“แล้วก็เอาความหวังดีของเจ้าออกไปให้ห่างข้าให้ไกลที่สุดด้วย!”
ซือหยูมองหลิวลี่ด้วยความเหยียดหยาม
“ไม่มีใครขอให้เจ้าเข้ามายุ่ง อย่าถือตัวให้มากนัก!”
ใบหน้าหลิวลี่เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับไปใจเย็นและดูถูกซือหยูดังเดิม
“เจ้ามันกะโหลกหนา! คนอย่างเจ้าจะต้องสูญเสียก่อนถึงจะรู้ว่าเมื่อใดควรจะรุก เมื่อใดควรจะถอย”
“ข้าจะไม่เอาตัวเองไปยุ่งกับเจ้าอีกแล้ว ความเป็นตายของเจ้าไม่ใช่เรื่องของข้า ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย อย่าสร้างปัญหาให้ข้า”
“ไป!”
เขาขี่วิหคครามและทะยานขึ้นฟ้า
ซือหยูหัวเราะ
“น่าขันนัก ข้าไปสร้างปัญหาให้เจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้ามันโอหังแล้วเอาตัวมายุ่งกับเรื่องของคนอื่น แล้วก็ยังคิดร้ายอีก!”
หลิวลี่ส่ายหน้าเบาๆ
“ยิ่งต่ำต้อยยิ่งยึดมั่นถือมั่น หยินหยู ข้าเวทนาเจ้าจริงๆ”
ฟึ่บ–
วิหคครามบินหายลับฟ้า
ซือหยูถอนหายใจเบาๆ
“ข้าก็เวทนาเจ้าเหมือนกัน”
หลิวลี่ที่อยู่บนนภาราวกับได้ยินเสียงถอนหายใจของซือหยู เขาหันไปมองซือหยูที่อยู่บนพื้นและพูดกับตัวเองเบาๆ
“คนอย่างเจ้ามันเกินเยียวยา”
ที่พื้นดิน
ซือหยูหันกลับไปหาแม่หญิงเหยา
“ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องชมเรื่องน่าขัน! ถ้าคนที่เข้ามายุ่งจากไปแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ทำเถอะ จบเรื่องของพวกเราเสียที่นี่”
นางจะกล้าทำอะไรอีกเมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงของซือหยู?
ไม่ต้องพูดถึงตัวตนของรองเจ้าตำหนักเลย แค่พลังอย่างเดียวก็มิใช่สิ่งที่ตระกูลเหยาจะต่อกรได้
“เจ้าตำหนักหยินหยูเข้าใจผิดแล้ว โจวจิ้งได้วางอุบายหลอกตระกูลเหยา ท่านเจ้าตำหนักโปรดวางใจ”
ท่าทางของนางเปลี่ยนไป นางฝืนยิ้มทื่อๆ
ซือหยูเลิกทำสีหน้าเย็นชา
“ดูเหมือนเจ้าจะพอคุยรู้เรื่องนะ!”
ถ้านางมิอาจแยกแยะผิดชอบได้ ซือหยูก็ไม่ติดใจที่จะล้างสังหารลบนามตระกูลเหยาออกจากหน้าประวัติศาสตร์
นางที่ได้ยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ข้าทำให้ท่านหยินหยูต้องตกใจ โปรดตามพวกเรากลับไปคุยกันเถอะ ข้าจะใช้โอกาสนี้ขออภัยกับท่าน”
ซือหยูโบกมือปฏิเสธ
“ไม่จำเป็น เจ้ารีบหาตัวลูกสะใภ้ของเจ้าให้เจอโดยเร็วจะดีกว่า”
“แล้วก็ ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย”
ส่วนลึกในแววตาของซือหยูเป็นประกาย
“โอสถแบบใดกันที่เป็นโอสถโบราณของตระกูลเหยา?”
นางชักสีหน้าทันที นางหน้าซีด
นางเพียงคิดถึงเรื่องพลังของซือหยูและทำให้นางต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
แม้จะเป็นไปได้มากที่ซือหยูไม่ได้สังหารลูกชายของนาย ยอดฝีมือมากมายในตระกูลเหยาก็ตายเพราะเขา นั่นคือหนี้โลหิตครั้งใหญ่
และไม่เพียงแต่เขาจะฆ่าคนตระกูลเหยา เขายังต้องการโอสถโบราณของตระกูลเหยาอีก
เขาจะเกินไปแล้ว
“ข้าไม่ได้สนใจสูตรปรุงยาของเจ้าหรอก เก็บความกังวลไร้สาระของเจ้าไว้เถอะ ข้าแค่อยากรู้ว่าโอสถนั่นใช้ทำอะไรถึงมีคนมากมายต้องการมันเช่นนั้น”
ซือหยูเดาว่ามีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่แรงจูงใจของโจวจิ้งจะเป็นสูตรปรุงยา
นางงุนงงและหยุดใช้จิตสังหารที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันและพูดอย่างโล่งใจ
“เช่นนั้นท่านก็แค่สงสัยสินะ โอสถนพอาสัญมิใช่โอสถลับ มีคนมากมายรู้จักมัน วิธีใช้มีอย่างเดียวเท่านั้น…คือการทำลายฐานพลังของคนที่กินมันเข้าไป!”
