ตอนที่ 357

The Divine Nine Dragon Cauldron

“แล้วก็เอาความหวังดีของเจ้าออกไปให้ห่างข้าให้ไกลที่สุดด้วย!”

 

ซือหยูมองหลิวลี่ด้วยความเหยียดหยาม

 

“ไม่มีใครขอให้เจ้าเข้ามายุ่ง อย่าถือตัวให้มากนัก!”

 

ใบหน้าหลิวลี่เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับไปใจเย็นและดูถูกซือหยูดังเดิม

 

“เจ้ามันกะโหลกหนา! คนอย่างเจ้าจะต้องสูญเสียก่อนถึงจะรู้ว่าเมื่อใดควรจะรุก เมื่อใดควรจะถอย”

 

“ข้าจะไม่เอาตัวเองไปยุ่งกับเจ้าอีกแล้ว ความเป็นตายของเจ้าไม่ใช่เรื่องของข้า ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย อย่าสร้างปัญหาให้ข้า”

 

“ไป!”

 

เขาขี่วิหคครามและทะยานขึ้นฟ้า

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“น่าขันนัก ข้าไปสร้างปัญหาให้เจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้ามันโอหังแล้วเอาตัวมายุ่งกับเรื่องของคนอื่น แล้วก็ยังคิดร้ายอีก!”

 

หลิวลี่ส่ายหน้าเบาๆ

 

“ยิ่งต่ำต้อยยิ่งยึดมั่นถือมั่น หยินหยู ข้าเวทนาเจ้าจริงๆ”

 

ฟึ่บ–

 

วิหคครามบินหายลับฟ้า

 

ซือหยูถอนหายใจเบาๆ

 

“ข้าก็เวทนาเจ้าเหมือนกัน”

 

หลิวลี่ที่อยู่บนนภาราวกับได้ยินเสียงถอนหายใจของซือหยู เขาหันไปมองซือหยูที่อยู่บนพื้นและพูดกับตัวเองเบาๆ

 

“คนอย่างเจ้ามันเกินเยียวยา”

 

ที่พื้นดิน

 

ซือหยูหันกลับไปหาแม่หญิงเหยา

 

“ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องชมเรื่องน่าขัน! ถ้าคนที่เข้ามายุ่งจากไปแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ทำเถอะ จบเรื่องของพวกเราเสียที่นี่”

 

นางจะกล้าทำอะไรอีกเมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงของซือหยู?

 

ไม่ต้องพูดถึงตัวตนของรองเจ้าตำหนักเลย แค่พลังอย่างเดียวก็มิใช่สิ่งที่ตระกูลเหยาจะต่อกรได้

 

“เจ้าตำหนักหยินหยูเข้าใจผิดแล้ว โจวจิ้งได้วางอุบายหลอกตระกูลเหยา ท่านเจ้าตำหนักโปรดวางใจ”

 

ท่าทางของนางเปลี่ยนไป นางฝืนยิ้มทื่อๆ

 

ซือหยูเลิกทำสีหน้าเย็นชา

 

“ดูเหมือนเจ้าจะพอคุยรู้เรื่องนะ!”

 

ถ้านางมิอาจแยกแยะผิดชอบได้ ซือหยูก็ไม่ติดใจที่จะล้างสังหารลบนามตระกูลเหยาออกจากหน้าประวัติศาสตร์

 

นางที่ได้ยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“ข้าทำให้ท่านหยินหยูต้องตกใจ โปรดตามพวกเรากลับไปคุยกันเถอะ ข้าจะใช้โอกาสนี้ขออภัยกับท่าน”

 

ซือหยูโบกมือปฏิเสธ

 

“ไม่จำเป็น เจ้ารีบหาตัวลูกสะใภ้ของเจ้าให้เจอโดยเร็วจะดีกว่า”

“แล้วก็ ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย”

 

ส่วนลึกในแววตาของซือหยูเป็นประกาย

 

“โอสถแบบใดกันที่เป็นโอสถโบราณของตระกูลเหยา?”

