เกาะฟางจั้งของทะเลบูรพามีวังแก้วอัญมณีตั้งอยู่ นั่นคือที่พำนักของท่านผู้เฒ่าจิ่วหยวน ยามเซิน[1]ของทุกวันคลื่นมรกตประกายก็จะกลบวังแก้วอัญมณีเสียจนมิด เมื่อถึงปลายยามโหย่ว[2]ถึงได้ถอยร่นลดลงไป วังจึงจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เทพบูรพาเดินย่ำไปบนเกาะฟางจั้ง คลื่นมรกตเป็นประกายงดงามเพิ่งจะถอยลงไป วังแก้วอัญมณีเป็นประกายหลากสีท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ทิวทัศน์นี้ย่อมงดงามเหลือคณานับ
กระบี่ไม้ท้อของตระกูลหวาซวีพลันสั่นไหวเล็กน้อย เขาใช้ปลายนิ้วลูบไปเบาๆ เปิดปากเอ่ยราวกับกล่าวกับตนเองว่า “ท่านนผู้เฒ่าจิ่วหยวนผู้นี้ฝึกบำเพ็ญตบะจากมนุษย์ธรรมดาจนกลายเป็นเซียน ร้ายกาจมาก น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากแดนเทพ ไม่สามารถเป็นเทพได้ เพราะอย่างนี้เขาจึงไม่พอใจเหล่าเทพมาก ยังไม่รู้เลยว่าวังแก้วอัญมณีนี้จะเข้าไปได้หรือไม่”
เทพบูรพาเดินทอดน่องเลียบไปตามวังขนาดใหญ่ที่ส่องประกายสีทองอร่ามและเขียวมรกตระยิบระยับอย่างชื่นชม ภายในกำแพงวังสีทองที่เกือบโปร่งใสนั่น แสงสว่างสาดไปทั่ว ศาลาและอาคารเรือนต่างสว่างไสวงามประณีต ทั้งยังดูหรูหราโอ่อ่าอีกด้วย
กระบี่ไม้ท้อวิเศษส่งเสียงดังหลายครั้ง เทพบูรพากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอยากเข้าไปดู ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองดู”
เขากลายเป็นแสงสีรุ้งสายหนึ่ง บินขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้งไปยังประตูหน้าวังแก้วอัญมณีขนาดใหญ่นั่นแล้วค่อยๆ ร่อนลง แทบจะในพริบตานั้น ประตูวังก็ส่งเสียง “แอ๊ด” หนักอึ้งออกมา เทพรับใช้ในชุดตัวสั้นสีเงินสององค์ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทันใด ประสานมือแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็ท่านเทพบูรพารุ่นก่อน นายของข้าได้ยินชื่อเสียงมานาน ขอเชิญท่านมหาเทพเข้าไปพักด้านในก่อน”
…ก็ง่ายอยู่
เทพบูรพาจงใจผ่อนฝีเท้าลง เดินเยื้องย่างอยู่ภายในวังแก้วอัญมณีนี้ ตำหนักเทพงามหรูหราโอ่อ่า เขาได้เห็นมามากแล้ว ทุกอย่างของที่นี่ช่างแปลกประหลาดพิสดารนัก หากว่าให้เลือกสิ่งที่พิเศษที่สุด คิดว่าคงเป็นเรือนและศาลาทั้งหมดที่สร้างจากแก้วและอัญมณีกึ่งโปร่งใส แม้มิใช่ของหายาก ทว่ากลับน่ามองมาก ฮูหยินในกระบี่ชอบยิ่งนัก
ขึ้นไปบนแท่นสูงแท่นหนึ่ง เซียนในชุดขนนกสีดำขาวสองคนกำลังทอดมองไปยังทะเลบูรพาที่ทอประกายระยิบระยับ เพราะรู้สึกได้ว่าเขามาแล้ว เซียนจึงหมุนตัวกลับมา รูปโฉมหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน หากแต่สีหน้ากลับเย็นชามาก ท่านผู้เฒ่าจิ่วหยวนที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้ดูแล้วกลับอายุน้อยอย่างคาดไม่ถึง
“ท่านเทพบูรพา” ดูเหมือนเขาจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก แต่การคารวะกลับทำได้อย่างเคารพนบนอบยิ่งนัก