“มันมีผลกับขอบเขตอำมฤตทุกระดับ”
ซือหยูแววตาเริ่มจริงจัง
“เช่นนั้นตระกูลเจ้าก็ไม่มีโอสถมาตั้งนานแล้วสินะ?”
นางประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ตระหนักถึงความลึกล้ำของเจ้าตำหนักหยินหยู
ในเรื่องที่ว่าตระกูลเหยายังมีโอสถอยู่หรือไม่ คนภายนอกนั้นมีข้อคิดเห็นต่างๆนานา แต่เจ้าตำหนักหยินหยูกลับบอกได้เลยว่าตระกูลเหยาไม่มีโอสถอีกแล้ว
“ทำไมท่านคิดเช่นนั้นล่ะ?”
นางถามกลับ
ซือหยูหัวเราะ
“ถ้าตระกูลเจ้ายังมีโอสถเช่นนั้นอยู่ ตระกูลเจ้าจะมาอยู่ในทวีปแห่งนี้รึ?”
โอสถที่มีพลังขัดบัญชาสวรรค์อันสามารถทำลายคนในขอบเขตอำมฤตได้ ใครกันบ้างที่จะไม่หวาดกลัว?
สำหรับพวกเขา มันควรจะเป็นเครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่ราวกับอาวุธลับ
แต่ตระกูลเหยาก็อยู่อย่างสงบสุขในปราการวิหคเพลิงดั่งตระกูลธรรมดา บางทีโอสถนั่นอาจจะไม่มีอยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว
นางตกใจ ช่างเป็นรองเจ้าตำหนักที่ฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก
นางพยักหน้า
“ท่านเจ้าตำหนักพูดถูกแล้ว โอสถนั่นสูญหายไปนานแล้ว! แม้ท่านจะมีวัตถุดิบกับสูตรปรุง ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะปรุงมันขึ้นมา”
“โอสถนพอาสัญนั้นมิอาจถูกปรุงได้ แต่มันถูกพบในซากโบราณ! ตระกูลเหยาค้นคว้าการปรุงโอสถนี้มาหลายร้อยปี แต่พวกเราก็พบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปรุงโอสถเช่นนั้น! เพราะโอสถมันไม่ใช่โอสถที่มาจากทวีปเฉินหลง!”
“พวกเขาขาดพลังลึกลับที่ทวีปเฉินหลงไม่มี นอกจะซากจะมีคนนอกทวีปเฉินหลงมาปรุงเอง…ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครปรุงมันได้”
“จะพูดก็ได้ว่านั่นคือสูตรปรุงยาของโอสถที่ไม่มีวันทำได้”
พลังลึกลับที่ทวีปเฉินหลงไม่มีรึ? ซือหยูคิดกับตัวเอง หรือว่าจะยังมีดินแดนอื่นนอกทวีปเฉินหลงอยู่อีกรึ?
ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่มีโอสถนพอาสัญหลงเหลืออยู่ในโลกแล้ว นั่นคือเหตุที่เหล่าขุมกำลังยิ่งใหญ่สบายใจ
ซือหยูโล่งใจเล็กน้อยที่เข้าใจเรื่องราว
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว!”
ซือหยูยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง
ที่หอวิหคเพลิง
สิ่งปลูกสร้างในเขตวิหคเพลิงนั้นหรูหราและสูงตระหง่าน
ในวันธรรมดาจะมีคนมากมายที่นี่ แต่ในวันนี้หอวิหคเพลิงนั้นมีการป้องกันอย่างแน่นหนา
เพราะว่าคืนนี้คืองานเลี้ยงจันทร์กระจ่างที่จัดขึ้นเพื่อมอบความบันเทิงให้กับเหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังต่างๆ
ตามปกติจะมีเหล่าเด็กหนุ่มที่เข้ามาโดยใช้ฐานะตำแหน่ง
“โปรดแสดงตัวตน”
ทหารยืนเรียงแถวเป็นแนวระนาบที่ทางเข้าและถามตัวตนของซือหยู
ซือหยูหยิบตรารองเจ้าตำหนักออกมาอย่างไม่ลังเล
หัวหน้าทหารที่เป็นชายวัยกลางคนขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูงหยิบตราขึ้นไปตรวจสอบ
เขามองดูมันและเลิกคิ้ว
“รองเจ้าตำหนักหยินหยู? เจ้าน่ะรึ?”
