บทที่ 180 อารมณ์ยาวนานความฝันยาวนาน (5)

บุหลันเคียงรัก

วันหนึ่งในฤดูร้อนที่เย็นสบาย วันนี้วังเทพบูรพาไม่มีฝนตกอย่างได้ยาก สายลมแผ่วเบาเย็นสบายหลังบ่ายโชยพัดมาจากทะเลสาบเฉิงเจียง ฝูชางที่จัดการเอกสารมาตลอดทั้งช่วงเช้าก็เดินลงมาตามบันไดใหญ่ แต่กลับเห็นอินหวน บุตรชายยคนโตย่อตัวอยู่บนบันไดและใช้กิ่งไม้วาดอะไรไม่รู้ตามลำพัง เขาจึงเข้าไปใกล้แล้วค้อมตัวลงมองอยู่ครู่หนึ่ง พลางกล่าวเสียงอบอุ่น “นี่คือเสี่ยวจิ่วหรือ”

สีหน้าของอินหวนก็ไม่ได้ลุกลี้ลุกลน เขาทิ้งกิ่งไม้แล้วลุกขึ้นคารวะอย่างสง่างาม “คารวะท่านพ่อ”

ทั้งๆ ที่ยังอ่อนเยาว์อยู่มากแท้ๆ แต่กลับแสดงท่าทีราวกับโตเป็นผู้ใหญ่แล้วออกมา ฝูชางอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขายกมือขึ้นแล้วกอดร่างเล็กๆ นั่นไว้ในอ้อมอก “ท่านแม่เจ้ากับจื่อชิวล่ะ”

ดวงหน้าขาวราวกับหยกของอินหวนแสดงสีหน้าน้อยใจขึ้นมา ทำปากยื่นเอ่ยว่า “ท่านแม่กับน้องชายหลบอยู่ในวิมานม่วงรับความเย็นขอรับ”

ตระกูลหวาซวีไม่กลัวความร้อนความเย็นก็จริง แต่ว่าอินหวนเพิ่งจะมีอายุได้เพียงสองพันกว่าปีเท่านั้น พลังของเทพมังกรจู๋อินที่เย็นจัดในวิมานม่วงนั้น เขาอยู่นานเข้าก็หนาวจนสั่น แต่ว่าท่านแม่ที่ให้กำเนิดเขาช่างไร้ความเป็นแม่นัก พอล่วงเข้าฤดูร้อนก็จะชอบอยู่แต่ในนั้น จื่อชิวคือตระกูลจู๋อิน ตนอิจฉาเขาเหลือเกินที่ได้อยู่กับท่านแม่ทั้งวัน

ฝูชางอมยิ้มบาง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปหาพวกเขากัน”

มีท่านพ่อเป็นเกราะหลัง ใบหน้าของอินหวนก็เผยรอยยิ้มออกมา เทพบูรพารุ่นก่อนชอบเด็กคนนี้มากนัก ได้ยินมาว่าเพราะเขามีนิสัยเหมือนกับตัวเขาเองในตอนนั้น ไม่เหมือนกับฝูชางตอนเด็กที่มีนิสัยหยิ่งยโสไม่ชอบใกล้ชิดเขา

กลับได้ยินว่าตอนนั้นเพื่อคลอดอินหวน เสวียนอี่ทรมานไม่น้อยเลย เดิมฝูชางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้นางคลอดอีก ใครจะรู้ว่าอินหวนยังไม่ทันจะอายุถึงสามร้อยปี ฝันบอกเหตุก็มาอีกครั้ง คราวนี้เป็นฝันขององค์หญิง นางราวกับลืมความทรมานตอนที่คลอดอินหวนไปหมด เอาแต่ตามติดเขาสารพัดวิธี สุดท้ายเขาก็ทำให้นางสมใจ

