“ทำไมพวกมันไม่เข้ามาแล้วล่ะ?” มู่เฉินจ้องแมงมุมพวกนั้นอย่างไม่ละสายตา พลางถามเสียงเบา เขาลอบกำด้ามมีดแน่น ในใจก็คิดว่าแทนที่จะรออย่างหวาดกลัว เข้ามาสู้ให้จบๆ กันไปเลยดีกว่า…เพราะไม่ว่าแมงมุมพวกนี้จะกระโจนเข้ามาด้วยรูปแบบไหน ยังไงสุดท้ายพวกเขาก็ต้องสู้อยู่ดี
เฮยซือยินนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม บอกว่า “พวกมันกำลังรอให้ไฟดับหมด ทันทีที่ไม่มีแสงสว่าง ถึงแม้พวกนายจะเตรียมอุปกรณ์จำพวกไฟฉายไว้ ก็ยังต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ…ดูท่า อีกฝ่ายรู้สึกกลัวแล้วจริงๆ พวกมันเองก็ไม่อยากเสียแมงมุมไปกับเรามากไปกว่านี้ เพราะยังไง ในทีมเรายังมีสมาชิกอีกครึ่งที่ยังไม่ปรากฏตัว แต่ถ้าคิดอีกมุม พวกเราก็ถือว่าซื้อเวลาได้บ้างแล้ว ดังนั้น พวกนายทุกคนฉวยโอกาสนี้พักเอาแรงให้ได้มากที่สุดแล้วกัน เจ้าเฟิ่งจื่อนั่นฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ว่านายกับเย่…นายหัวเกรียนน่ะ พวกนายสองคนเป็นผู้มีพลังพิเศษสายศักยภาพร่างกายไม่ใช่หรอ? ที่เหลือ แค่ปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้านา…ให้เป็นหน้าที่หลิงม่อเถอะ”
“จะเรียกชื่อฉันออกมาแล้วแท้ๆ ทำไมต้องจงใจเปลี่ยนคำดื้อๆ ด้วย…”
เย่ไคบ่นพึมพำ แต่สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา เขายกฝ่ามือลูบหัวเกรียนๆ ที่โชกไปด้วยเหงื่อของตัวเองไม่หยุด ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่อวี่เหวินซวนก็เก็บรอยยิ้มบ้าคลั่งที่เห็นในยามปกติ กระทั่งเปลี่ยนเป็นพูดน้อยลงมาก แต่ถ้าหากชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆ เขา ก็จะได้ยินเขากำลังบ่นพึมพำอะไรบางอย่างไม่หยุด เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง แต่ก็เหมือนกำลังพูดกับใครอีกคน
ถึงแม้เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงสองนาที แต่สำหรับคนที่อยู่ในสนามรบ พวกเขากลับใช้พลังจนถึงขีดจำกัดไปหลายรอบแล้ว บางทีในการต่อสู้ปกติพวกเขาอาจยืนหยัดได้นานถึงครึ่งวัน แต่ในการสู้รบที่ดำเนินไปอย่างดุเดือดร้อนแรงตลอดเวลาอย่างนี้ พวกเขากลับสามารถล้มได้ตลอดเวลา เกร็งประสาททั่วร่าง และแสดงพลังกับความเร็วออกมาให้มากที่สุด…อาศัยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่ปล่อยให้แมงมุมรอดชีวิตเข้ามาได้ซักตัว หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา เกรงว่าป่านนี้คงไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซากศพแล้ว ถึงจะมีอาวุธดีอีกแค่ไหน แต่ถ้าการตอบสนองทางร่างกายเร็วไม่พอ มันก็เปล่าประโยชน์…
และทุกคนในตอนนี้ ก็เริ่มรู้สึกอ่อนแรงไม่ต่างจากคนธรรมดา…จึงไม่แปลกที่เฮยซือจะพูดอย่างนั้น
ถ่วงเวลาหรอ?
แต่ถึงจะคุมเชิงกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ จะมีโอกาสที่พวกเขาจะพลิกสถานการณ์ได้จริงๆ หรอ…
ถึงแม้เฮยซือบอกว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่หลิงม่อ…แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อยู่เบื้องหลังที่มองไม่เห็นเหล่านั้น ทุกคนต่างอดตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้…
เปลวเพลิงนี้ จะลุกไหม้ไปได้อีกนานแค่ไหน?
…………
เคร้ง!
เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ไฟแช็กที่เพิ่งจะสว่างพลันดับไปอีกครั้ง
ชายคนหนึ่งที่กำลังพูดหันมามองอย่างสงสัย เขามองไปที่รถยนต์คันนั้น และพูดแทรกคนที่เหลือว่า “เดี๋ยวก่อน หยุดพูดได้แล้ว เมื่อกี้พวกแกไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรอ?”
“เสียง? ก็ไม่นี่…”
“มีเสียงอะไรที่ไหน ตอนนี้นอกจากโรงงานหลังนั้น ทั้งอำเภอหลีหมิงก็มีแต่พวกเรานี่แหละ”
ชายคนแรกกลับลุกขึ้นยืน เขามองซ้ายมองขวา แล้วถาม “ไม่ใช่ แล้วอีกคนล่ะไปไหน? พวกแกมีใครเห็นหลี่เฉิงกวงบ้าง?”
“ไม่ได้สังเกตเลย”
“ไปฉี่หรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็กลับมาแล้ว ลุกพี่สั่งมาแล้วไม่ใช่หรอ? ให้พวกเรารอไปก่อน”
“ใช่ พักกันก่อนเถอะน่า ไม่งั้นได้เหนื่อยตายจริงๆ แน่”
คนพวกนี้ถูกดูดเลือด เห็นชัดว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก แต่ว่านั่งพักเพียงไม่นาน สีหน้าพวกเขาก็เริ่มแดงเรื่อขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทว่าหนึ่งในกลุ่มกลับขมวดคิ้ว บอกว่า “เป็นบ้าอะไรของมัน เวลาอย่างนี้ยังจะไปไหนไม่บอกอีก! ฉันว่ามันคงคิดอู้แน่ๆ เฮ่อเจิ้น ฉันกับนายไปตามหาหมอนั่นกัน”
ชายคนนี้คือคนที่พูดจาขวานผ่าซากในตอนแรกนั่นเอง พอเขาอ้าปาก คนที่เหลือต่างพากันฉีกยิ้มหยัน
ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเฮ่อเจิ้นพยักหน้า พูดว่า “ไปสิพี่หลี่ ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะถูกขังไว้ในโรงงานแล้ว แต่ระวังไว้ก่อนย่อมเป็นการดีกว่า เวลาอย่างนี้ ระแวงทุกรายละเอียดไว้ก่อนดีกว่า”
“ป่ะ” พี่หลี่เหลือบเขาแวบหนึ่ง พลางตอบรับเสียงห้วนหนึ่งคำ ขณะที่เจ้าตัวเดินไปยังทิศที่เสียงดังขึ้นก่อนแล้ว
เฮ่อเจิ้นรีบเดินตามหลังไป ทั้งสองเพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่ไกล ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรั้วกั้นทางเดินเท้าก็ถลึงตาจ้องไปยังทิศที่พวกเขาเดินจากไปอย่างหงุดหงิด และเริ่มด่าทอ “พ่อเอ็ง ทำเป็นพูดดีที่แท้ก็ด่าพวกเราทางอ้อม นึกว่าเป็นผู้มีความสามารถพิเศษแล้วจะวิเศษวิโสนักหรอ…ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่มันก็มีชีวิตไม่ต่างจากพวกเราเหมือนกัน…”
เขาเพิ่งจะพูดสองสามคำ ก็มีคนพูดขึ้นเสียงเบา “แกไม่ต้องพูดแล้ว! แกก็สู้เขาไม่ได้นี่…”
“ก็มันจริงนี่ ทำเป็นฉวยโอกาสสั่งสอน! เชื่อก็โง่แล้ว หรือคนพวกนั้นจะเดินฝ่าดงแมงมุมออกมาได้ล่ะ? ถ้าหากว่ามีคนซุ่มตัวอยู่ในอำเภอหลีหมิงก่อนแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็คงจะรู้ตั้งแต่ตอนที่แมงมุมทั้งฝูงเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งเมืองแล้ว…” ชายคนนั้นบ่นอย่างไม่พอใจ พอเห็นไม่มีใครพูดอะไร เขาก็เงียบปากอย่างหมดความสนใจ
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของเฮ่อเจิ้นกลับดังมาจากทางนั้น
“เกิดอะไรขึ้น!”
