ความจริงผู้แสวงมรรคาที่อยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่างคือดวงจิตของพวกเขา จิ๋งจิ่วเองก็เช่นกัน
ไม่มีกายเนื้อ มีเพียงดวงจิต กระบี่เซียนแห่งยมโลกของเขาสามารถแสดงความเร็วที่เหนือจินตนาการออกมาได้ ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นจิตก่อรูปก็ไม่สามารถต่อกรได้
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบคำถามมั่วกง หากแต่ฟื้นฟูปราณก่อกำเนิดอย่างเงียบๆ
มั่วกงเดินออกมาจากซากศาลาที่พังถล่ม มายังพื้นหิมะ รูเล็กๆ ที่อยู่บนร่างกายเปิดออกอีกครั้ง โลหิตพุ่งออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน
เขาคล้ายมิได้รู้สึกอะไร เดินไปถึงตรงหน้าจิ๋งจิ่วก่อนจะหยุดฝีเท้าลง
เขารับรู้ได้ถึงพลังชีวิตที่กำลังหลั่งไหลออกไปและความลับสวรรค์ที่กำลังจางหายไป เมื่อคิดถึงคำพูดที่จิ๋งจิ่วพูดก่อนหน้าว่าหากมองย้อนกลับไป เขาก็อดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้
ความรู้สึกผิดหวังนี้มิใช่เสียใจ เพราะเขาอยากทำทั้งสองเรื่อง เขาอยากจะมองเห็นภาพที่อยู่ในท้องฟ้านั้น แล้วก็คาดหวังให้อนาคตของเผ่าพันธุ์สวยงาม
เขาเพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ทั้งสองเรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้เขาจำเป็นต้องเลือก
สุดท้ายเขาก็มิได้ชักกระบี่ ได้แต่บอกว่าเขาพลาดโอกาสไป แต่แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะเขายังคงมีความหวาดกลัวต่ออีกด้านหนึ่งของฟ้าดินอยู่ลึกๆ ด้วย
มั่วกงกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “ที่น่าเสียดายก็คือพวกเรามักจะมีโอกาสเลือกแค่เพียงครั้งเดียว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก”
มั่วกงไม่ได้พูดอะไรอีก หากแต่ค่อยๆ นั่งลงไปบนพื้นหิมะ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหยดเลือดบนใบหน้า จากนั้นหลับตาลง จากไปทั้งแบบนี้
พายุหิมะหายไป ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
จัวหรูซุ่ยห้ามเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลตรงแขนที่ขาดออกของตัวเอง ก่อนจะหมุนรถเข็นคันนั้นกลับมา
ถงเหยียนใบหน้าขาวซีด ลมหายใจกระชั้น คิ้วที่ดกดำเลิกขึ้นไปสูง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสัยอย่างมาก เขากล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “เจ้ากลัวว่าข้าจะเดาอะไรออกกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าเดาออกแล้ว แต่ข้าไม่มีทางยอมรับ ดังนั้นไม่ต้องพูดอะไรอีก ตายไปเสียเถอะ”
ในดวงตาของถงเหยียนมีความรู้สึกเสียดาย จากนั้นหัวเราะขึ้นมา ศีรษะเอียงลง ลมหายใจหยุดลง
หลิ่วสือซุ่ยลุกขึ้นมานั่งจากในซากศาลาอย่างยากลำบาก หอบหายใจพลางกล่าวว่า “เจ็บนิดหน่อย”
รูตรงหน้าอกเขามีขนาดใหญ่อย่างมาก ดูน่าหวาดกลัว พอจะจินตนาการออกเลยว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน
สภาวะของมั่วกงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากมิเป็นเพราะกระบี่ของอีกฝ่ายถูกเขาเอาตัวเข้าแลกเพื่อผนึกเอาไว้ กระบี่เซียนแห่งยมโลกก็ยากที่จะสังหารเขาได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ต้องฝืนแล้ว ไปเถอะ”
เขาคือฮ่องเต้แคว้นฉิน แต่การที่เขาสังหารรัฐทายาทของจิ้งอ๋องที่เดินทางมาตามพระราชโองการเช่นนี้ หลังจากนี้จะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างมากแน่นอน
หลิ่วสือซุ่ยซึ่งเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเขา สุดท้ายก็ยังต้องตายไป
หลิ่วสือซุ่ยชักกระบี่ขึ้นมาวางพาดลำคอ ในขณะที่เตรียมจะออกแรง เขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามว่า “ฝ่าบาท พวกเราเป็นอะไรกันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ออกไปแล้วเจ้าก็รู้เอง”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “อย่างนั้นกระหม่อมไปก่อนล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ออกไปรอข้าข้างนอก อย่าไปไหนไกล”
หลิ่วสือซุ่ยรับคำ สองมือออกแรงเล็กน้อย ปลิดชีพตัวเองตายไป
ถึงแม้จัวหรูซุ่ยจะบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่รุนแรงถึงชีวิต ในฐานะที่เป็นมือสังหารชื่อดังในดินแดนแห่งความฝัน ดูแล้วเขาคงจะมีวิธีที่จะหนีออกไปจากพระราชวัง
ก่อนจะหนีไป เขาเองก็ถามคำถามจิ๋งจิ่วคำถามหนึ่ง
“กระบี่ของท่านมีอะไรแปลกประหลาดอยู่กันแน่?”
