ตอนที่ 358

The Divine Nine Dragon Cauldron

ทหารนั้นอับอายและพาพวกเขาเข้างานอย่างนอบน้อม

 

“น้องหยินหยู งานเลี้ยงจันทร์กระจ่างจะเป็นที่นั่งเป็นระดับสวรรค์ ธรณี และมนุษย์ เจ้าอยากจะนั่งที่ใดกันรึ?”

 

เจียงมู่เฟยพูดโดยไม่คิด

 

“ต้องนั่งในที่สวรรค์สิ นั่นคือที่ชมจันทร์ที่ดีที่สุด ว่ากันว่าถ้าต้องแสงจันทร์ที่นี่จะได้ชำระดวงวิญญาณ จะได้ผลที่คาดไม่ถึง”

 

ซือหยูคิดอยู่ครู่เดียวก่อนจะยิ้มตอบ

 

“ข้าจะนั่งในที่มนุษย์ ข้าก็แค่อยากจะชมการประลองเงียบๆเท่านั้น ข้าไม่อยากจะแสดงตัว”

 

“ฮ่าๆ ข้าเห็นด้วยกับเจ้าจริงๆ!”

 

เขาคิดไม่ต่างกับซือหยู พวกเขาอยากจะมาอยู่เงียบๆ

 

พวกเขาเข้าไปยังชั้นสอง…เวทีจันทร์เต็มดวง

 

คนราวห้าสิบคนมารวมตัวกันในที่เล็กๆแห่งนี้

 

ที่นี่มีอยู่สิบโต๊ะ สามโต๊ะสำหรับที่นั่งสวรรค์ แต่ละโต๊ะจะนั่งได้ห้าคน

 

ส่วนที่เหลือจะเป็นที่นั่งมนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่า

 

ซือหยูเพิ่งจะมีชื่อเสียงเมื่อไม่นาน มีคนไม่มากนักที่รู้จักเขา

 

ซงหลวนกับเจียงมู่เฟยก็พอมีชื่ออยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อยนัก คนที่รู้จักพวกเขานับว่ามีน้อยมาก

 

“พวกเราต้องนั่งตรงนี้จริงๆรึ?”

 

เจียงมู่เฟยบ่น นางหันไปมองซือหยู

 

“นี่ นี่ หยินหยู เจ้าบ่มเพาะพลังยังไงรึ? เจ้าอ่อนกว่าข้าหนึ่งปีแต่ทำไมถึงแข็งแกร่งนัก?”

 

ซือหยูยิ้ม ในด้านพลัง เจียงมู่เฟยเป็นคนที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

 

คุณสมบัติของนางนั้นเหนือว่าซงหลวนอยู่มาก และยังมากกว่ารองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬอีกหลายคน!

 

นางสำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูงในอายุเพียงแค่สิบแปดปี สิ่งนี้น่ากลัวขนาดไหนกัน?

 

ซือหยูได้เป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูงในอายุสิบเจ็ดปี แต่นั่นก็เพราะว่าเขามีหม้อเก้ามังกรและทรัพยากรจากอาณาจักรทมิฬ

 

เทียบกันแล้ว เจียงมู่เฟยใช้พลังของตัวเองเพื่อมาถึงขั้นนี้ ทุกคนต้องตกใจเมื่อได้ยินเรื่องของนาง

 

นางคือตำนานยอดฝีมือแห่งยุคตัวจริงแห่งทวีป

 

ถ้านางมีเวลา นางจะได้เป็นตำนานของทวีปอย่างแน่นอน

 

“เจ้าก็แข็งแกร่งมิใช่รึ”

 

ซือหยูยิ้มอย่างอบอุ่น เขาประทับใจในคนที่ตรงไปตรงมาเสมอ

 

“เช่นนั้นแล้วเจ้าบ่มเพาะวิชาแบบไหนกัน? ข้าได้ยินว่าเจ้าฆ่าลู่จุนที่เป็นอำมฤตระดับสองในตอนที่เป็นมังกรระดับห้า นั่นมันขัดต่อชะตาชัดๆ ข้านับถือเจ้าจริงๆ!”

 

ซงหลวนหันไปมองดุ

 

“นี่! ถามวิชาของคนอื่นมันเป็นข้อห้าม งานชุมนุมก็กำลังจะเริ่มแล้ว ทำไมเจ้าทำตัวไม่ดีอย่างนี้นะ!”

