วิถีสวรรค์ มีดับสูญมากมายแต่กลับเพิ่มเติมไม่พอ ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่โลกเบื้องล่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ไอขุ่นมัวและไอบริสุทธิ์ขาดสมดุล เทพของแดนเทพจะก่อกำเนิดลมหายใจได้ต้องอาศัยฝันบอกเหตุ มีเพียงต้องมีฝันบอกเหตุขึ้นมา แล้วภายในสิบวันก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ตระกูลหวาซวีและตระกูลจู๋อินเป็นเผ่าเทพสูงศักดิ์ซึ่งมีสายเลือดน้อยนิด ทั้งชีวิตมีฝันบอกเหตุตั้งครรภ์ได้สองสามครั้งก็นับว่าดีมากแล้ว
ปกติมักจะมีฝันบอกเหตุหลังจากงานแต่งงานไปแล้วหนึ่งแสนปี คิดไม่ถึงว่าฝันบอกเหตุของเขากลับมาเร็วขนาดนี้
เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดปากหาว กอดคอเขาเอาไว้ราวกับบิดขี้เกียจ “ข้าพูดว่าไม่อยากคลอดได้ไหม”
…ฟังน้ำเสียงแล้วไม่เหมือนกับไม่อยากคลอดสักนิด
ฝูชางลูบไล้ใบหน้าเย็นเฉียบของนางแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ไม่อยากจริงๆ หรือ”
นางผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ น้ำเสียงยิ่งอ่อนไปอีก “ถ้าอย่างนั้นรออีกหลายวันหน่อยได้ไหม”
ฝูชางยื่นมือไปดีดหน้าผากนางทีหนึ่ง “องค์หญิงโง่”
ท่ามกลางแสงอัสดงยามพลบค่ำงามจรัส เสมือนว่าน้ำภายในสระหยกขาวบนยอดเขาจะถูกแต่งแต้มลงไป มันกลายเป็นแสงสีแดงอ่อนจาง ใบไม้สีเขียวกิ่งไม้ริมสระโน้มลงมา ราวกับจะดูดซับน้ำในสระไป
เสวียนอี่เหม่อมองทิวทัศน์งดงามนี้ตาไม่กะพริบ กระทั่งม่านราตรีคืบคลานมา น้ำในสระก็ค่อยๆ เป็นประกายราวกับธาราสวรรค์
งดงามจริงๆ
ฝูชางกล่าวเสียงเบาว่า “ยามรุ่งอรุณ น้ำในสระจะเป็นสีเขียวอ่อน หากฝนตก จะกลายเป็นสีเขียวขจี มีเพียงยามหิมะตกเท่านั้นที่ไม่มีสี”
เสวียนอี่หันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ “…ครั้งที่แล้วท่านอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่”
เขาคิด “สองปี”
องค์หญิงมังกรมองดูตนเองเงียบๆ ลูกตากลิ้งหลุกหลิก แล้วเผยสีหน้าอ่อนโยนอบอุ่นอย่างหาได้ยากออกมา ฝูชางเอาวงแหวนสีทองจากผมนางลงมาเล่น วงแหวนสีทองนี้ประณีตงดงามมาก แต่ดูก็มองออกว่ารูปแบบไม่ใช่ทรงอย่างในปัจจุบัน แม้ว่านางจะไม่พูด แต่คิดว่าแปดเก้าในสิบส่วนมันจะต้องเป็นของที่ท่านแม่ของนางเหลือไว้ให้แน่
นางพลันกล่าวเสียงต่ำว่า “ชิงเยี่ยนก็เหมือนกัน เขาไปริมแม่น้ำชุ่ยตามลำพังอยู่หลายปีทีเดียว”
