสียงที่ราบเรียบของจิ๋งจิ่วดังขึ้นในศาลา
มั่วกงหยุดฝีเท้า
ถงเหยียนเลิกคิ้วขึ้นมา กล่าวว่า “มหาบัณฑิตไม่มีทางยอมให้เจ้าฆ่าข้า เขาเองก็เป็นคนที่ต้องการมีชื่อบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ เขาย่อมต้องสนใจเรื่องที่ว่าในหน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกเหตุการณ์ในวันนี้เอาไว้อย่างไรแน่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่สนใจ”
ไม่ว่าจะเป็นบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์หรือความคิดของมหาบัณฑิต หรือว่าเรื่องอื่น เขาล้วนแต่ไม่สนใจ
ด้านนอกประตูวังพลันมีเสียงทึบๆ จำนวนมากดังขึ้นมา แล้วก็มีเสียงต่อสู้กัน
ขันทีของชางโจวที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงมาเป็นเวลาสิบกว่าปีนอนอยู่บนพื้นหิมะที่ถูกย้อมจนเป็นสีแดง
เสียงฝีเท้าทึบๆ ดังขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีองครักษ์และราชองครักษ์จำนวนมากน้อยเท่าไรที่ล้อมตำหนักเอาไว้ จากนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา
“ฝ่าบาท ด้านนอกวังสงบลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงใจเย็นก่อน ให้กระหม่อมได้พูดกล่อมมั่วกงให้ออกไปจากวังนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ด้านนอกวังมีเสียงแก่ชราและร้อนใจของมหาบัณฑิตจางดังขึ้นมา
มั่วกงเหลียวหน้ากลับไปมองจิ๋งจิ่วที่อยู่ในศาลา
จิ๋่งจิ่วไม่ได้พูดอะไร
มหาบัณฑิตจางที่อยู่ด้านนอกประตูตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ขอฝ่าบาททรงไต่ตรองด้วย! ขอมั่วกงโปรดไตร่ตรองด้วย!”
ถงเหยียนมองดูประตูวังที่อยู่ไม่ไกลพลางกล่าวว่า “เขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าฆ่าข้า เจ้าเองก็ฆ่าข้าไม่ได้ หากข้าตาย จิ้งอ๋องจะพากองทัพไปสวามิภักดิ์กับแคว้นฉิน ทรัพยากรและกำลังคนที่ข้าเตรียมมายี่สิบปีจะถูกเอาไปมอบให้ไป๋เชียนจวิน เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครหยุดเขาได้อีก เจ้ามีแต่ต้องยอมแพ้เท่านั้น”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าไม่สนใจ”
ถงเหยียนกล่าว “ต่อให้เจ้าเอาชนะบนกระดานได้ ฆ่าข้าได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร? สุดท้ายคนที่ชนะบนกระดานใต้หล้าก็ยังเป็นข้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าประเมินความสำคัญของตัวเองต่ำเกินไป การตัดสินแพ้ชนะสุดท้ายของการแสวงมรรคาครั้งนี้อยู่ที่เจ้ากับข้า อยู่ที่ใต้ศาลา ไม่ได้อยู่ที่ใต้หล้า”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวว่า “ถูกเจ้าวิจารณ์เช่นนี้ กระทั่งข้าก็ยังรู้สึกภูมิใจ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงให้ความสำคัญกับข้าขนาดนี้”
“เจ้าเข้าใจ ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ เวลานี้ก็น่าจะเข้าใจแล้ว ไม่อย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงทิ้งโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป แล้วแอบส่งสัญญาณบอกให้มั่วกงพาเจ้าออกไป?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “….และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ถูกต้อง การให้มั่วกงล้มเลิกการลอบสังหารเป็นความคิดของเขา เพราะเขาคาดเดาถึงเรื่องที่น่าตกตะลึงบางอย่างได้ เขาจำเป็นต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกศิษย์น้องหญิง
ไม่อย่างนั้นการแสวงมรรคาครั้งนี้อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ยากจะคาดคิดบางอย่างขึ้นมาได้
เสียดายที่แม้เขาจะยอมทิ้งโอกาสในการสังหารจิ๋งจิ่วไป แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่คิดจะปล่อยเขาไป
ถงเหยีนมองดูประตูวังที่อยู่ไม่ไกล เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางถาม “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะฆ่าข้าได้?”
จิ๋งจิ่วอยู่ในศาลา หลิ่วสือซุ่ยอยู่ริมศาลา จัวหรูซุ่ยไม่รู้อยู่ที่ไหน
มั่วกงเข็นรถเข็น เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงประตูวัง สามารถออกไปได้ทุกเมื่อ
มั่วกงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ต่อให้พรสวรรค์ของศิษย์ชิงซานจะแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงแม้จะเริ่มบำเพ็ญเพียรทันทีที่ออกมาจากท้องแม่ก็เป็นเวลาแค่ยี่สิบปี แล้วจะเป็นคู่มือของมั่วกงได้อย่างไร?
ถงเหยียนครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ ‘ต่อให้ฆ่าข้าได้ แต่พวกเจ้าก็ต้องตายเช่นเดียวกัน’
ถูกต้อง นี่คือบทสรุปสุดท้าย
หิมะหยุดไปนานแล้ว ลมหนาวส่งเสียงหวีดขึ้นมาอีกครั้ง พัดเอาเมฆครึ้มสลายไป แสงอาทิตย์ที่งดงามและอบอุ่นสาดส่องลงมาในวัง
ด้านนอกวังยังคงมีเสียงการต่อสู้และความวุ่นวายอยู่
เสียงที่ร้อนใจของมหาบัณฑิตดังอยู่ด้านนอกประตูวัง แต่กลับฟังดูคล้ายอยู่ไกลแสนไกล
รอบๆ ศาลาเงียบสงบ
ในโลกแห่งความเป็นจริงก็เงียบสงัดเช่นเดียวกัน
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินต่างมองดูภาพที่อยู่บนท้องฟ้า สีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก รอคอยการปะทะกันซึ่งๆ หน้าเป็นครั้งแรกในงานชุมนุมแสวงมรรคาของสำนักชิงซานและสำนักจงโจว
ถงเหยียนกล่าวว่า “ขอลา”
เสียงของเขาราบเรียบ น้ำเสียงหนักแน่น คล้ายกับแขกผู้มาเยือนบอกลาเจ้าบ้าน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ฆ่า”
เงามืดที่อยู่ตรงประตูวังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มีคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากในเงา จิตสังหารแข็งแกร่งและรุนแรง พุ่งตรงไปยังถงเหยียนที่อยู่บนรถเข็น
เศษหิมะคือผ้าสีขาวที่ปิดบังอยู่บนใบหน้าเขา เงามืดคือร่างกายของเขา
ที่แท้จัวหรูซุ่ยรออยู่ที่นี่มาโดยตลอด
จิ๋งจิ่วไม่ได้คิดจะปล่อยให้ถงเหยียนรอดออกไปจากที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว
ถงเหยียนสีหน้าเรียบเฉย มือขวาหยิบปืนปากแตรออกมาจากในแขนเสื้อกระบอกหนึ่ง ก่อนจะเหนี่ยวไกออกไปอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันมือขวาก็บีบของวิเศษชิ้นหนึ่งจนแตก
ประตูวังบานนั้น เขามองดูมาเป็นเวลานาน แล้วก็เตรียมตัวมาเป็นเวลานาน
ดูเหมือนมั่วกงจะเชื่อใจในตัวรัฐทายาทแห่งจิ้งอ๋องผู้นี้มาก เขามิได้สนใจจัวหรูซุ่ย หากแต่หายตัวไปจากด้านหลังรถเข็น
ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ในศาลาแล้ว
เสียงคำรามดังขึ้น กระบี่เลื่องชื่อชักออกจากฝัก
กระบี่เหมันต์แปรเปลี่ยนเป็นลำแสง แทงออกไปข้างหน้า
จิ๋งจิ่วไม่ได้ขยับ
หลิ่วสือซุ่ยไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไร
กระบี่เหมันต์แทงเข้าไปในหน้าอก เลือดสดๆ ไหลออกมา บางส่วนหยดลงไปบนพื้น
หลิ่วสือซุ่ยไม่ปล่อยให้มั่วกงได้มีโอกาสดึงกระบี่ สองมือกำไปบนตัวกระบี่ไว้แน่นราวเหล็กกล้า
วิชาที่เขาใช้มิใช่บ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดู หากแต่เป็นเพลงกระบี่แบกสวรรค์
เลือดสดๆ ไหลออกมาจากช่องระหว่างฝ่ามือของเขากับคมกระบี่
เขารู้ว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของมั่วกง จึงมิได้มีความคิดที่จะต่อสู้ เพียงแค่คิดจะหยุดกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้ครู่หนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีต่อสู้แบบเดียวกัน นั่นก็คือให้ผู้ที่อ่อนแอของฝั่งตัวเองผนึกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายเอาไว้
เพียงแต่ต้องมาดูว่าถงเหยียนจะสามารถรับมือการโจมตีอันบ้าคลั่งของจัวหรูซุ่ยได้นานเท่าไร แล้วก็หลิ่วสือซุ่ยจะปิดผนึกกระบี่ของมั่วกงได้หรือไม่