 

นางชักสีหน้าทันที นางหน้าซีด

 

นางเพียงคิดถึงเรื่องพลังของซือหยูและทำให้นางต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

 

แม้จะเป็นไปได้มากที่ซือหยูไม่ได้สังหารลูกชายของนาย ยอดฝีมือมากมายในตระกูลเหยาก็ตายเพราะเขา นั่นคือหนี้โลหิตครั้งใหญ่

 

และไม่เพียงแต่เขาจะฆ่าคนตระกูลเหยา เขายังต้องการโอสถโบราณของตระกูลเหยาอีก

 

เขาจะเกินไปแล้ว

 

“ข้าไม่ได้สนใจสูตรปรุงยาของเจ้าหรอก เก็บความกังวลไร้สาระของเจ้าไว้เถอะ ข้าแค่อยากรู้ว่าโอสถนั่นใช้ทำอะไรถึงมีคนมากมายต้องการมันเช่นนั้น”

 

ซือหยูเดาว่ามีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่แรงจูงใจของโจวจิ้งจะเป็นสูตรปรุงยา

 

นางงุนงงและหยุดใช้จิตสังหารที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันและพูดอย่างโล่งใจ

 

“เช่นนั้นท่านก็แค่สงสัยสินะ โอสถนพอาสัญมิใช่โอสถลับ มีคนมากมายรู้จักมัน วิธีใช้มีอย่างเดียวเท่านั้น…คือการทำลายฐานพลังของคนที่กินมันเข้าไป!”

 

“มันมีผลกับขอบเขตอำมฤตทุกระดับ”

 

ซือหยูแววตาเริ่มจริงจัง

 

“เช่นนั้นตระกูลเจ้าก็ไม่มีโอสถมาตั้งนานแล้วสินะ?”

 

นางประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ตระหนักถึงความลึกล้ำของเจ้าตำหนักหยินหยู

 

ในเรื่องที่ว่าตระกูลเหยายังมีโอสถอยู่หรือไม่ คนภายนอกนั้นมีข้อคิดเห็นต่างๆนานา แต่เจ้าตำหนักหยินหยูกลับบอกได้เลยว่าตระกูลเหยาไม่มีโอสถอีกแล้ว

 

“ทำไมท่านคิดเช่นนั้นล่ะ?”

 

นางถามกลับ

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“ถ้าตระกูลเจ้ายังมีโอสถเช่นนั้นอยู่ ตระกูลเจ้าจะมาอยู่ในทวีปแห่งนี้รึ?”

 

โอสถที่มีพลังขัดบัญชาสวรรค์อันสามารถทำลายคนในขอบเขตอำมฤตได้ ใครกันบ้างที่จะไม่หวาดกลัว?

 

สำหรับพวกเขา มันควรจะเป็นเครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่ราวกับอาวุธลับ

 

แต่ตระกูลเหยาก็อยู่อย่างสงบสุขในปราการวิหคเพลิงดั่งตระกูลธรรมดา บางทีโอสถนั่นอาจจะไม่มีอยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว

 

นางตกใจ ช่างเป็นรองเจ้าตำหนักที่ฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก

 

นางพยักหน้า

 

“ท่านเจ้าตำหนักพูดถูกแล้ว โอสถนั่นสูญหายไปนานแล้ว! แม้ท่านจะมีวัตถุดิบกับสูตรปรุง ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะปรุงมันขึ้นมา”

 

“โอสถนพอาสัญนั้นมิอาจถูกปรุงได้ แต่มันถูกพบในซากโบราณ! ตระกูลเหยาค้นคว้าการปรุงโอสถนี้มาหลายร้อยปี แต่พวกเราก็พบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปรุงโอสถเช่นนั้น! เพราะโอสถมันไม่ใช่โอสถที่มาจากทวีปเฉินหลง!”