ตอนที่กลับมา ที่หูของเขาก็มีต่างหูอัญมณีสีดำสนิทเพิ่มมา ได้ยินว่าเทพแม่น้ำให้เครื่องประดับตอนที่ท่านแม่ของเขายังเยาว์วัย จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่ถอดออก เขาไม่อยากแต่งงาน คิดว่าคงคิดว่าตนเองจะต้องกลายเป็นอย่างท่านพ่อแน่ๆ นิสัยมังกรที่ปล่อยตามใจทำให้มหาเทพจู๋อินหลายรุ่นต่างไม่มีชื่อเสียงที่ดีเท่าไหร่นักในด้านอารมณ์ความรู้สึก
เสวียนอี่พลันกอดรัดร่างเทพบูรพาตรงหน้าไว้อย่างอ่อนโยน ใบหน้าผุดรอยยิ้มเย้ายวนขึ้นมาโดยพลัน เสียงเองก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลลง “ศิษย์พี่ฝูชาง เหมือนว่าข้าจะไม่อยากรอแล้วล่ะ”
นางทาบเรียวปากลงไปบนริมฝีปากเขา และเลียนแบบเขา กัดลงไปบนนั้นครั้งหนึ่ง
…
ปีที่หกสิบหลังจากแต่งงาน วันหนึ่งในฤดูร้อนที่ดวงตะวันเป็นสีแดง องค์หญิงพาสวามีกลับมาที่เขาจงซาน พร้อมกับนำข่าวที่แทบจะระเบิดสวรรค์มาด้วยข่าวหนึ่ง นางตั้งครรภ์แล้ว เป็นสายเลือดของตระกูลหวาซวี
คิดว่าฉีหนานคงเป็นคนที่ดีใจมากที่สุด ไม่ทันระวังร้องไห้จนหน้าบวมแล้ว เดิมเขาไม่ได้เป็นเทพอำมาตย์แล้ว และอยู่ที่เขาจงซานหลังเกษียณ เขาถูกชิงเยี่ยนเลี้ยงเสียจนอ้วนขึ้นมาก ยามนี้รู้ว่าองค์หญิงตั้งครรภ์ เขายังจะนิ่งอยู่เฉยได้เสียที่ไหน จึงออกปากกล่าวของานว่า “องค์หญิง ให้ข้าดูแลท่านเถอะ”
เหล่าเทพขุนนางวังเทพบูรพาพวกนั้นทำอะไรเงอะงะ เหล่าเทพีรับใช้เองก็สมองทื่อ เขาไม่วางใจให้พวกเขาดูแลองค์หญิงหรอก
ชิงเยี่ยนเพียงยิ้ม แล้วเคาะศีรษะน้องสาวตัวน้อยที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบ๊วยเคลือบน้ำตาลเบาๆ “ทำไมไม่ใช่ตระกูลจู๋อิน สู้เขาไม่ได้แล้วนั่น”
เสวียนอี่พ่นเม็ดบ๊วยออกมาหนึ่งเม็ดด้วยท่าทีสง่า ไม้รู้ว่าเพราะตั้งครรภ์หรือเปล่า นางถึงได้ชอบรสชาติเปรี้ยวหวานมากขนาดนี้ ไม่นานก็กินหมดไปครึ่งกล่องแล้ว
ฉีหนานกล่าวปลอบอย่างมีประสบการณ์ “องค์หญิง อย่ากินมาก ระวังคลื่นไส้ สามร้อยปีแรกยังไม่มีเค้าลางอะไร ท่านก็วางใจได้”
นางหมดความสนใจต่อบ๊วยเคลือบน้ำตาลทันที ที่แท้นางก็แค่อยากกินเท่านั้น
“ท่านพ่อล่ะ” นางถาม
ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ “เขาได้ยินว่าเทพบูรพารุ่นก่อนไปตระเวนท่องเที่ยวอย่างอิสรเสรี เขาจึงออกไปจากเขาจงซานด้วย ไปชมทิวทัศน์รื่นเริงกับสตรีแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้ฉีหนานพ่นน้ำชาออกมา