“โปรดรอสักครู่ ข้าต้องไปตรวจสอบว่าตรานี่เป็นของจริงหรือไม่”
หัวหน้าทหารไร้อารมณ์ เขาส่งตราไปให้กับทหารที่ทางเข้า
พรึ่บ–
ในตอนนั้นก็มีคนบินเข้ามาอย่างสบายๆและโยนใบไม้น้ำแข็งออกไป
ซือหยูมีแววตาเฉียบคมและเห็นนามที่สลักอยู่บนใบไม้ได้อย่างชัดเจน
“โจวเนี่ยนเฉิน!”
หัวหน้าทหารที่ไร้อารมณ์สีหน้าเปลี่ยนไป เขาฝืนยิ้มและพูดพร้อมกับประสานหมัด
“ยินดีต้อนรับท่านเนี่ยนเฉินสู่งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ข้าขอเรียนเชิญ”
เพียงแค่เหลือบตามองหัวหน้าทหารก็คืนใบไม้น้ำแข็งด้วยมือทั้งสองข้าง
ซือหยูมองชายคนนั้นหัวจรดเท้า
เขาสวมชุดสีม่วงและมีอายุประมาณยี่สิบปี เขาดูน่าหลงใหลจนแม้แต่สตรีมิอาจเทียบ เขาตัวสูงและดูยิ่งใหญ่ตระการตา
เขาเดินเชิดคางอย่างโอหัง
เขายื่นนิ้วบางๆและรับใบไม้น้ำแข็งคืนอย่างสง่างาม เขาเดินผ่านซือหยูโดยไม่หันมองเข้าสู่งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง
เทียบกันแล้ว ตราของซือหยูยังคงถูกตรวจสอบ
แม้ซือหยูจะไม่พอใจเล็กน้อย เขาก็ข่มใจและรออย่างอดทน
เขาเพิ่งจะมีชื่อเสียงได้ไม่นาน มีคนน้อยมากในทวีปที่จะรู้จักรูปลักษณ์ของเขา
ในตอนนั้น มีอีกสองคนเดินมาอย่างเงียบเชียบ
ทั้งสองยืนไหล่ชนไหล่เดินเข้ามา คนที่อยู่ทางขวาอายุประมาณยี่สิบปี เขาสวมชุดสีขาวแบบธรรมดา เขาดูใจเย็นและดูมิได้ใส่ใจกับภาวะทางโลก เขาเดินมาอย่างเรียบง่าย
ฐานพลังของเขาทำให้ซือหยูต้องตกใจ!
อำมฤตระดับสี่!!
พลังของเขาแข็งแกร่งจนน่ากลัว!
ส่วนคนที่อยู่ทางซ้ายคือสาวน้อยที่สวมชุดสีชมพู นางอายุประมาณสิบแปดปี นางดูน่าทะนุถนอม นางดูเฉลียวฉลาดแต่ก็ประหลาดเล็กน้อย นางเอนกายใกล้กับชายหนุ่มที่มาด้วยกัน ดูเหมือนนางจะสนิทกับเขามาก
พลังของนางด้อยกว่าเล็กน้อย แต่นางก็เป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูงที่ไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย
แข็งแกร่งนัก ซือหยูแอบตกใจ
หัวหน้าทหารเห็นทั้งสองคนจากระยะไกลและตัวแข็งทื่อ
“โปรดแสดงตัวตน”
หญิงสาวที่สวมชุดสีชมพูลืมตากว้างและพูดด้วยความโกรธ
“หึหึ สายตาเจ้าย่ำแย่นัก เจ้าจำราชันย์สวรรค์สองคนแรกแห่งตำหนักเฉินเทียนไม่ได้รึไงกัน? ข้าคือราชันย์สวรรค์ลำดับสอง พิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย อีกคนคือราชันย์สวรรค์ลำดับหนึ่ง กระบี่ปีศาจซงหลวน!”
สองราชันย์สวรรค์แห่งตำหนักเฉินเทียนรึ? ซือหยูหรี่ตามองทั้งสองอย่างละเอียด
ตั้งแต่ที่ไม่รู้ที่อยู่ของเจ้าตำหนักฉี เกาคังที่เป็นลำดับสามแห่งสามราชันย์สวรรค์ได้ยอมจำนนต่อฮั่นเจียงหลิน
ส่วนสองราชันย์สวรรค์นั้นปฏิเสธที่จะภักดีต่อฮั่นเจียงหลินและลงเอยด้วยการถูกจองจำ เหตุใดทั้งสองถึงมาปรากฏตัวที่งานวิหคเพลิงได้เล่า?
หัวหน้าทหารมองทั้งสองอย่างเลื่อมใส
“เช่นนั้นท่านทั้งสองก็คือกระบี่ปีศาจซงหลวนกับพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟยสินะ? ขออภัยในมารยาทที่บกพร่องของข้าด้วย!”
