บทที่ 182 บุรุษผู้แก่เฒ่าไปด้วยกัน (2)

บุหลันเคียงรัก

เหล่าเทพต่างทั้งกลัวทั้งดีใจ ตัวแข็งค้างอยู่กับที่ ร่างเงาสีดำนั่นก็แข็งค้างไปครู่หนึ่งเช่นกัน ก่อนจะหมุนตัวพร้อมกับเหาะมาทางเขาอย่างเชื่องช้า เอวเพรียว ไหล่บาง ข้อมือขาวสะอาด เป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง

บนศีรษะของนางสวมใส่หมวกทรงกรวยสีดำอย่างที่เทพธิดานักรบในยุคนี้มักจะใส่กัน คิดว่าเพราะกลัวเลือดของปีศาจชั่วจะเลอะถูกใบหน้าเข้า นางถอดหมวกลงมา ดวงตาและคิ้วดำสนิทดุจหมึก เทพจี้หรานพลันคิดขึ้นมาว่า นางมีรูปโฉมงดงามกว่าธิดาองค์ที่สามของจักรพรรดิที่เป็นที่เลื่องลือในด้านความงามเป็นเลิศผู้นั้นเสียอีก แม้ว่าฝีมือจะร้ายกาจ แต่กลับไม่ได้ดูแข็งกร้าวอย่างนั้น ดูแล้วก็นุ่มนวลอยู่มาก นางเข้ามาคารวะให้เขาอย่างงดงาม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงใสเสนาะหูว่า “ขอบคุณเทพจี้หรานมากที่ช่วยเหลือ”

นี่ก็คือเหย่าอิง ที่เพิ่งจะถูกจัดมาให้อยู่ในบังคับบัญชาของมหาเทพโกวเฉิน

ภายหลังเขาถึงได้ค่อยๆ รู้ว่า นางคือธิดาองค์โตของมหาเทพไท่อี่ แลดูบอบบางอ่อนแอก็จริง ทว่ากลับเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธสู้รบระยะประชิดมาก ของหลายอย่างในโลกนี้ไม่สามารถมองเพียงภายนอกได้ เสมือนกับนางที่สูงศักดิ์และงดงามอย่างนี้ แต่กลับมุ่งหวังในเรื่องการเลื่อนขั้นฝีมือต่อสู้และตบะมาก นางดูเหมือนจะไม่ใช่คนกล้าหาญ แต่ทำอะไรกลับใจกล้ามาก

ธิดาองค์โตของมหาเทพไท่อี่หลงรักเทพจี้หรานของตระกูลหวาซวีตั้งแต่แรกพบ ทั้งยังสารภาพรักกับเขาด้วยความจริงจังและร้อนแรงอีกด้วย

วันนั้นคือวันในฤดูหนาวที่หิมะตกหนัก องค์หญิงใหญ่เอาแต่ติดตามเทพจี้หรานตลอดทั้งวันราวกับเป็นหางด้วยท่าทีสบายๆ แต่กลับเปี่ยมล้นด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยวไม่ยอมลดละ นางกล่าวกับเขาทีละคำๆ “เทพจี้หราน ข้าชอบท่าน หากท่านคิดว่าข้าก็ไม่เลว ท่านจะลองพิจารณาข้าดูสักหน่อยได้ไหม”

จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลวไม่เลว เขาไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น เป็นนางก็ได้ ไม่ใช่นางก็ได้ เทพธิดามากมายขนาดนั้น นางเป็นคนแรกที่ใจกล้าแสดงความรักออกมาอย่างตรงๆแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นนางแล้วกัน

เทพจี้หรานคิด แล้วกล่าวเสียงนุ่มนวล “พิจารณาอะไรของเจ้า”

ใบหน้าขององค์หญิงเหย่าอิงปรากฏริ้วแดงขึ้นมา รู้จักอายแล้ว แต่ทว่านางกลับไม่ยอมก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “พิจารณา…พิจารณาเรื่องแต่งงานหลังจากรับตำแหน่งมหาเทพแล้วน่ะสิ”

เดิมคิดว่าเทพผู้เกียจคร้านและเยือกเย็นสง่างามผู้นี้คงจะต้องปฏิเสธอย่างนุ่มนวล หรือคลี่ยิ้มบางๆเหมือนเช่นเคย ใครจะรู้ว่าเขากลับนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็วราวกับตกลงกินข้าวอย่างนั้น “ได้สิ”

องค์หญิงเหย่าอิงอ้าปาก แสดงสีหน้าที่น่ารักมากเป็นพิเศษออกมา “ท่าน…ไม่ต้องไตร่ตรองให้ละเอียดก่อนจริงๆหรือ”