เสวียนอี่บิดขี้เกียจ แม้ว่าฉีหนานจะบอกว่าสามร้อยปีแรกยังไม่มีเค้าอะไร แต่ว่าหลายเดือนมานี้ที่นางตั้งครรภ์กลับยังรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เขาจงซานที่มีไอความเย็นจากหิมะปกคลุมทำให้นางรู้สึกสบาย จึงคว้าแขนเสื้อของฉีหนานราวกับกำลังอ้อน “ข้าอยากอยู่พักที่วิมานม่วงสักหลายวัน ฉีหนาน บรรดาหมอนและผ้าห่มเมฆาของข้ายังอยู่ไหม”
“ยังอยู่ยังอยู่” ฉีหนานลืมแล้วว่าตนเองไม่ใช่เทพอำมาตย์แล้ว เขารีบนำทางด้านหน้าทันที “ก็ยังเหมือนเดิม”
ไม่รู้ว่ากลับมายังวิมานม่วงที่คุ้นเคยทำให้เสวียนอี่ใจสงบมาก หรือเพราะความเย็นของเขาจงซานที่ทำให้นางรู้สึกสบาย นางเข้าไปในห้องนอน แล้วนั่งลงบนเตียงของตน กลับรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา ยังไม่ทันได้ถอดชุดคลุมก็นอนฟุบหลับไปแล้ว
ฝูชางถอดรองเท้าและคลุมผ้าห่มให้นาง กำลังจะปิดม่านให้ เสียงฉีหนานก็ดังจากด้านหลังว่า “คิดว่าเป็นเพราะองค์หญิงตั้งครรภ์ จึงรู้สึกติดใจกับไอเย็นเป็นพิเศษ มหาเทพไม่ต้องกังวล”
นับตั้งแต่ตั้งครรภ์ ดูแล้วเหมือนนางไม่ได้ต่างไปจากเดิมนัก แต่กลับยิ่งดูมีพลังเปี่ยมล้น ฝูชางจึงยิ่งไม่ได้คิดอะไร คิดไม่ถึงว่าความอ่อนล้าของนางกลับสะสมอยู่ภายใน กลับมาที่เขาจงซานจึงอ่อนลง
มาเจออย่างนี้เข้าครั้งแรกในที่สุดฝูชางก็ไม่สามารถสงบสุขุมดั่งปกติได้ ดวงตาสีดำสนิทมองไปที่ฉีหนาน อ้าปากแล้วก็ค้างไว้ ฉีหนานพลันแสดงท่าทีราวกับ “ข้าเข้าใจความหมายของท่าน” ออกมา “มหาเทพรอประเดี๋ยว”
เขารีบร้อนออกไปจากวิมานม่วง ผ่านไปนานถึงได้กลับมาอีกครั้ง ในมืออุ้มเอากองหนังสือสูงราวกับภูเขามาด้วย แล้ววางลงไปบนโต๊ะหนังสือ ก่อนจะกล่าวอย่างหวังดีว่า “หากมหาเทพไม่มีอะไรทำก็ลองอ่านได้”
เขาเชื่อว่าด้วยความฉลาดหลักแหลมของฝูชาง อ่าหนังสือเหล่านี้จบ น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับอาการประหลาดพิสดารตลอดช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่องค์หญิงตั้งครรภ์ได้
คืนวันนั้น องค์หญิงที่อ่อนล้าก็หลับสนิทภายในม่าน ในห้องหนังสือของตำหนักหยวนจัน ตะเกียงสีเงินส่องสว่างทั้งคืน เทพบูรพาอ่านหนังสือกองสูงเท่าภูเขานั่นทั้งหมดทีละเล่มๆ อย่างตั้งใจ
เห็นแสงอรุณทอขึ้น ณ ขอบฟ้า มหาเทพก็อ่านหนังสือเล่มสุดท้ายจบแล้วถอนหายใจยาวๆ ออกมา