เห็นได้เลยว่าชื่อเสียงของทั้งคู่นั้นคำรามก้องดั่งอัสนีในจิตใจของหัวหน้าทหาร
ซงหลวนก้มลงมองเจียงมู่เฟยและยิ้ม
“มู่เฟย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเจ้าก็ต้องทำตามขั้นตอนนะ”
เจียงมู่เฟยเบ้ปาก นางโยนเครื่องแสดงตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นนางจึงได้ยินเสียงอบอุ่นน่าฟังจากซงหลวน
“ยิ่งไปกว่านั้น หยินหยูที่นามดังก้องก็รออย่างอดทนเช่นกัน เจ้าจะรีบร้อนได้ยังไงล่ะมู่เฟย?”
เจียงมู่เฟยประหลาดใจ
“หยินหยูรึ? หยินหยูคนไหนกัน?”
“ก็ต้องเป็น….หยินหยูที่เป็นรองเจ้าตำหนักที่มาจากร้อยดินแดนของพวกเรายังไงล่ะ”
ซงหลวนยิ้มและเงยหน้ามองซือหยู เขาประสานหมัดจากระยะไกล
“น้องหยินหยู ข้าอยากจะเจอเจ้ามานานเหลือเกิน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เจอเจ้าตัวเป็นๆ”
เจียงมู่เฟยลืมตากว้างและวิ่งไปที่หาซือหยู นางเดินเป็นวงกลมมองดูซือหยูจากทุกทิศทางโดยไม่เหลือที่ใดให้มองอีก
“เจ้าคือหยินหยู ปีศาจสีเงินที่ฆ่าล้างสิบยอดฝีมือในร้อยดินแดนไปมากกว่าครึ่งตัวจริงสินะ?”
ปีศาจสีเงินรึ? ซือหยูยิ้ม เขาถูกเรียกแบบนั้นในร้อยดินแดนสินะ?
อาจจะเป็นเพราะว่าในวันนั้นซือหยูฆ่าคนไปมากมาย ความป่าเืถ่อนของเขาได้ทำให้ร้อนดินแดนต้องครั่นคร้าม และเขาก็ยังมีผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นเขาจึงได้ฉายาปีศาจสีเงิน
ซือหยูมองซงหลวนและประสานหมัดคืนไป
“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านเมื่อครั้งที่อยู่ในร้อยดินแดน ข้าควรจะไปเยี่ยมเยียนท่านเพื่อขอคำชี้แนะ”
ซงหลวนยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับเป็นลายลมบางเบา
“ข้ากลับรู้สึกเสียใจยิ่งกว่าที่ข้าไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับตำนานแห่งทวีปเสียล่วงหน้า”
“ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าก็หวังว่าตำนานยอดฝีมืออย่างเจ้าจะชี้แนะข้าในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง”
ซือหยูพยักหน้าด้วยความยินดี
“คงจะเป็นเกียรติเกินไปที่ข้าจะชี้แนะท่าน พวกเราน่าจะชี้แนะซึ่งกันและกัน”
เจียงมู่เฟยไม่สนใจ
“หึหึ ข้าก็ชี้แนะได้นะ! ข้าก็อยากได้เหมือนกัน!!”
ซือหยูกับซงหลวนยิ้มขึ้นมาพร้อมกัน
ในที่สุดสีหน้าของหัวหน้าทหารก็เปลี่ยนไป
เขาคือรองเจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริง!
เขาเริ่มแสดงสีหน้านับถือ เขารีบคืนตรากับซือหยูด้วยมือทั้งสองข้าง
“เป็นท่านรองเจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริง ข้าบกพร่องในการจดจำบุคคลที่ยิ่งใหญ่ หวังว่าท่านเจ้าตำหนักจะอภัยให้ข้า!”
“เมื่อไม่นานนี้มียอดฝีมือมากมายมาที่เมือง ทุกดินแดนต่างส่งคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ข้าต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างระมัดระวัง โปรดอย่าถือสาข้าเลย”
ซือหยูกับซงหลวนหัวเราะและไม่ติดใจเอาความ
ส่วนเจียงมู่เฟย นางมิได้แสดงความปรานีแม้แต่น้อ
“เช่นนั่นแหละ นั่นก็เพราะว่าพวกเรายังดังไม่พอเท่านั้นแหละ ทำไมเจ้าถึงไม่ตรวจสอบตัวตนของมหาบุตรที่สองของหอสดับหิมะกันเล่า?”
เทียบกับมหาบุตรแห่งหอสดับหิมะ ชื่อเสียงของสามราชันย์สวรรค์แห่งร้อยดินแดนที่อยู่ห่างไกลย่อมด้อยกว่า