เทพบูรพาคารวะตอบอย่างมีมารยาท แล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ขอบคุณท่านประมุขวังมากที่มีน้ำใจ ข้าผ่านมาที่นี่ เห็นวังแก้วอัญมณีงดงามประณีต จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาชมดู แต่กลับรบกวนท่านประมุขวังแล้ว”
รอยยิ้มของผู้เฒ่าจิ่วหยวนราบเรียบและเบาบาง “ท่านมหาเทพมีชื่อเสียงงดงามในเรื่องมีมารยาทและความสง่างามมาตลอด บางเรื่องข้าว่าพูดตรงๆ ก็ได้ ที่เชิญมหาเทพเข้ามาในวังแก้วอัญมณีนี้ ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงดีงามของตระกูลหวาซวี แต่ว่าเพราะข้าเคยได้ยินว่ามหาเทพไม่ยอมละทิ้งไม่ยอมละห่างจากคนรักเลย มีใจมั่นคง เมื่อครู่ถึงได้ยินยอมเปิดประตูวังแก้วอัญมณีให้มหาเทพ มหาเทพอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย”
ดูไปแล้วราวกับจิตใจของประมุขวังคนนี้จะไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างไรอย่างนั้น พูดจบก็หมุนตัวมองไปยังทะเลบูรพานิ่งๆ อีกครั้ง เทพบูรพายิ้ม หาได้สนใจความเสียมารยาทของเขา แล้วจึงหมุนตัวเดินลงไปจากแท่นสูง
วังแก้ว ต้นไม้แก้ว หญ้าแก้ว ที่นี่ทุกอย่างดูโปร่งใสราวกับไม่ใช่ของจริง เทพบูรพาถูกเหล่าเทพีรับใช้นำไปยังห้องรับแขก กระทั่งภายในห้องส่วนตัวก็ยังสร้างขึ้นมาจากแก้วและอัญมณีทั้งหมด
ครั้นปิดประตูห้องแล้ว เทพบูรพารุ่นก่อนที่สุขุมเยือกเย็นผู้นี้ก็นวดตา ซ้ำยังบ่นอย่างขัดเคืองเล็กน้อย “สว่างจ้าบาดตา ตาลายไปหมดแล้ว มีอะไรน่ามองกัน”
ภายในกระบี่ไม้ท้อวิเศษมีเสียงใสของสตรีดังแว่วมา “งั้นหรือ ข้ากลับรู้สึกว่าไม่เลว”
เทพบูรพาวางกระบี่ไม้ท้อวิเศษไว้บนโต๊ะแก้ว อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “ความเห็นของพวกเราไม่เคยเหมือนกันเลย มีเพียงเรื่องลูกสะใภ้เท่านั้น ที่ยากนักจะเห็นตรงกันได้”
เสียงสตรีดังมาว่า “เรื่องนั้นข้าก็เห็นไม่เหมือนท่านอีกแล้ว ตอนนี้ข้าชอบนางมาก”
เทพบูรพาดีดกระบี่ไม้ท้อวิเศษเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เหมือนกันอีกแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็ชอบนางมากเช่นกัน”
เสียงสตรีดังราวกับหัวเราะ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “อีกไม่กี่เดือน ฝูชางก็จะแต่งงานแล้วสินะ เดิมข้ายังคิดว่าเวลาจะต้องผ่านไปอย่างเนิ่นนานและทรมานแน่ คิดไม่ถึงว่ากลับเร็วอย่างคาดไม่ถึง”
ใบหน้าที่มักงามสุขุมราวบัณฑิตของเทพบูรพาเผยความอ่อนโยนออกมาอย่างหาได้ยาก เขากล่าวเสียงเบาว่า “พวกเรายังอยู่ด้วยกัน แล้วจะทรมานได้อย่างไร”
เสียงสตรียังคงหัวเราะเบาๆ ว่า “อาจเพราะอายุมากขึ้น หลายปีนี้มักจะคิดแต่เรื่องสมัยก่อน ตอนนั้นฝูชางเพิ่งจะถือกำเนิด ไม่ยอมสนิทกับใครทั้งนั้น ข้ายังคิดว่าหากเขาเป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตจะสะดวกต่อการไปเวียนว่ายตายเกิดสักร้อยครั้ง และบรรลุการที่สัญชาตญาณไม่ดับสูญ คิดไม่ถึงว่ากลับถูกองค์หญิงมังกรตัวน้อยที่นิสัยประหลาดนั่นลากลงมาเสียได้”
เทพบูรพากล่าวเสียงอบอุ่น “เขามีนิสัยเหมือนเจ้านั่นแหละ”
เสียงสตรีกล่าว “ข้าว่าเหมือนท่านไม่น้อยเหมือนกัน ความห่างเหินที่ไม่ยอมใกล้ชิดกับใครนั่น เหมือนกับท่านในตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน”