เขาตัดสินใจแล้วว่า หากคลอดลูกคนนี้เสร็จ จะไม่ให้องค์หญิงมังกรคลอดแล้ว หากชิงเยี่ยนอยากจะได้สายเลือดตระกูลจู๋อิน ก็ให้เขาไปคลอดเองเถอะ
…
นอนครั้งนี้เสวียนอี่หลับไปถึงสามวัน นางรู้สึกว่าสดชื่นสบายมาก เมื่อกินอาหารเที่ยงเสร็จก็ไม่ได้ไปหาฝูชาง แต่กลับเดินเล่นไปทั่ว กลับพบว่าฉีหนานยืนอยู่นอกประตูเขา ราชรถของตระกูลจู๋อินเพิ่งจะหายไปในทะเลเมฆ นางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ฉีหนาน กำลังทำอะไร”
ฉีหนานยิ้มตาหยีแล้วเข้ามาประคองนาง “ประเดี๋ยวองค์หญิงก็รู้แล้ว”
พวกเขาทำเรื่องอะไรกันอีก เสวียนอี่มองไปรอบๆ “ศิษย์พี่ฝูชางเล่า”
“เขากับมหาเทพมีเรื่องคุยกัน องค์หญิงอย่าไปรบกวนพวกเขา มา มากินขนมเถอะ”
ฝูชางกับชิงเยี่ยนมีเรื่องคุยกันหรือ ทำไมนางไม่เชื่อเลยสักนิดเล่า แต่ไม่ว่าอย่างไร มีขนมกินก็ทำให้นางมีความสุข เสวียนอี่ลอยตามฉีหนานไปโดยที่เท้าไม่ติดพื้น
กินขนมโมราเคลือบแป้งน้ำตาลหมดไปแถวหนึ่ง นอกเขตแดนเมฆาก็มีเงาร่างที่คุ้นเคยเข้ามา เสวียนอี่โผเข้าไปหาราวกับผีเสื้อ เขาลุกลี้ลุกลนแล้วรับกอดเอาไว้ พลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “อย่าวิ่งอย่างนี้สิ”
มหาเทพหนุ่มที่อีกหนึ่งพันปีถึงจะได้เป็นพ่อเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา
เสวียนอี่หัวเราะคิกคักแล้วกุมมือเขาไว้ ถอยหลังไปไม่ทันได้กี่ก้าว ก็ถูกเขาจับให้ตรงใหม่ “อย่าเดินอย่างนี้”
นางเม้มปาก “คงไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ข้าเดินหนึ่งพันปีหรอกนะ”
รอให้ผ่านวันหยุดสามร้อยปีไป นางยังต้องกลับไปรับหน้าที่เทพีวั่งซูที่วังวั่งซูต่ออีก
ฝูชางประคองไหล่นางไว้ แล้วเดินไปใต้ต้นตี้หนี่ว์ซางช้าๆ “ในเมื่อตั้งครรภ์ อีกไม่กี่วันข้าจะเขียนหนังสือไปที่ตำหนักเหวินหวา ตำแหน่งวั่งซูให้ปล่อยไว้ก่อน เจ้าเองก็ต้องเชื่อฟังหน่อย เดินแบบเมื่อกี้ไม่ได้”
เสวียนอี่หัวเราะฮี่ๆ ขึ้นมา “ไม่อย่างนั้นท่านขังข้าไว้ในฉุนจวินสิ”
เขาเองก็ยิ้ม แล้วเคาะไปที่หน้าผากนางเบาๆ “ไม่เลว ไม่อย่างนั้นก็ขังไว้ในฉุนจวิน”
เขาพลันอุ้มเอวนางไว้แล้วยกขึ้นสูง หูแนบไปกับท้องของนางแล้วฟังอย่างตั้งใจ ลูกของเขากับนางกำลังอยู่ในครรภ์ ราวกับมีนิ้วมือที่นุ่มนวลที่สุดจิ้มลงไปที่หัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว เขารู้สึกว่าหัวใจทั้งดวงพลันอ่อนยวบลงมา ความรู้สึกยินดีและงดงามอัศจรรย์กลบเขามิดอย่างรวดเร็ว