 

การเผยวิชาจะทำให้ศัตรูเตรียมการได้ล่วงหน้า คำถามของนางดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก

 

“ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น ข้าไม่ถามก็ได้”

 

เจียงมู่เฟยบ่น ใบหน้าอันน่ารักนั้นไม่ค่อยพอใจ

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“ไม่เป็นไรหรอก! วิชาข้าไม่ได้ลึกลับนัก ถ้าเจ้ารู้ก็ไม่เป็นไร”

 

“วิชาหลักของข้าถือวิชาอัสนีและน้ำแข็ง ข้าได้มันมาจากฎีกาสวรรค์ ข้ามีพลังมิติอยู่เล็กน้อย ส่วนมากก็เป็นเช่นนี้”

 

ซือหยูสรุป

 

เขาต่อสู้กับผู้คนมานับไม่ถ้วน คนที่อยากจะได้ข้อมูลของเขาจริงๆนั้นหาข้อมูลได้ไม่ยาก มันมิใช่ความลับ

 

ซงหลวนขอโทษขอโพย

 

“ข้ารู้สึกผิดจริงๆที่ปล่อยให้เจ้าเจอกับเรื่องน่าขันเช่นนี้ มู่เฟยนั้นขี้เล่นรักสนุก ในครั้งนี้นางยืนกรานว่าจะมาให้ได้ ข้าไม่มีทางเลือกเลยต้องพานางมาด้วย”

 

งานชุมนุมวิหคเพลิงนั้นเป็นงานจับคู่ระหว่างสตรีจากคณะวิหคเพลิงและเหล่ายอดฝีมือทางทั้งทวีป

 

การที่มีหญิงสาวมาที่นี่นั่นดูจะไม่เหมาะอยู่กลายๆ

 

“หึหึ ใครใช้ให้ศิษย์พี่ซงหลวนหลงข้าขนาดนี้เล่า?”

 

เจียงมู่เฟยเชิดคางอย่างภูมิใจ นางเข้าไปในอ้อมกอดของซงหลวน ดูเหมือนนางจะชอบซงหลวนอย่างมาก

 

ส่วนซงหลวนนั้นก็ก้มลงมองศิษย์น้องขี้เล่น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล

 

ซือหยูยิ้ม ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะไม่ใช่แค่ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแล้ว

 

แต่ทั้งสองก็ดูเข้ากันได้

 

ในตอนนี้ ยามเย็นผ่านพ้น  จันทร์เต็มดวงลอยล่อง

 

การชมจันทร์เริ่มขึ้น แขกทุกคนพร้อมหน้า

 

แต่แปลกที่ไม่มีใครนั่งข้างบุตรลำดับสองแห่งหอสดับหิมะโจวเนี่ยนเฉินในที่นั่งสวรรค์

 

เขายึดทั้งโต๊ะไว้แต่เพียงผู้เดียว

 

เขารู้สึกประหลาดเล็กน้อยและมองไปรอบๆ

 

แต่ดูเหมือนเขาจะเห็นใครคนหนึ่ง เขาจับจ้องไปที่โต๊ะของซือหยู

 

เขาค่อยๆยืนขึ้นและประสานมือแสดงความเคารพต่อซงหลวน

 

“กระบี่ปีศาจซงหลวนถึงกับมาที่นี่ เหตุใดถึงไปนั่งในที่ชั้นต่ำเช่นนั้นเล่า? ขึ้นมานั่งบนที่สั่งสวรรค์เถอะ!”

 

ในตอนนั้นเขาสังเกตเห็นเจียงมู่เฟยเช่นกัน เขาตาเป็นประกาย

 

“หรือว่านั่นจะเป็นพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย? เจ้าตามศิษย์พี่ไปนั่งในที่นั่งมนุษย์งั้นรึ? ขึ้นมานั่งที่นี่เถอะ มาพูดคุยกับคนที่ประสบการณ์สูงส่งกว่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเจ้านะ”

 

“อะไรนะ? กระบี่ปีศาจกับพิรุณดอกท้อแห่งตำหนักเฉินเทียน!”

 

แขกทั้งหมดตกใจ ทุกคนมองไปยังที่นั่งธรรมดา

 

คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันนั้นตกใจและเริ่มเจียมตัว

 

แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนจำซือหยูได้

 

“เดี๋ยวสิ! เด็กหนุ่มผมสีเงินข้างกระบี่ปีศาจนั่น…หรือว่าจะเป็นตำนานแห่งทวีป หยินหยู!”

 

“อะไรนะ? ใช่เขารึ? เขามางานชุมนุมวิหคเพลิงด้วย!”

 

“ข้าจินตนาการสิ่งที่ร่ำลือไม่ออกเลย เขาอายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น!”

 

เหล่าผู้คนส่งเสียงเอะอะ

 

เหล่าผู้คนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ นามเจ้าตำหนักหยินหยูนั้นเหนือกว่าซงหลวนกับเจียงมู่เฟย

 

เหตุผลไม่ใช่เพราะซือหยูแข็งแกร่งกว่า แต่เป็นเพราะซือหยูเป็นยอดฝีมือหน้าใหม่ และเขายังสร้างชื่อด้วยตัวเองในเมืองอันยี่ เขาย่อมต้องได้รับความสนใจกับคนจำนวนมาก

 

“เจ้าคือหยินหยูสินะ!”