หนึ่งพันปีนั้นที่ตั้งครรภ์จื่อชิว คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่อ่อนหวานและทรมานที่สุดของฝูชางนับตั้งแต่ที่เกิดมาเลย ทั้งต้องคอยดูแลสั่งสอนอินหวน ทั้งยังต้องต่อสู้กับนิสัยเอาแต่ใจอย่างเหลือประมาณของเสวียนอี่โดยไม่ให้กระทบนางอีก คิดว่าเพราะตั้งครรภ์ตระกูลจู๋อินอย่างนางจึงไม่ทรมานสักนิด มีพลังมากมายจนสามารถกระโดดโลดเต้นได้ หนำซ้ำยังเซ้าซี้กว่าแต่ก่อนเป็นร้อยเท่า

ตอนที่จื่อชิวยังไม่เกิดนั้น นางคิดมาตลอดว่าต้องเป็นบุตรสาว ใครจะรู้ว่าคลอดออกมากลับเป็นบุตรชาย กระทั่งเขามีอายุได้สี่ร้อยปีแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ที่สระเลี้ยงมังกรเขาจงซาน นางยังมีท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่ออยู่อีก

ชิงเยี่ยนชอบจื่อชิวมาก เพราะถือว่ามีสายเลือดของตระกูลจู๋อินแล้ว นับแต่นั้นใบหน้าของมหาเทพจงซานผู้นี้ก็ทั้งภูมิใจระคนตื่นเต้น ราวกับปลดภาระหนักอึ้งอะไรได้ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้มหาเทพจงซานรุ่นก่อนที่วาดหวังอยากจะให้บุตรชายแต่งงานจนใจมาก แต่กลับไม่มีอะไรจะพูด

ฝูชางเข้าไปในเขตแดนเมฆภายในเรือนด้านในอีกที่ของตน แล้วก็เห็นว่าใต้ต้นตี้หนี่ว์ซางมีพรมปุยเมฆผืนใหญ่ปูไว้ ร่างเพรียวบางนุ่มนวลสีดอกติงเซียง[1]นอนอยู่ฝั่งนี้ อีกฝั่งหนึ่งเป็นเงาร่างเล็กสีขาวนอนอยู่ ตรงกลางมีหนังสือและขนมมายมายวางไว้

เหมือนว่าจื่อชิวจะไม่ได้หลับ เขาเงยหน้าขึ้นมองบิดา แล้วกลิ้งตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะโถมตัวเข้ามาหาเขา องค์ชายน้อยของตระกูลจู๋อินดูท่าจะชอบท่านพ่อมากกว่า

ฝูชางมือหนึ่งอุ้มไว้คนหนึ่งแล้ว เขาจึงอุ้มบุตรชายทั้งสองไว้ในอก แล้วผ่อนฝีเท้าลงพลางเดินไปยังเงาร่างสีดอกติงเซียงที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงนั้น อินหวนในอ้อมอกมองไปยังใบหน้าขาวซีดตั้งแต่เกิดของน้องชายด้วยสายตาอิจฉา แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านแม่ไม่ได้เล่านิทานสนุกๆ ให้เจ้าฟังหรือ ตั้งแต่เช้าพวกเจ้าทำอะไรกัน”

จื่อชิวมีนิสัยอย่างตระกูลจู๋อินมาก เขาสะบัดหน้าหันมาอย่างเย่อหยิ่ง แล้วพ่นฟองน้ำลายออกมาพร้อมกับกล่างด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาว์วัยอยู่บ้างว่า “แย่งของกินกับข้า…”

บทสนทนาของเหล่าบุตรชายทำให้ฝูชางอดหัวเราะไม่ได้ เขานั่งลงข้างกายองค์หญิงมังกรเบาๆ โน้มลงตัวลงมองนาง นางหลับสบาย ผมยาวปล่อยสยายไปบนพรมปุยเมฆ ใบหน้ายังคงงดงามและอวบอิ่มเหมือนเดิม เรื่องที่ทำให้นางกังวลมากเช่นว่าหลังคลอดบุตรแล้วจะทำให้นางน่าเกลียดไม่ได้เกิดขึ้น แต่เพราะตั้งครรภ์อินหวนทำให้ร่างกายนางเปลี่ยนไป กลายเป็นกลัวความร้อนเอามากๆ เมื่อถึงหน้าร้อนก็ต้องมาอยู่ในวิมานม่วง