เทพบูรพาหัวเราะออกมา ใช่แล้ว ตอนนั้น…
ตอนนั้นแดนเทพไม่ได้สงบสักเท่าไหร่แล้ว โลกเบื้องล่างมักจะมีอสูรร้ายออกอาละวาดก่อกวน แม้ว่าจะเทียบกับตี้เจียงในตอนนั้นไม่ได้ ทว่าแต่ละตัวกลับจัดการได้ยากเย็นนัก
ตอนนั้นเขายังไม่ใช่เทพบูรพา แต่ว่าเป็นบุตรชายคนเดียวของเทพบูรพา เทพจี้หราน
ตอนนั้นนางเองก็ไม่ใช่วิญญาณเทพที่ได้แต่อยู่ในกระบี่ไม้ท้อวิเศษตลอดเวลา แต่เป็นธิดาองค์โตของมหาเทพไท่อี่ บนสวรรค์ชั้นสามสิบสามขึ้นไป องค์หญิงเหย่าอิง
เหมือนอย่างที่เหย่าอิงกล่าว ตอนที่เขายังอายุน้อยนั้นเขาไม่ชอบสนิทสนมกับใคร ไม่ใส่ใจใครทั้งสิ้น กระทั่งตัวเองก็ไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ปรับตัวได้กับทุกเรื่อง พอใจกับทุกเรื่อง จุดนี้ของฝูชางเหมือนเขามากจริงๆ แต่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังน่าเข้าใกล้น่าสนิทสนมกว่าฝูชางมาก นิสัยของตระกูลหวาซวีเรียกได้ว่าอยู่ที่เขาทั้งหมด ตอนนั้นท่านพ่อเองยังชมเขาว่าเป็นตระกูลหวาซวีที่แท้จริง ความเย่อหยิ่งเย็นชาไร้อารมณ์เข้ากระดูก แต่เมื่อปรากฏตัวข้างนอก กลับควรเป็นเสมือนเทพหยกงาม[3]องค์หนึ่ง
หลายปีนั้นที่เขาเป็นเทพจี้หรานราวกับสายน้ำและแสงแดด เสมือนว่าพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว เขาปลุกวิถีกระบี่ตระกูลหวาซวีได้ตามที่ควรจะเป็น กราบอาจารย์ รับตำแหน่งก็เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะมีรูปโฉมที่สง่างามและดูเหนือธรรมดา รวมกับชื่อเสียงของตระกูลหวาซวี จึงมักมีเทพธิดาที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมาตามเกี้ยวบ่อยครั้ง หากว่าเขาสนใจบ้างก็อาจจะโอนอ่อนตามบ้าง แต่หากไม่สนใจ ก็จะยิ้มแล้วปฏิเสธ
คิดว่าจุดนี้คงทำให้ท่านพ่อไม่ชอบใจนัก จึงกล่าวว่า “ตระกูลหวาซวีไม่มีทางมีนิสัยปล่อยตัวเล่นสนุกไปทั่วแน่นอน ครองคู่เพียงหนึ่งเดียวชั่วชีวิต ใช้กระบี่ปกป้อง และไม่ทำให้ปราณกระบี่แปลงเป็นเทพต้องเสียชื่อ
แต่ว่าตัวเขากระทั่งตนเองยังไม่ใส่ใจเลย แล้วจะไปพูดถึงเรื่องครองคู่เพียงหนึ่งเดียวชั่วชีวิตได้อย่างไรกัน
ในตอนที่เทพจี้หรานอายุได้สองแสนห้าหมื่นปี อักไม่ถึงสองปีก็จะรับตำแหน่งเทพบูรพา โลกเบื้องล่างก็เริ่มมีอสูรร้ายออกอาละวาดอีก ทั้งจิ่วอิง[4] งูวารีนิลกาฬ[5]ออกมาสู้ไม่หยุดหย่อน เขาถูกจัดให้ไปอยู่ใต้บัญชาของมหาเทพโกวเฉินรุ่นก่อน ตอนที่ปราบงูวารีนิลกาฬนั้น เขาก็ได้พบกับองค์หญิงเหย่าอิง
พูดไปแล้วก็รู้สึกผิด เขาจำไม่ได้แล้วว่าท้องฟ้าในวันนั้นเป็นเช่นไร และจำไม่ได้ด้วยว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ฝนตกหรือฟ้าใส จริงๆ แล้วงูวารีนิลกาฬจัดการยากมาก เขาแปลงปราณกระบี่เป็นฟ้าดินไปห้าครั้งแล้ว ใกล้จะถึงขีดสุด แต่ก็ยังขาดไปอีกเล็กน้อย จึงไม่สามารถปราบได้หมดสิ้น
มหาเทพโกวเฉินรุ่นก่อนเองก็เป็นพวกอารมณ์ร้อน ตะคอกเสียงดังสนั่น “ตระกูลหวาซวีทางนั้น! พลังเทพหมดเร็วขนาดนี้หรือ?! เจ้าเป็นตระกูลหวาซวีประสาอะไร!”