เทพจี้หรานรู้สึกว่าท่าทางอย่างนี้ของนางน่าสนใจมาก จึงอดที่จะยื่นมือไปปิดปากให้นางไม่ได้

แล้วนางก็ถามอีกว่า “ท่านชอบข้าหรือ”

คราวนี้เทพจี้หรานกลับยิ้มบางๆให้นาง “ตระกูลหวาซวีครองคู่เพียงหนึ่งเดียวชั่วชีวิต ทั้งชีวิตนี้ข้าจะปฏิบัติกับฮูหยินเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง”

ขอเพียงสู่ขอนางมาแล้ว เขาก็จะรักษาวิถีปฏิบัติของตระกูลหวาซวี ปกป้องถึงที่สุด ส่วนที่ว่าชอบหรือไม่นั้น…มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ

ท่าทีขององค์หญิงเหย่าอิงกลับไม่ได้ดีใจอย่างที่เขาคิดไว้ นางกลับขมวดคิ้ว ดวงตากลอกไปมาแล้วกล่าวซ้ำอีกว่า “ข้าหวังว่าท่านจะสู่ขอข้าเพราะท่านชอบข้า หากว่าตอนนี้ท่านยังไม่ชอบข้า พวกเราค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”

เทพจี้หรานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าชอบอะไรข้าหรือ”

ใบหน้าขององค์หญิงเหย่าอิงแดงขึ้น แต่กลับยังคงแบมือแล้วรวมความกล้า “ข้า ข้ารู้สึกว่าท่านทำอะไรนุ่มนวล รู้จักตึงรู้จักผ่อนปรน มีนิสัยอย่างสุภาพบุรุษ ทำให้ข้าชื่นชมมาก นอกจากนี้ ท่านยังช่วยข้าไว้อีก วิถีกระบี่ของท่านเองก็ทำให้ข้าชื่นชมด้วยเช่นกัน”

…เพราะอย่างนี้ก็เลยชอบงั้นหรือ ฟังดูแล้วก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เทพจี้หรานกล่าวช้าๆว่า “ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้า…น่าสนใจมาก ฝีมือต่อสู้เฉียบคมคล่องแคล่ว ดังนั้น…”

เดิมเขาคิดว่าจะสามารถพูดออกมาได้อย่างลื่นไหล แต่ว่าคำพูดมาถึงปากแล้วแต่กลับไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลายเป็นติดๆขัดๆไป เขารู้สึกได้ว่าท่าทีเช่นนี้ไม่เหมาะนัก จึงปิดปากลงเสียเลย

ดวงตาราวสายน้ำในฤดูสารทขององค์หญิงเหย่าอิงที่อยู่ตรงข้ามจับจ้องมองเขา ราวกับอยากจะมองทะลุเปลือกนอกที่เกียจคร้านและนุ่มนวลเยือกเย็นของเขาและค้นพบหัวใจอันแสนเย็นชาจืดชืดของเขา เทพจี้หรานเกิดความรู้สึกไม่รู้จะรับมืออย่างไรและขุ่นเคืองขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาถอยไปสองก้าว แล้วพยักหน้าคารวะอย่างสง่างามพร้อมกับหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

แขนเสื้อกว้างถูกคว้าเอาไว้ องค์หญิงเหย่าอิงจ้องเขาเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงขึ้นอีกครา คราวนี้ในที่สุดก็ก้มหน้าลง น้ำเสียงก็เบาลงไป “ถ้าเช่นนั้น…ขอแค่ท่านไม่ไปชอบเทพธิดาองค์อื่นก็พอ”

องค์หญิงที่แปรเปลี่ยนได้รวดเร็ว…เทพจี้หรานมองนางนิ่งๆอย่างไร้คำพูด นางเองก็แอบมองเขาเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน ใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้เขา

เป็นรอยยิ้มที่งดงามยิ่งนัก จนกระทั่งถึงตอนนี้ตัวเขาก็ยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน

อายุสองแสนห้าหมื่นปีรับตำแหน่งมหาเทพ อีกสามปีต่อมา เป็นพิธีเสกสมรสของเทพบูรพากับองค์หญิงเหย่าอิงธิดาองค์โตในมหาเทพไท่อี่

เทพจี้หรานคิดมาตลอดว่าตนเองทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตรงที่ควรเอาใจใส่ก็เอาใจใส่ ควรอ่อนโยนก็อ่อนโยน และมีใจมั่นไม่เป็นสอง ปกป้องอย่างจริงจัง เป็นสามีภรรยากันไปอย่างนี้ ชอบหรือไม่ชอบ สำคัญที่ตรงไหน เป็นใครก็ได้ทั้งนั้น เป็นนางได้ ให้เกียรติกันเสมือนแขก เคารพซึ่งกันและกัน ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบราบเรียบไปทั้งชีวิต