กลีบดอกไม้ป่าที่ไม่รู้ชื่อร่วงลงมาบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเนียนใสของนาง ฝูชางเป่าลมหายใจเบาๆ สายลมบริสุทธิ์พัดพวกมันไป เขาวางบุตรชายทั้งสองลงบนพรมปุยเมฆ แล้วทำท่าทางให้เบาเสียง “อย่าทำให้ท่านแม่ตื่น”

อินหวนที่มีนิสัยท่าทางหนักแน่นและสง่างามอย่างตระกูลหวาซวีอุ้มน้องชายแล้วกลิ้งไปยังอีกฝั่งของพรมปุยเมฆ มีท่านพ่ออยู่ เขาก็ไม่หนาวแล้ว ทั้งยังเอาใจใส่นำขนมที่น้องชายชอบกินมาวางไว้ตรงหน้าให้ มือข้างหนึ่งก็หยิบหนังสือข้างกายขึ้นมา บนนั้นเขียนคำว่า “บันทึกโคมไฟฤดูใบไม้ร่วงกลางสายฝน[2]” ที่น่ายินดีคือเขารู้จักตัวหนังสือเหล่านั้นทั้งหมด

“ลมพัดเย็นสบาย หยาดน้ำค้างฉ่ำเย็น เมฆมาจันทรามัวหมอง ธาราสวรรค์วาดผ่านแสงตะวันยามสารท ดาวตกบินข้ามผ่านกำแพง” อินหวนเริ่มอ่านหนังสือให้น้องชายฟัง

จื่อชิวกลิ้งไปข้างกายเขา แล้วยื่นหน้าไปพลางพ่นฟองน้ำลายใส่แขนเสื้อเขา แล้วเริ่มตั้งคำถามขึ้น “ดาวตกคืออะไรหรือ”

“…ดวงดาวที่บินได้ในธาราสวรรค์กระมัง” อินหวนรู้สึกว่าจะปล่อยไก่ต่อหน้าน้องชายไม่ได้

แต่วาคำถามของจื่อชิวกลับมีมากอย่างน่าประหลาด “แล้วแสงตะวันยามสารทคืออะไร”

ฝูชางที่อยู่ข้างๆ นอนตะแคงบนพรมกอดพวกเขาไว้ในอก พลางเอาหนังสือโคมไฟฤดูใบไม้ร่วงกลางสายฝนขึ้นมาพลิกอ่าน ในนั้นมนุษย์เขียนเกี่ยวกับเทพและปีศาจจิ้งจอก เกี่ยวกับเหตุและผลของการแก้แค้นอะไรเทือกนั้น ความชอบในการอ่านขององค์หญิงมังกรช่างประหลาดพิสดารนัก

เขาพลิกไปถึงหน้าที่อินหวนอ่านเมื่อครู่ กลับพบว่าบนโคลงกลอนท่อนนั้นของมนุษย์กลับมีรอยน้ำหมึกลายมือนางอยู่ เพราะหลายปีนี้เขาว่างจนไม่มีอะไรทำจึงสอนนางเขียนหนังสือ ตัวอักษรเขียนได้งดงามเป็นระเบียบแล้ว นางเขียนไว้หลังประโยคเหล่านั้นว่า “อารมณ์ยาวนานความฝันยาวนาน” เขาอ่านแล้วค้างอยู่ในรสคำนั้น เหม่อลอยไปครู่ใหญ่

มือเล็กที่นุ่มนวลเยือกเย็นลูบไล้ใบหน้าของเขา จื่อชิวที่ชอบท่านพ่อกอดหัวเขาไว้แน่น น้ำลายเหนียวเปื้อนติดที่จมูกเขา อินหวนใช้แขนเสื้อเช็ดให้เขาจนสะอาดอย่างเอาใจใส่ เช็ดไปได้ครู่หนึ่ง ก็อดไม่ไหวแล้วมากอดหัวเขาไว้ด้วยเช่นกัน