พวกเขา มีลูกแล้ว
ฉีหนานหลบไปไกลลิ่วอย่างรู้งาน ไม่ไปรบกวนมหาเทพและฮูหยินคู่รักประหลาดทั้งสองที่แทบจะเกาะติดกันทุกวัน
…
ตอนกลับไปที่วังเทพบูรพา ชิงเยี่ยนพาพวกเขาไปส่งที่นอกประตูเขา เห็นท้องของเสวียนอี่ที่ยังไม่มีเค้าลางอะไรก็พลันยิ้ม ตอนที่เขายังเด็กเต็มไปด้วยความเย็นชาทุกข์ระทม เมื่อกลายเป็นมหาเทพแล้วหน้าตาก็ยิ่งหยิ่งยโสขึ้นไปอีก ทว่ายามนี้รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งความตื่นเต้นภูมิใจ
“ข้าจะได้เป็นลุงแล้ว” เขาลูบศีรษะเสวียนอี่ น้ำเสียงนุ่มนวลอบอุ่น “มีเขาคอยดูแลเจ้า ข้าวางใจมาก”
เงามืดที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้พวกเขาลึกเกินไป แต่เขาดีใจมากที่อาอี่ได้พบกับคนที่เหมาะสมคนนั้น เขาว่ามหาเทพหนุ่มที่เกี่ยวพันติดตรึงกับอาอี่อย่างตัดไม่ขาดผู้นั้น ยินยอมที่จะให้ตนเองบาดเจ็บก็ยังไม่ยอมให้นางถูกกระทบสักนิด อย่างนี้ก็พอแล้ว
เสวียนอี่ยิ้มบาง แล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ข้ายังอยากจะเป็นอาใจร้ายอยู่นะ เป็นอย่างนั้นต้องน่าสนุกแน่ ใครใช้ให้พี่ไม่ให้โอกาสข้าเล่า”
ชิงเยี่ยนส่ายหัว เขาคือสายเลือดของมหาเทพจู๋อินรุ่นก่อน ทั้งยังเป็นบุตรชายของท่านพ่อ เขาไม่อยากจะให้โศกนาฏกรรมต้องแสดงซ้ำใหม่กับตัวเขาอีกครั้ง เรื่องทะเลหลีเฮิ่นก็ดี เรื่องของท่านแม่ก็ดี ในยุคของเขาขออย่าให้เกิดขึ้นเลยเป็นดีที่สุด
ราชรถของตระกูลหวาซวีออกไปจากประตูเขาจงซาน ลมฤดูร้อนอบอ้าวพัดม่านหน้าต่างพลิ้วขึ้นมา เสวียนอี่พลันรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาทันที กอดเบาะนุ่มเอาไว้แล้วขดตัวอยู่ในมุมแล้วเริ่มสะลึมสะลือจะหลับ
แขนคู่หนึ่งโอบนางเอาไว้ แล้วร่างก็ตกลงสู่อ้อมอกที่คุ้นเคย ฝูชางปาดเหงื่อที่คอของนางออก ตั้งครรภ์ทำให้นางลำบากจริงๆ ซ้ำยังต้องทรมานไปอีกหนึ่งพันปี
เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ลมสะอาดเย็นสบายวนเวียนอยู่ในราชรถที่กว้างขวาง เป่าให้เหงื่อบนใบหน้าของนางแห้งเหือดไป
“เพลียก็นอนเถอะ” เขาลูบเรือนผมของนาง
ใครจะรู้ว่าองค์หญิงจู่ๆ ก็ปั้นกระจกน้ำแข็งออกมาบานหนึ่งแล้วส่องอยู่นาน ก่อนจะโยนทิ้งทั้งน้ำตาคลอเบ้า “น่าเกลียดแล้ว”
ฝูชางมาถึงขั้นที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับความคิดเหนือล้ำของนางอย่างนี้อีกแล้ว เขากล่าวเสียงเรียบ “อีกหน่อยยังต้องน่าเกลียดกว่านี้ ชินไว้ก็ดี”