หากแต่รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงเหย่าอิงนับวันกลับยิ่งลดน้อยลงไป กระทั่งเรื่องที่ลับที่สุดอย่างเรื่องบนเตียง นางก็ไม่มีความสุขอีก ตรงกันข้ามกลับดูเหมือนกำลังอดทนกับอะไรบางอย่างอย่างไรอย่างนั้น

จนกระทั่งวันหนึ่ง ช่วงหัวค่ำเขาดื่มมากไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย ลูบไปข้างๆ เตียงกลับไม่พบนาง จึงสวมชุดคลุมแล้วเดินไปที่ริมทะเลสาบเฉิงเจียง กลับเห็นนางถอดชุดคลุมยาวที่งดงามตัวหลวมออกแล้วสวมใส่ชุดนักรบที่คล่องตัวแทน กำลังมุ่งมั่นฝึกซ้อมง้าวอย่างจดจ่อตั้งใจ

นับตั้งแต่แต่งงานกับเขามา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางสวมชุดนักรบใหม่อีกครั้ง ความอดทนและความผิดหวังที่ข่มเอาไว้เหล่านั้น ตอนนี้หายไปหมด นางที่กำลังจดจ่อเหมือนกับตอนนั้นที่สารภาพรักกับเขา

เทพจี้หรานพลันรู้สึกว่า นางในตอนนี้ดูไปแล้วยังงดงามจับตามากกว่าทุกวันที่ผ่านมา บางทีอาจเพราะแสงแดดจากริมทะเลสาบเฉิงเจียงที่สว่างจ้าเกินไป ทำให้ร่างทั้งร่างของนางราวกับเปล่งแสงได้

เมื่อฝึกซ้อมเสร็จไปชุดหนึ่งแล้ว นางก็โยนง้าวทิ้งไปเบาๆ มันปักไว้ริมทะเลสาบ ครั้นหมุนตัวกลับมาเห็นเขาเข้า นางก็ชะงักไปเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมา “ไม่ได้ฝึกฝนง้าวมาตั้งนาน สบายจริงๆ”

พูดจบ นางก็เดินเฉียดไหล่ของเขาไป

จี้หรานยกแขนไปจับข้อมือนางเอาไว้ราวกับเป็นไปตามสัญชาตญาณ จับตัวนางให้ตรง เขาเห็นใบหน้านางเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ก็ใช้แขนเสื้อเช็ดให้นาง

ดวงตาราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วงของเหย่าอิงมองมาที่ใบหน้าของเขา เขาไม่ได้มองไป ผ่านไปครู่หนึ่ง นางเอ่ยปากว่า “ข้าอยากจะเลื่อนขั้นต่อไป ยังไม่อยากถูกรบกวน พรุ่งนี้จะย้ายไปอยู่ที่เรือนตรงไหล่เขาก่อนชั่วคราว”

ย้ายออกจากวังเทพบูรพาหรือ ไม่ได้พูดว่าชอบเขาหรือ เพราะเหตุใดแต่งงานแล้วกลับไม่เหมือนอย่างแต่ก่อน

เหย่าอิงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “บางทีข้าอาจจะทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงไป คิดไปว่าสักวันท่านคงจะ…เป็นข้าที่ผิดเอง ข้ากลัวจริงๆว่าต่อไปข้าจะกลายเป็นภรรยาที่เอาแต่โกรธเคืองสามี เป็นอย่างนั้นต้องน่ากลัวมากแน่ โชคยังดีที่ข้ายังไม่ลืมความฝันที่จะต้องไล่ตามระดับวิถียุทธ์”

นางลูบแขนเสื้อเขา “อะไรๆ ท่านก็ดี ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”

ก็แค่ไม่ได้ชอบนางเท่านั้นเอง เขาก็แค่ไม่ได้ชอบใครทั้งนั้น รวมถึงตัวเขาเอง เขาก็แค่ไม่ได้ชอบเท่านั้น ความรู้สึกฉันสามีภรรยาที่ผ่านมาหลายปีนี้ เขาทำได้ดีมาตลอด แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ

“หากว่ามีฝันบอกเหตุมา ก็บอกข้า” เหย่าอิงยิ้ม ใบหน้ามีรอยแดงปรากฏขึ้น ราวกับวันที่สารภาพวันนั้น “แต่ว่าคงไม่น่าจะมาเร็วนักหรอก”

จี้หรานมองนางผลักมือของตนเองออกไปนิ่งๆ นางถือง้าวแล้วเดินเลียบตามริมทะเลสาบจากไปช้าๆ องค์หญิงใหญ่ที่บอกชอบเขามาตลอด กลับเปลี่ยนแปลงและเลือกที่จะถอยจากไปแล้ว