ไม่ จริงๆ แล้วพลังเทพของเขายังเหลืออยู่อีกเล็กน้อย คิดว่าคงสามารถใช้แปลงปราณกระบี่เป็นฟ้าดินได้อีกประมาณสองครั้ง แต่ว่าเขาไม่เคยชอบทุ่มเทเต็มที่อย่างนี้มาก่อน หากว่าเสียพลังเทพทั้งหมดไปแล้วยังสู้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไร
เทพจี้หรานที่เกียจคร้านเก็บกระบี่เข้าไป เขาไม่เพียงแต่จะเก็บกระบี่เท่านั้น ยังไปหาที่สะอาดๆ แล้วนั่งลงพักด้วย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่มหาเทพโกวเฉินกำลังอ้าปากด่าอยู่
ประกายแสงคมกริบสายหนึ่งกลับพุ่งผ่านข้างกายเขา จากนั้นที่ไล่ตามไปก็คือเงาร่างสีดำที่รวดเร็วราวกับดาวตกมิปาน กระทั่งเขายังไม่ทันได้เห็นเงาร่างนี้ได้ชัดเจนเลยว่ากำลังทำท่าเช่นไร เห็นเพียงแสงสว่างทอประกายวาบตรงจุดตายของงูวารีนิลกาฬ ก่อนจะแทงลึกลงไปในนั้น คราวนี้เขาถึงได้มองชัดว่านั่นคือง้าวยาวที่เป็นสีเงินตลอดทั้งตัวเล่มเล่มหนึ่ง เมื่อมันปักเข้าไปในร่างงูนิลกาฬแล้ว เงาร่างสีดำนั่นก็เหยียบลงไปบนนั้นอย่างง่ายดายราวกับใบไม้ร่วง ง้าวยาวแทงทะลุจุดตายในพริบตา ทำให้งูวารีนิลกาฬบาดเจ็บสาหัส
เสียงมหาเทพโกวเฉินร้องว่าดีดังขึ้น สั่นสะเทือนจนเกือบทำให้เขาหูหนวก คิดว่าเพราะทุกอย่างนี้เร็วเกินไป อาวุธเทพแทงทะลุจุดตาย ทุกคนยังคิดว่างูวารีนิลกาฬจะต้องตายแน่นอนแล้ว จึงพลันคลายความระวังกัน กระทั่งเงาร่างสีดำสายนั้นก็ยังผ่อนลงและเตรียมจะหมุนตัว
อสูรร้ายดิ้นรนอย่างแรงและหลุดออกมา คลื่นน้ำสีดำม้วนตัวมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่กลับถูกต้านไว้ด้วยแสงสีทองเป็นประกายในพริบตา แปลงกระบี่เป็นฟ้าดินครั้งที่หกของเทพจี้หรานค่อยๆ ทำให้สัตว์ประหลาดตนนั้นกลายเป็นชิ้นๆ อย่างแท้จริง
—
[1]ยามเซิน : ช่วงเวลาตั้งแต่ 15.00 น. – 16.59 น.
[2]ยามโหย่ว : ช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 น. – 18.59 น.
[3]หยกงาม : หมายถึงรูปโฉมและนิสัยดีงาม บริสุทธิ์
[4]จิ่วอิง : สัตว์ดุร้ายในตำนานจีนโบราณ เป็นสัตว์ประหลาดธาตุน้ำและไฟ
[5]งูวารีนิลกาฬ : งูยักษ์ร่างสีดำทั้งร่าง ท้องสีขาว ตาสีเขียว ลำตัวหนาสี่จั้ง ความยาวร้อยจั้ง