มั่วกงสัมผัสได้ถึงพลังที่แปลกประหลาดบางอย่างไหลมาจากสองมือขององครักษ์หนุ่มผู้นี้ คล้ายว่าสองมือของเขาเปลี่ยนเป็นฝักกระบี่จริงๆ จึงเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
ในเมื่อไม่สามารถดึงกระบี่ได้ อย่างนั้นก็ไปข้างหน้า
มั่วกงส่งเสียงคำราม ถีบตัวไปข้างหน้า กระบี่เหมันต์จมหายเข้าไปในร่างกายของหลิ่วสือซุ่ย จากนั้นทะลุออกจากด้านหลัง ปลายกระบี่ชี้ไปหาจิ๋งจิ่วที่อยู่ในศาลา
หลิ่วสือซุ่ยโลหิตไหลทะลัก ถอยไปด้านหลังไม่หยุด
เสียงปักดังขึ้นเบาๆ
กระบี่เหมันต์แทงเข้าไปในเสาของศาลา
จิ๋งจิ่วไม่อยู่ตรงนั้น
ท่ามกลางเสียงครืนที่ดังขึ้น ศาลาพังถล่มลงมา
มั่วกงเหลียวหน้ากลับไปอย่างตกใจ
ด้านนอกประตูวัง เสียงที่ดังกัมปนาทยังคงดังสะท้อน กลิ่นเหม็นไหม้ที่แสบจมูกกำลังกระจายตัวออกไป ภายในฝุ่นควันที่คละคลุ้ง สามารถมองเห็นหยดเลือดที่สาดกระจายเหมือนน้ำตก
ด้วยความสอดประสานระหว่างปืนปากแตรและของวิเศษ สามารถทำให้เกิดอานุภาพที่รุนแรงอย่างมากได้
ถงเหยียนเกิดมาร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ไกลนัก เขาจึงเตรียมพร้อมในเรื่องนี้เอาไว้มากมาย ถึงขนาดสามารถทำลายแขนของจัวหรูซุ่ยไปได้ข้างหนึ่งอย่างง่ายดาย นี่ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งจัวหรูซุ่ยไม่ให้ฆ่าเขาได้ แต่อย่างน้อยมันก็พอจะช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ได้บ้าง ขอเพียงมั่วกงสามารถสังหารจิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยได้ อีกฝ่ายก็จะสามารถกลับมาช่วยเขาได้
แต่เสียดายที่เขาไม่มีโอกาสนั้น
ด้านหลังรถเข็นมีรอยฝ่ามือที่ดูสวยงามปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง
รอยฝ่ามือนั้นทะลุผ่านวัสดุที่ทำจากเหล็กกล้า ประทับลงไปบนแผ่นหลังของถงเหยียน
โลหิตที่สาดกระจายเหมือนน้ำตกมิได้ออกมาจากแขนของจัวหรูซุ่ยที่ขาดสะบั้นเท่านั้น หากแต่ยังมาจากริมฝีปากของถงเหยียนด้วย
นี่ย่อมต้องเป็นฝีมือของจิ๋งจิ่ว แต่ปัญหาคือเขาออกมาจากศาลา แล้วไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร?
สิ่งที่ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจคือ ในเวลานี้เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว?
มั่วกงพลันรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นรู้สึกหนาวเย็นอย่างมาก ราวกับว่ามีพายุหิมะกำลังหมุนวนอยู่ในหัวใจของตัวเอง
เขามองดูร่างกายของตัวเอง พบว่าบนร่างกายมีรูเล็กๆ จำนวนหลายร้อยรูกำลังมีเลือดไหลซึมออกมา
รูเหล่านั้นมีขนาดเล็กมาก กระทั่งเกล็ดหิมะก็ยังเข้าไปไม่ได้ แต่ลมหนาวสามารถเข้าไปได้
เลือดเนื้อค่อยๆ กลบรูเล็กๆ เหล่านั้นอีกครั้ง แต่อาการบาดเจ็บกลับไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ปราณก่อกำเนิดหลั่งไหลออกไปยังฟ้าดินที่อยู่รอบกายคล้ายเส้นผม พลังชีวิตเองก็เช่นกัน
มั่วกงมองดูรูเลือดที่ค่อยๆ หายไปเหล่านั้น ในใจรู้สึกไม่เข้าใจ สภาวะของฮ่องเต้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย แต่มิได้เหนือไปกว่าเขา….
ลมหนาวพัดขึ้นมาใหม่ จิ๋งจิ่วปรากฎตัวขึ้นบนพื้นหิมะอีกครั้ง สีหน้าค่อนข้าวซีดขาว
มั่วกงมองเขาอย่างงุนงง กล่าวถามว่า “เหตุใดพระองค์ถึงได้เร็วเพียงนี้?”
………………………………………………………..