ที่เขาพูดนั้นหมายถึงก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนแห่งความฝัน พวกเขาเคยสู้กันครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ในหุบเขาที่ไป๋เจ่าใช้บำเพ็ญเพียร ตอนนั้นจัวหรูซุ่ยรู้สึกแปลกๆ เห็นๆ อยู่ว่ากระบี่ของจิ๋งจิ่วนั้นธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่ทุกครั้งที่ปะทะกัน มันมักจะทำให้การโคจรปราณกระบี่ของเขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย
กระบี่เล่มนั้นมีความแปลกประหลาดอยู่เยอะ จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขาถามอะไร จึงกล่าวว่า “กระบี่ของข้ามีพิษ”
จัวหรูซุ่ยนึกถึงท่าทีที่เขาแสดงออกมาในเวลานี้ปกติ จึงผายมือพลางกล่าวว่า “อาจารย์อา ข้าว่าท่านนี่แหละที่มีพิษ”
……
……
ความเงียบภายในวังทำให้คนที่อยู่ด้านนอกวังเกิดความร้อนใจอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ มหาบัณฑิตไม่สามารถรอต่อไปแบบนี้ได้อีก
เสียงตูมดังสนั่น ประตูวังถูกราชองครักษ์ใช้ไม้ใหญ่กระแทกจนเปิดออก
มหาบัณฑิตสะบัดแขนเสื้อเพื่อให้คนที่ขวางทางเปิดทาง ก่อนจะเดินเข้าไปคนแรก เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปทันที หมุนตัวไปสั่งให้ทุกคนถอยไป ห้ามไม่ให้เข้ามาโดยพลการ
เหล่าอำมาตย์และทหารหลวงรับคำสั่งถอยออกไป ก่อนจะใช้ผ้ามาขึงเพื่อกันไม่ให้คนภายนอกมองเข้ามา มหาบัณฑิตมองดูเรื่องเหล่านี้ถูกจัดการจนเสร็จเรียบร้อยด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก ก่อนจะหมุนตัวไปอีกครั้ง
เมื่อมองเห็นน้ำเลือดที่อยู่บนพื้นหิมะแล้วก็ภาพที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้น สีหน้าเขาก็ขาวซีดขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายส่ายโงนงาน กล่าวพึมพำออกมาว่า “ไยต้องทำเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”
มั่วกงนั่งอยู่บนพื้น ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาปิดสนิท เสียชีวิตไปแล้ว
รัฐทายาทจิ้งอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะเอียง ไม่มีลมหายใจ
องครักษ์รูปร่างผอมดำที่ไม่เคยอยู่ห่างไกลฝ่าบาทแม้แต่ครึ่งก้าวผู้นั้นก็ตายไปแล้วเหมือนกัน ตรงหน้าอกมีรูขนาดใหญ่ บนลำคอมีรอยแผลที่อยู่น่าหวาดกลัว
มหาบัณฑิตเดินไปตรงหน้าจิ๋งจิ่ว แม้จะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่เขาก็ใช้กำลังไปมากมาย รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าลึกขึ้นกว่าเดิม คล้ายแก่ลงไปหลายปี
จิ๋งจิ่วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “รัฐทายาทของจิ้งอ๋องร่วมมือกับมั่วกงทำการลอบสังหารข้าพเจ้า ก่อนจะตายไปพร้อมกับองครักษ์ผู้นี้”
มหาบัณฑิตย่อมต้องรู้ว่านี่มิใช่ความจริง ฝ่าบาทเพียงแต่ให้คำอธิบายแก่ตนเองเท่านั้น จึงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท…ไยพระองค์ทรงต้องทำเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “รัฐทายาทของจิ้งอ๋องคาดเดาความคิดบางอย่างของข้าได้ ดังนั้นเขาต้องตาย”
มหาบัณฑิตกล่าวอย่างเจ็บปวดว่า “เรื่องนี้ถ้าแพร่ออกไป จิ้งอ๋องถ้าไม่ไปสภามิภักดิ์แคว้นจ้าวก็ไปสวามิภักดิ์แคว้นฉิน หรือไม่ก็ก่อกบฏเสียเอง แคว้นฉู่ยากที่จะรวมแผ่นดินได้อีก หรือฝ่าบาทไม่สนพระทัยพ่ะย่ะค่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เหล่าบัณฑิตและราษฎรที่โหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านนอกวังเหล่านั้น เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ การที่หลีกหนีสงครามเพราะหวาดกลัวสงครามนั้นมิใช่เรื่องผิด แต่ถ้าคิดจะรวมแผ่นดิน อาศัยเพียงคนแคว้นฉู่นั้นไม่ได้”