เสวียนอี่หันไปถลึงตาใส่เขาอย่างถูกกระทบกระเทียบ เขากลับอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วตบศีรษะนางเบาๆ “คิดอะไรไปเรื่อยตลอด”
องค์หญิงมังกรที่บาดเจ็บหนักเอาหัวซุกลงไปกับอกเขา แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่คลอดแล้วได้ไหม”
องค์หญิงมังกรผู้มีอารมณ์แปรปรวนเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาเพราะเรื่องที่หน้าตานางจะเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
ฝูชางกล่าวปลอบประโลมเสียงอ่อน “คลอดคนเดียวพอ”
เสวียนอี่บิดตัวราวกับขนมหมาฮวา[1] “น่าเกลียดแน่เลย”
เขาโอบนางไว้และปลอบใจอยู่นาน สุดท้ายเพราะร้อนอบอ้าว นางจึงไม่มีอารมณ์แล้วนอนหลับไป
ตอนที่ตื่นขึ้นมา รู้สึกเพียงไอเย็นที่คุ้นเคยวนเวียนอยู่รอบกาย ลบล้างความง่วงเหงาเซาซึมที่มากับฤดูร้อนอบอ้าวนี้ไป เสวียนอี่ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ อย่างมึนงง กลับพบว่าตำหนักหยวนจันอยู่ตรงหน้า ต้นตี้หนี่ว์ซางสีเขียวสลับแดงส่งเสียงเสนาะหูยามลมพัดผ่าน นางรู้สึกตกใจมาก กลับมาที่เขาจงซานแล้วหรือ? ไม่ ไม่เหมือน ตำหนักหยวนจันนี้ใหม่กว่าที่วิมานม่วงของนางมาก
ฝูชางวางนางลงบนพื้นแล้วกล่าวเสียงนุ่ม “ดูซิว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม
เสวียนอี่เดินช้าๆ ไปสองก้าว คิดไปถึงเรื่องในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ที่เมืองฉยงซางที่ร้อนจัดเองก็มีเขตแดนเมฆาและวิมานม่วงที่เหมือนกันอยู่หนึ่งที่ ที่แห่งนั้นสวามีขององค์หญิงมังกรจู๋อินผู้หนึ่งสร้างขึ้นให้นางตั้งแต่สมัยบรรพกาล นางเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า ฝูชางเองก็จะสร้างเขตแดนเมฆาที่เหมือนกันนี้ไว้ที่วังเทพบูรพาเพื่อนาง
นางตั้งสติได้ ตอนที่อยู่เขาจงซาน ราชรถเหล่านั้นเคยเอาของที่ใช้ในวิมานม่วงทั้งหมดออกไป ชิงเยี่ยนกับฝูชางก็ไม่ใช่ไปคุยอะไรกัน แต่มาที่วังเทพบูรพาแห่งนี้ ไอพลังเยือกเย็นที่แสนคุ้นเคยนี้ก็คือของชิงเยี่ยน
นางหันกลับไป และสบเข้ากับดวงตาที่อบอุ่นของฝูชางคู่นั้น ผ่านไปนาน ในที่สุดองค์หญิงมังกรก็ยิ้มออกมา
“ที่นี่ สบายจริงๆ” นางหันหลังกลับไปกอดแขนเขาไว้แน่น “ข้าชอบมาก”
ยิ้มแล้วก็ดี ฝูชางจุมพิตลงบนหน้าผากของนาง
—
[1]หมาฮวา : ขนมแป้งทอดของจีน เป็นทรงบิดเกลียว