ในขณะที่ทุกคนเพิ่งจะหันหน้าไป พวกเขาก็เห็นเหตุการณ์หนึ่งเข้าพอดี—
เฮ่อเจิ้นเพิ่งจะก้มเก็บบางสิ่งขึ้นมาจากพื้น พอเขาเงยหน้า ก็ได้ยินเสียงพี่หลี่ตะโกนว่า “หยุดเดี๋ยวนี้” จากนั้นก็วิ่งไปหลังรถทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
คนเหล่านั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สีหน้าต่างฉายแววสับสนงุนงง
ชายสองคนพลันได้สติ รีบวิ่งตามไปตรงนั้น พวกเขาวิ่งไปด้วยตะโกนถามไปด้วย
เฮ่อเจิ้นรีบวิ่งตามพี่หลี่ไป ไม่มีเวลาอธิบายมาก เพียงตะโกนตอบ “ตรงนี้มีเลือด! แล้วไฟแช็กก็หล่นอยู่ตรงนี้ด้วย!”
“เลือด?”
พอสองคนนั้นวิ่งไปถึงหน้ารถ แล้วหันหน้ามองไปอีกมุมของรถ สีหน้าพลันฉายแววตื่นตะลึง
มีเลือดอยู่จริงๆ ด้วย…
บนหน้าต่างรถ…หรือแม้แต่บนกระจกกั้นลมหน้ารถ มีแต่เลือดเต็มไปหมด บนพื้นยังมีหยดเลือดเล็กๆ กระจายอยู่ ทว่ากลัวไม่เห็นเงาร่างของหลี่เฉิงกวง…
เวลานี้ พี่หลี่ได้วิ่งตามเข้าไปในตรอกเล็กเส้นหนึ่ง
เขาวิ่งเร็วกว่าเฮ่อเจิ้นมาก ประสาทสัมผัสก็ว่องไวกว่ามาก เฮ่อเจิ้นได้ยินเพียงเสียงตะโกนของเขา แต่กลับไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไร…ถึงแม้ในใจสงสัย แต่พี่หลี่ก็ยังวิ่งตามมาทันที และไม่คิดรอคนอื่นด้วย ถ้าหากหยุดวิ่ง ป่านนี้อีกฝ่ายคงหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว…
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
พี่หลี่ตะโกนอย่างเดือดดาล
เขาหยุดวิ่งอยู่ตรงมุมโค้งที่เป็นทางแยก กวาดมองซ้ายขวาอย่างร้อนใจ
ทันใดนั้น เขาเห็นจุดสีแดงบนพื้น…ถึงแม้ในเวลากลางคืนจะเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่มันก็ยังพอแยกด้วยตาเปล่าได้
รอยเลือดลากยาวไปยังทางแยกหนึ่งในนั้น เขามองตามไป แล้วก็เห็นเงาร่างหนึ่งยืนจ้องเขาและซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง
พอเห็นเขาหันมา เงาร่างรีบหดตัวกลับเข้าไป
“อย่าขยับนะ!”
พี่หลี่ตะโกนสุดเสียง จากนั้นก็กัดฟันวิ่งตามไปทันที…
————————————–