 

“พวกเขาขาดพลังลึกลับที่ทวีปเฉินหลงไม่มี นอกจะซากจะมีคนนอกทวีปเฉินหลงมาปรุงเอง…ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครปรุงมันได้”

 

“จะพูดก็ได้ว่านั่นคือสูตรปรุงยาของโอสถที่ไม่มีวันทำได้”

 

พลังลึกลับที่ทวีปเฉินหลงไม่มีรึ? ซือหยูคิดกับตัวเอง หรือว่าจะยังมีดินแดนอื่นนอกทวีปเฉินหลงอยู่อีกรึ?

 

ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่มีโอสถนพอาสัญหลงเหลืออยู่ในโลกแล้ว นั่นคือเหตุที่เหล่าขุมกำลังยิ่งใหญ่สบายใจ

 

ซือหยูโล่งใจเล็กน้อยที่เข้าใจเรื่องราว

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว!”

 

ซือหยูยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง

 

ที่หอวิหคเพลิง

 

สิ่งปลูกสร้างในเขตวิหคเพลิงนั้นหรูหราและสูงตระหง่าน

 

ในวันธรรมดาจะมีคนมากมายที่นี่ แต่ในวันนี้หอวิหคเพลิงนั้นมีการป้องกันอย่างแน่นหนา

 

เพราะว่าคืนนี้คืองานเลี้ยงจันทร์กระจ่างที่จัดขึ้นเพื่อมอบความบันเทิงให้กับเหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังต่างๆ

 

ตามปกติจะมีเหล่าเด็กหนุ่มที่เข้ามาโดยใช้ฐานะตำแหน่ง

 

“โปรดแสดงตัวตน”

 

ทหารยืนเรียงแถวเป็นแนวระนาบที่ทางเข้าและถามตัวตนของซือหยู

 

ซือหยูหยิบตรารองเจ้าตำหนักออกมาอย่างไม่ลังเล

 

หัวหน้าทหารที่เป็นชายวัยกลางคนขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูงหยิบตราขึ้นไปตรวจสอบ

 

เขามองดูมันและเลิกคิ้ว

 

“รองเจ้าตำหนักหยินหยู? เจ้าน่ะรึ?”

 

“โปรดรอสักครู่ ข้าต้องไปตรวจสอบว่าตรานี่เป็นของจริงหรือไม่”

 

หัวหน้าทหารไร้อารมณ์ เขาส่งตราไปให้กับทหารที่ทางเข้า

 

พรึ่บ–

 

ในตอนนั้นก็มีคนบินเข้ามาอย่างสบายๆและโยนใบไม้น้ำแข็งออกไป

 

ซือหยูมีแววตาเฉียบคมและเห็นนามที่สลักอยู่บนใบไม้ได้อย่างชัดเจน

 

“โจวเนี่ยนเฉิน!”

 

หัวหน้าทหารที่ไร้อารมณ์สีหน้าเปลี่ยนไป เขาฝืนยิ้มและพูดพร้อมกับประสานหมัด

 

“ยินดีต้อนรับท่านเนี่ยนเฉินสู่งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ข้าขอเรียนเชิญ”

 

เพียงแค่เหลือบตามองหัวหน้าทหารก็คืนใบไม้น้ำแข็งด้วยมือทั้งสองข้าง

 

ซือหยูมองชายคนนั้นหัวจรดเท้า

 

เขาสวมชุดสีม่วงและมีอายุประมาณยี่สิบปี เขาดูน่าหลงใหลจนแม้แต่สตรีมิอาจเทียบ เขาตัวสูงและดูยิ่งใหญ่ตระการตา

 

เขาเดินเชิดคางอย่างโอหัง

 

เขายื่นนิ้วบางๆและรับใบไม้น้ำแข็งคืนอย่างสง่างาม เขาเดินผ่านซือหยูโดยไม่หันมองเข้าสู่งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง

 

เทียบกันแล้ว ตราของซือหยูยังคงถูกตรวจสอบ

 

แม้ซือหยูจะไม่พอใจเล็กน้อย เขาก็ข่มใจและรออย่างอดทน

 