แคว้นฉู่สงบสุขมาเป็นเวลานาน ประชาชนอ่อนโยน เพียงแต่คิดจะอยู่อย่างสงบสุข หลีกเลี่ยงความทุกข์ยาก หลีกเลี่ยงที่จะระเหเร่ร่อน หลีกเลี่ยงการที่ไม่มีหลักพักพิง
ประชาชนแบบนี้ เหมาะที่จะเป็นเพียงราษฎร แต่ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องอื่น
“ขอเพียงมีเวลามากพอ เรื่องเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้พ่ะย่ะค่ะ”
มหาบัณฑิตมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “ถึงแม้กระหม่อมจะแก่แล้ว แต่ฝ่าบาทยังทรงอ่อนเยาว์นะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงบางคนที่อยู่ข้างกาย แต่ไม่สามารถและไม่คิดที่จะเปลี่ยนทุกคนบนโลก เพราะทำแบบนั้นมันเหนื่อยเกินไป แล้วก็ยุ่งยากวุ่นวาย”
……
……
การลอบสังหารภายในวัง ภายในเมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย เรื่องวุ่นวายหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจำเป็นต้องถูกจัดการ มหาบัณฑิตจางรีบออกจากตำหนักโดยไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อย เขาย่อมไม่ลืมที่จะสั่งกำชับคนให้เก็บกวาดทำความสะอาดคราบเลือดที่อยู่ใต้หิมะและซากศพ ก็เหมือนกับตอนที่จิ๋่งจิ่วเจอการลอบสังหารครั้งแรกในช่วงเช้ามืดเมื่อหลายปีก่อน
ความวุ่นวายโกลาหลด้านนอกวังหลวง การลอบสังการและการวางเพลิงภายในเมืองหลวงล้วนแต่ถูกหยุดเอาไว้ทั้งหมด ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้และเสียงด่าทอ
หลังจากบัณฑิตและชาวบ้านที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของรัฐทายาทของจิ้งอ๋องถูกทหารหลวงไล่ให้แยกย้ายกลับไปแล้ว ก็มีข่าวลือต่างๆ ที่ไม่ดีเกี่ยวกับจิ๋งจิ่วแพร่กระจายออกไปมากมาย
อย่างเช่นสายฟ้าที่ผ่าลงมาในวังเหล่านั้นจะต้องเป็นการที่สวรรค์แสดงความไม่พอใจต่อการทำผิดทำนองคลองธรรมของฝ่าบาทอย่างแน่นอน!
ขุนนางจำนวนมากต่างกล่าวเตือนมหาบัณฑิตว่าอย่าได้ทำรุนแรงถึงขนาดนี้เลย แล้วก็มีขุนนางอีกสิบกว่าคนที่คิดอยากจะฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์
มหาบัณฑิตโมโหเป็นอย่างมาก จับคนเหล่านี้ขังคุกทั้งหมด
ในช่วงเย็น มหาบัณฑิตเข้าวังเพื่อพบฮ่องเต้อีกครั้ง ก่อนจะรายงานสถานการณ์ภายในราชสำนักและปฏิกิริยาของทางชางโจวอย่างละเอียด
รัฐทายาทของจิ้งอ๋องเข้ามาในวังด้วยคิดจะสังหารฮ่องเต้จริงๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าตอนนี้เขาตายไปแล้ว แต่ฝ่าบาทยังอยู่ อย่างนั้นก็ไม่มีใครที่จะเชื่อคำพูดของราชสำนักอย่างแน่นอน
เพื่อทำให้ชาวบ้านสงบลง ราชสำนักต้องทำอะไรบางอย่าง ฝ่าบาทยิ่งต้องทำอะไรบางอย่าง
“ขับออกจากราชบัลลังก์หรือเนรเทศออกจากเมืองก็ได้”
จิ๋งจิ่วรวบผมสีดำเอาไว้ด้านหลังแล้วใช้ผ้ามัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นกล่าวว่า “แต่อย่าได้พยายามฆ่าข้า”
มหาบัณฑิตย่อมไม่มีทางปลดเขาออกจากราชบัลลังก์ ถึงแม้เขาจะมองออกแต่แรกแล้วว่าฝ่าบาทนั้นมิได้อยากเป็นฮ่องเต้เลย
ถ้าตำแหน่งฮ่องเต้ว่างลง พวกอ๋องที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นจะต้องโผล่หัวออกมาอย่างแน่นอน แล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่าจิ้งอ๋องที่อยู่ไกลถึงชางโจวจะทำอะไร
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงเขียนหนังสือกล่าวโทษตัวเอง จากนั้นขังตัวเองในตำหนักเย็นแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ได้”
มหาบัณฑิตลอบถอนใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกตำหนัก
ธรณีประตูที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นคล้ายลุกเป็นไฟ
ตอนที่ก้าวข้ามธรณีประตูไป มหาบัณฑิตพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา เขาหมุนตัวมามองจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวด้วยสายตาที่เป็นประกายว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงอยากจะมีพระโอรสหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
คำตอบของจิ๋งจิ่วนั้นชัดเจนและเรียบง่าย
“ไม่อยาก”
……
……
ท้องฟ้ายามเย็นค่อยๆ สลัวลง ความมืดเริ่มมาเยือน น้ำเลือดที่ปะปนกับหิมะที่อยู่ด้านนอกตำหนักถูกชะล้างจนสะอาด ไม่เหลือกลิ่นคาวเลือดแม้แต่นิดเดียว กระทั่งประตูวังก็ถูกซ่อมแซมจนเรียบร้อย
พึบพับๆ นกชิงเหนี่ยวกระพือปีกบินมาเกาะบนหน้าต่าง สบตามองจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วกล่าว “ขอบคุณ”
น้อยครั้งนักที่เขาจะกล่าวขอบคุณคนอื่น เพราะเขาไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นช่วยเหลือ
วันนี้มั่วกงเข้ามาในวัง นกชิงเหนี่ยวก็บินออกไปจากกระดานหมากล้อม ไปยืนอยู่บนมุมชายหลังคาที่อยู่สูงขึ้นไป ใช้สายตาเลือกมุมฉายภาพได้อย่างชาญฉลาด ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงรู้เพียงแค่ว่ามั่วกงตายแล้ว แต่ว่ามองไม่เห็นจิ๋งจิ่วลงมือ ส่วนถงเหยียนที่นั่งอยู่บนรถเข็นในตอนนั้นก็หันหลังให้กับศาลา เขาก็มองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
บนโลกไม่มีความรักและความเกลียดชังที่ไม่มีสาเหตุ ความช่วยเหลือใดๆ ล้วนแต่ต้องมีสิ่งตอบแทน เพียงแต่บางครั้งการตอบแทนที่ว่าก็คือความพึงพอใจทางด้านจิตใจของตัวเอง
นกชิงเหนี่ยวมิได้อยู่ในประเภทนี้ มันกล่าวว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยทำให้ข้าเข้าใจปัญหาหนึ่งได้”
จิ๋งจิ่วว่า “ว่ามา”
นกชิงเหนี่ยวกล่าว “มั่วกงมองเห็นความจริงได้อย่างไร?”
ตอนนั้นมั่วกงยืนอยู่ในพื้นหิมะ มองดูมันที่อยู่บนท้องฟ้า แล้วก็เห็นความจริง
ดังนั้นจึงมีสายฟ้าผ่าลงมา ทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้น
นกชิงเหนี่ยวไม่ได้หวาดกลัวเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นมันไม่มีทางที่จะทิ้งรอยเท้าเอาไว้บนพื้นหิมะ ช่วยให้มั่วกงมองเห็นความจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ความจริงถึงจะสามารถมองเห็นความจริง และเรื่องแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นในดินแดนแห่งความฝันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ”
ชิงเหนี่ยวกล่าวว่า “เพราะเหตุใด?”
จิ๋งจิ่วมองดวงตาของนาง กล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “คำถามนี้ต้องถามตัวเจ้าเอง”
ชิงเหนี่ยวเข้าใจความหมายของเขา นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
หากมั่วกงตื่นขึ้นมา กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง นางที่เป็นดวงจิตคันฉ่องฟ้ากระจ่างนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
หรือจะบอกว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ตัวนางได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่รู้ ภายในคันฉ่องฟ้ากระจ่างถึงได้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น?
นั่นมันเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?
ชิงเหนี่ยวคิดขึ้นมาได้ น่าจะเป็นตอนที่นางโกหกนักพรตไป๋
นางมองดวงตาจิ๋งจิ่ว ก่อนกล่าวด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและปรารถนาว่า “เจ้า….เป็นอะไรกันแน่?”
……………………………………………………………….