 

เสียงอันเย็นชาดังมาจากที่นั่งสวรรค์

 

เป็นเสียงของโจวเทียนเฉิน แววตาเขาเฉียบคมราวกับกระบี่ จิตสังหารนั้นลึกซึ้ง

 

“น้องเทียนเฉินกับซือยี่ถูกเจ้าสังหารอย่างที่คำร่ำลือว่าไว้ใช่หรือไม่?”

 

คำถามนั้นเป็นดั่งศรคมกริบที่แล่นผ่านผู้คนตรงไปยังซือหยู

 

ในตอนนั้นเอง เสียงวุ่นวายจากเหล่าผู้คนเงียบลง

 

สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไป ไม่มีใครเปิดปากเลย

 

ตามคำร่ำลือ เป็นเจ้าตำหนักหยินหยูที่สังหารสองบุตรแห่งหอสดับหิมะ

 

ความตายของทั้งคู่ทำให้ซือหยูมีชื่อเสียงขึ้นมา

 

“ใช่แล้ว!”

 

ซือหยูรินน้ำจัณฑ์ของตัวเองโดยไม่หันไปมองโจวเนี่ยนเฉิน

 

ท่าทางสบายใจของเขานั้นดูอวดดีและบ้าคลั่งต่อสายตาของคนนอก

 

“เจ้าเคยนึกเสียใจบ้างหรือไม่? การฆ่าคนของหอสดับหิมะ ผลที่ตามม…”

 

ซือหยูไม่รอให้เขาพูดจบ ซือหยูตอบช้าๆ

 

“ข้าจะเสียใจทำไมเล่า?์ ก็พวกนั้นมันสมควรตาย”

 

โจวเนี่ยนเฉินพูดอะไรไม่ออก ท่าทางของเขาไม่มีผลกับซือหยูแม้แต่น้อย

 

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุก โจวเนี่ยนเฉินคำราม

 

“ศิษย์น้องทั้งสองของข้าต้องตายโดยไม่มีเหตุผลด้วยฝีมือเจ้า และถ้าเจ้าไม่โศกเศร้าที่สังหารพวกเขา ก็อย่าโทษที่ข้าไร้ปรานี”

 

แต่สีหน้าของซือหยูยังคงใจเย็น เขาจิบน้ำจัณฑ์และพูดอย่างใจเย็น

 

“หยุดก่อน อย่างน้อยก็รออีกสักครึ่งชั่วยามเถอะ”

 

“เจ้ากลัวรึ?”

 

น้ำเจียงของโจวเนี่ยนเฉินเยือกเย็น

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“ไม่ใช่”

 

“แล้วอะไรกัน? เจ้าอยากจะใช้ชีวิตต่ออีกครึ่งชั่วยามรึไงกัน?”

 

โจวเนี่ยนเฉินขมวดคิ้ว

 

ซือหยูพูดอย่างเรียบเฉย

 

“ข้ากำลังให้เวลาให้เจ้าไปเตรียมโลงศพของตัวเองต่างหาก”

 

หา—-

 

คนในหอจันทร์เต็มดวงอ้าปากค้าง

 

หยาบคาย! หยาบคายไม่มีใครเทียบ!

 

เขาบอกให้โจวเนี่ยนเฉินที่เป็นอำมฤตระดับสี่ไปเตรียมโลงศพ!

 

นี่มันความหยาบคายระดับใดกัน?

 

โจวเนี่ยนเฉินหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนสีหน้าจะดุร้าย สุดท้ายก็หัวเราะออกมา

 

“หึหึหึหึ…มีคนอย่างเจ้ามากมายนักในอดีตที่มาหยาบคายต่อหน้าข้า แต่ตอนนี้ไม่มีคนเช่นนั้นแล้ว เพราะมันตายหมด!”

 

“ข้าจะให้เจ้าเลือก เจ้าอยากจะเป็นศพแบบเต็มร่าง หรือแขนขากระจัดกระจายไปทั่ว?”

 

ซือหยูถือแก้วสุราในมือ เขายิ้มเบาๆ

 

“กระจัดกระจายดูจะโหดร้ายไปหน่อย ข้าว่าแบบเต็มร่างจะดีกว่า มันน่าเชยชมกว่าเยอะ”

 

โจวเนี่ยนเฉินเดินออกจากที่นั่ง รังสีพลังอำมฤตระดับสี่ห่มพื้นที่ราวกับคลื่นยักษ์

 

เขายิ้มอย่างเยือกเย็น

 

“อย่างที่เจ้าว่า ข้าจะทำศพเจ้าให้สวย”

 

ซือหยูวางแก้ว เขายิ้ม ใบหน้าแสดงความเย็นชาดั่งน้ำแข็ง

 

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าถามเรื่องศพแทนเจ้าต่างหาก”