เขาเพิ่งจะมีชื่อเสียงได้ไม่นาน มีคนน้อยมากในทวีปที่จะรู้จักรูปลักษณ์ของเขา

 

ในตอนนั้น มีอีกสองคนเดินมาอย่างเงียบเชียบ

 

ทั้งสองยืนไหล่ชนไหล่เดินเข้ามา คนที่อยู่ทางขวาอายุประมาณยี่สิบปี เขาสวมชุดสีขาวแบบธรรมดา เขาดูใจเย็นและดูมิได้ใส่ใจกับภาวะทางโลก เขาเดินมาอย่างเรียบง่าย

 

ฐานพลังของเขาทำให้ซือหยูต้องตกใจ!

 

อำมฤตระดับสี่!!

 

พลังของเขาแข็งแกร่งจนน่ากลัว!

 

ส่วนคนที่อยู่ทางซ้ายคือสาวน้อยที่สวมชุดสีชมพู นางอายุประมาณสิบแปดปี นางดูน่าทะนุถนอม นางดูเฉลียวฉลาดแต่ก็ประหลาดเล็กน้อย นางเอนกายใกล้กับชายหนุ่มที่มาด้วยกัน ดูเหมือนนางจะสนิทกับเขามาก

 

พลังของนางด้อยกว่าเล็กน้อย แต่นางก็เป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูงที่ไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย

 

แข็งแกร่งนัก ซือหยูแอบตกใจ

 

หัวหน้าทหารเห็นทั้งสองคนจากระยะไกลและตัวแข็งทื่อ

 

“โปรดแสดงตัวตน”

 

หญิงสาวที่สวมชุดสีชมพูลืมตากว้างและพูดด้วยความโกรธ

 

“หึหึ สายตาเจ้าย่ำแย่นัก เจ้าจำราชันย์สวรรค์สองคนแรกแห่งตำหนักเฉินเทียนไม่ได้รึไงกัน? ข้าคือราชันย์สวรรค์ลำดับสอง พิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย อีกคนคือราชันย์สวรรค์ลำดับหนึ่ง กระบี่ปีศาจซงหลวน!”

 

สองราชันย์สวรรค์แห่งตำหนักเฉินเทียนรึ? ซือหยูหรี่ตามองทั้งสองอย่างละเอียด

 

ตั้งแต่ที่ไม่รู้ที่อยู่ของเจ้าตำหนักฉี เกาคังที่เป็นลำดับสามแห่งสามราชันย์สวรรค์ได้ยอมจำนนต่อฮั่นเจียงหลิน

 

ส่วนสองราชันย์สวรรค์นั้นปฏิเสธที่จะภักดีต่อฮั่นเจียงหลินและลงเอยด้วยการถูกจองจำ เหตุใดทั้งสองถึงมาปรากฏตัวที่งานวิหคเพลิงได้เล่า?

 

หัวหน้าทหารมองทั้งสองอย่างเลื่อมใส

 

“เช่นนั้นท่านทั้งสองก็คือกระบี่ปีศาจซงหลวนกับพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟยสินะ? ขออภัยในมารยาทที่บกพร่องของข้าด้วย!”

 

เห็นได้เลยว่าชื่อเสียงของทั้งคู่นั้นคำรามก้องดั่งอัสนีในจิตใจของหัวหน้าทหาร

 

ซงหลวนก้มลงมองเจียงมู่เฟยและยิ้ม

 

“มู่เฟย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเจ้าก็ต้องทำตามขั้นตอนนะ”

 

เจียงมู่เฟยเบ้ปาก นางโยนเครื่องแสดงตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นนางจึงได้ยินเสียงอบอุ่นน่าฟังจากซงหลวน

 

“ยิ่งไปกว่านั้น หยินหยูที่นามดังก้องก็รออย่างอดทนเช่นกัน เจ้าจะรีบร้อนได้ยังไงล่ะมู่เฟย?”

 

เจียงมู่เฟยประหลาดใจ

 

“หยินหยูรึ? หยินหยูคนไหนกัน?”