ฝูชางหยิบเอาหนังสือสอนอ่านอีกเล่มขึ้นมา ดูแล้วองค์หญิงมังกรมีใจจะสอนบุตรชายจำตัวอักษรเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่สอนไปสอนมาตนเองกลับหลับเสียเอง เขาเริ่มสอนจื่อชิวจำอักษร อินหวนอีกด้านก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นมา สอนถึงคำว่า “ต้นไม้” เขาก็ชี้มือไปยังต้นตี้หนี่ว์ซางด้านหลัง สอนถึง “นก” เขาก็วาดรูปนกบิดๆ เบี้ยวๆ ตัวหนึ่งบนพื้น ทำให้เขายุ่งจริงๆ

ทันใดนั้นเขาก็โยนกิ่งไม้ทิ้ง แล้วปรี่ไปยังด้านหลังอย่างรวดเร็วระคนยินดี โถมเข้าใส่อ้อมอกสีดอกติงเซียงนั้น เทพน้อยตระกูลหวาซวีชอบท่านแม่มากกว่า

“ลืมเจ้าไปเลย” เสวียนอี่ลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา แล้วยังกล่าวประโยคที่ทำให้บุตรชายทำหน้าเบ้ออกมาอย่างไม่รู้สึกผิด เห็นใบหน้ากลมบูดบึ้งขึ้นมา นางก็หัวเราะออกมา นิ้วก็บีบใบหน้านั่น “พี่ชายน่ารักกว่าจริงๆ”

จื่อชิวเริ่มหันหน้ามาด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง แล้วกอดฝูชางเอาไว้แน่นราวกับจะเอาคืน คงเพราะคิดว่านี่คือวิธีที่ได้ผลที่สุดที่จะทำให้นางโมโหได้ในตอนนี้ แล้วร่างสีม่วงนั้นก็อุ้มอินหวนเข้ามา ก่อนจะมุดเข้าไปในอ้อมอกสามี แล้วเป่าลมใส่จื่อชิว “ปีศาจน้อย ไปอยู่ข้างๆ เลย”

จื่อชิวเป่าลมเลียนแบบนาง ผลคือพ่นเอาฟองน้ำลายออกมาเป็นพรวน เสวียนอี่จับแขนเสื้อของฝูชางมาบังไว้ แล้วก็ถูกเขาเขกหัวอย่างไม่หนักไม่เบา

นางไม่สนใจเขา เห็นอินหวนวาดนกกับวัวที่พื้น นางก็เสกหิมะออกมากลุ่มหนึ่ง แล้วปั้นเป็นวัวขาวที่มีชีวิตชีวา สิ่งที่อินหวนหลงใหลที่สุดก็คืองานฝีมือนี้ของนาง เรียกว่าเคารพเลื่อมใสได้เลย เขาขดตัวในอกนางแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ปั้นเสี่ยวจิ่วตัวเล็กได้ไหม เหมือนกับที่แขวนอยู่บนคอของมันตัวนั้น”

เจ้าเด็กคนนี้ชอบราชสีห์โง่งมตัวนั้นมาก คิดว่าคงเหมือนกับฝูชางในตอนนั้น

เสวียนอี่เปิดปากเอ่ยเสียงเนิบนาบว่า “เสี่ยวจิ่วหิมะจะน่าสนุกเหมือนเสี่ยวจิ่วตัวจริงได้อย่างไร เจ้าอยากจะขี่มันอีกแล้วสินะ”

แววตาทั้งสองของอินหวนเป็นประกาย “ข้าขี่ครู่หนึ่งได้ไหมขอรับ”

เสวียนอี่ยิ้มน้อยๆ “รอให้เจ้าแปลงปราณกระบี่เป็นมังกรได้ก่อนแล้วจะให้เจ้าขี่”

…ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรนั่นต้องรอไปกี่หมื่นปีกัน อินหวนถูกท่านแม่ที่รักทรมานจนน้ำตาคลอเบ้า ฝูชางเคาะศีรษะนางอีกครั้ง ไม่ไหวเลยจริงๆ

สุดท้ายเสี่ยวจิ่วก็ยังถูกพามาที่วิมานม่วง อินหวนยิ้มทั้งน้ำตาออกมาทันที เขาโถมเข้าไปหาขนนุ่มลื่นของมันอย่างเมามายเคลิบเคลิ้ม ตอนนี้ราชสีห์เก้าเศียรตัวนี้มีท่าทีเหมือนกับสัตว์พาหนะบ้างแล้ว ไม่ใช่ไม่ทันไรก็เอาแต่น้ำตาคลออย่างแต่ก่อนอีก มันมองไปยังอินหวนและจื่อชิวที่กลิ้งไปมาบนหลังของมันอย่างลึกซึ้ง ดวงตาไม่กะพริบสักนิด

เสวียนอี่เท้าคางนอนบนพรมปุยเมฆ แล้วฟังเสียงหัวเราะของเหล่าบุตรชายอย่างเกียจคร้าน ลมบริสุทธิ์พัดพามา มือคู่หนึ่งกอดนางเอาไว้ นางพิงกับอกของฝูชาง เขาก้มหน้าลงเข้ามาใกล้ผมของนาง “นอนต่อเถอะ ไว้ถึงเวลาไปที่วังวั่งซูแล้วข้าจะเรียกเจ้า”

นางพลิกมือมาลูบใบหน้าเขา “แล้วท่านเล่า”

เพราะเขาไม่ยอมหาเทพเฟยเหลียนให้กับตำหนักเหวินหวาสักที ไท่เหยาเห็นแก่ที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันจึงปล่อยไปก่อน ปล่อยให้เขาไปไล่พระจันทร์เป็นเพื่อนเทพีวั่งซูทุกคืน เทพบูรพาผู้นี้ตอนกลางวันเป็นมหาเทพ กลางคืนยังมาทำงานพิเศษเป็นเทพเฟยเหลียนอีก ช่างยุ่งเสียเหลือเกิน

ฝูชางกุมมือนางไว้ “นอนไปเถอะ”

“รอให้ข้าเป็นเทพีวั่งซูครบสองแสนปีแล้ว ก็จะหาเทพธิดาคนอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนได้” เสวียนอี่ขยี้ตากลมโตแล้วมองเขา “ศิษย์พี่ฝูชาง ถึงตอนนั้นพวกเราจะไปเที่ยวด้วยกันหรือไม่”

ฝูชางหัวเราะเสียงต่ำ “อินหวนกับจื่อชิวเล่า”

“ส่งไปให้อาจารย์สิ” นางเตรียมเกล็ดมังกรไว้แล้วสองชิ้น ไม่เชื่อหรอกว่ามหาเทพไป๋เจ๋อจะไม่รับพวกเขา

นางนี่ช่างเตรียมพร้อมเสียจริง ฝูชางจุมพิตลงบนใบหน้านาง “อยากไปไหนหรือ”

คำตอบของนางเหมือนอย่างที่เขาคาดไว้ “ไปที่ไหนก็ได้”

ใช่แล้ว ขอเพียงอยู่ด้วยกัน ไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

ฝูชางกอดนางไว้แน่น ฟังเสียงหัวเราะสดใสของอินหวนและจื่อชิวดังมาเป็นระยะๆ ใบไม้จากต้นตี้หนี่ว์ซางที่ถูกลมพัดจนหมุนวนลอยห่างไกลออกไปทุกที

[1]ดอกติงเซียง หรือดอกไลแลค พืชไม้ดอกสีม่วงแดงหรือสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกเป็นช่อขนาดใหญ่

[2]โคมไฟฤดูใบไม้ร่วงกลางสายฝน : ชื่อนวนิยายในสมัยราชวงศ์ชิงของจีน เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวอันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ โดยสอดแทรกคติและสะท้อนสังคมในสมัยนั้น