 

“ก็ต้องเป็น….หยินหยูที่เป็นรองเจ้าตำหนักที่มาจากร้อยดินแดนของพวกเรายังไงล่ะ”

 

ซงหลวนยิ้มและเงยหน้ามองซือหยู เขาประสานหมัดจากระยะไกล

 

“น้องหยินหยู ข้าอยากจะเจอเจ้ามานานเหลือเกิน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เจอเจ้าตัวเป็นๆ”

 

เจียงมู่เฟยลืมตากว้างและวิ่งไปที่หาซือหยู นางเดินเป็นวงกลมมองดูซือหยูจากทุกทิศทางโดยไม่เหลือที่ใดให้มองอีก

 

“เจ้าคือหยินหยู ปีศาจสีเงินที่ฆ่าล้างสิบยอดฝีมือในร้อยดินแดนไปมากกว่าครึ่งตัวจริงสินะ?”

 

ปีศาจสีเงินรึ? ซือหยูยิ้ม เขาถูกเรียกแบบนั้นในร้อยดินแดนสินะ?

 

อาจจะเป็นเพราะว่าในวันนั้นซือหยูฆ่าคนไปมากมาย ความป่าเืถ่อนของเขาได้ทำให้ร้อนดินแดนต้องครั่นคร้าม และเขาก็ยังมีผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นเขาจึงได้ฉายาปีศาจสีเงิน

 

ซือหยูมองซงหลวนและประสานหมัดคืนไป

 

“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านเมื่อครั้งที่อยู่ในร้อยดินแดน ข้าควรจะไปเยี่ยมเยียนท่านเพื่อขอคำชี้แนะ”

 

ซงหลวนยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับเป็นลายลมบางเบา

 

“ข้ากลับรู้สึกเสียใจยิ่งกว่าที่ข้าไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับตำนานแห่งทวีปเสียล่วงหน้า”

 

“ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าก็หวังว่าตำนานยอดฝีมืออย่างเจ้าจะชี้แนะข้าในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง”

 

ซือหยูพยักหน้าด้วยความยินดี

 

“คงจะเป็นเกียรติเกินไปที่ข้าจะชี้แนะท่าน พวกเราน่าจะชี้แนะซึ่งกันและกัน”

 

เจียงมู่เฟยไม่สนใจ

 

“หึหึ ข้าก็ชี้แนะได้นะ! ข้าก็อยากได้เหมือนกัน!!”

 

ซือหยูกับซงหลวนยิ้มขึ้นมาพร้อมกัน

 

ในที่สุดสีหน้าของหัวหน้าทหารก็เปลี่ยนไป

 

เขาคือรองเจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริง!

 

เขาเริ่มแสดงสีหน้านับถือ เขารีบคืนตรากับซือหยูด้วยมือทั้งสองข้าง

 

“เป็นท่านรองเจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริง ข้าบกพร่องในการจดจำบุคคลที่ยิ่งใหญ่ หวังว่าท่านเจ้าตำหนักจะอภัยให้ข้า!”

 

“เมื่อไม่นานนี้มียอดฝีมือมากมายมาที่เมือง ทุกดินแดนต่างส่งคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ข้าต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างระมัดระวัง โปรดอย่าถือสาข้าเลย”

 

ซือหยูกับซงหลวนหัวเราะและไม่ติดใจเอาความ

 

ส่วนเจียงมู่เฟย นางมิได้แสดงความปรานีแม้แต่น้อ

“เช่นนั่นแหละ นั่นก็เพราะว่าพวกเรายังดังไม่พอเท่านั้นแหละ ทำไมเจ้าถึงไม่ตรวจสอบตัวตนของมหาบุตรที่สองของหอสดับหิมะกันเล่า?”

 

เทียบกับมหาบุตรแห่งหอสดับหิมะ ชื่อเสียงของสามราชันย์สวรรค์แห่งร้อยดินแดนที่อยู่ห่างไกลย่อมด้อยกว่า