ตอนที่ 359

The Divine Nine Dragon Cauldron

ที่หอชมจันทร์ ไม่มีใครพูดสิ่งใดและเงียบราวกับป่าช้า

 

ทั้งหมดมีเพียงแค่เสียงของสายลมพัดปลิว

 

ยอดฝีมือทั้งหมดจ้องมองซือหยูและแอบเดาะลิ้น

 

เจ้าตำหนักหยินหยูไปคิดยังไงกันถึงพูดอย่างมั่นใจเช่นนั้น?

 

ดูจากฐานะ โจวเนี่ยนเฉินนั้นเป็นบุตรลำดับสองแห่งหอสดับหิมะ นามของเขาดังก้องไปทั่วทั้งทวีป และเขาไม่กลัวซือหยู

 

แต่เมื่อมองดูที่พลัง ก็จะมีช่องว่างมหาศาลระหว่างอำมฤตระดับสี่กับระดับสาม

 

ถ้าซือหยูที่เป็นแค่อำมฤตระดับสามสู้กับโจวเนี่ยนเฉินแบบตัวต่อตัว เขาอาจจะไม่ใช่ศัตรูของโจวเนี่ยนเฉินด้วยซ้ำ

 

ดังนั้นแล้ว…เจ้าตำหนักหยินหยูไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?

 

โฮก—-

 

ในตอนนั้นเอง เงาครามก็แล่นผ่านจันทร์กระจ่าง

 

เสียงสัตว์อสูรดังก้องนภา

 

“วิหคคราม!”

 

โจวเนี่ยนเฉินตกใจ เขาไม่พอใจในทันที

 

เขากลับไปจ้องซือหยูอีกครั้ง

 

“เพราะอย่างนี้สินะเจ้าถึงได้มั่นใจนัก!”

 

เหล่ายอดฝีมือคนอื่นเข้าใจเช่นกัน

 

“ไม่แปลกใจเลยทำไมเขาถึงกล้าทำเช่นนั้น เพราะเขาพึ่งพาเจ้าตำหนักหลิวลี่ได้นี่เอง!”

 

“ข้าผิดหวังจริงๆ เขาดูหมิ่นคนอื่นโดยหวังใช้เส้นสายของคนอื่น”

 

“นามของตำนานยอดฝีมือไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วรึ”

 

เหล่าคนดูต่างถอนหายใจ

 

ฟึ่บ–

 

ร่างนั้นลงมาจากท้องนภา ข้างหลังเขาคือจันทร์กระจ่างอันงดงาม

 

สายลมรุนแรงพัดชุดของเขาให้พริ้วไหว ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ เขายืนมือไพล่หลังอยู่เบื้องบน ในใต้แสงจันทร์ทำให้เขาดูทรงพลัง

 

เขาดูราวกับเทพสงครามที่แบกจันทร์กระจ่างไว้บนแผ่นหลัง ผู้ก้าวเหยียบเมฆาปกครองฟ้าดิน

 

ความทรงพลังนั้นแผ่ไปทั่วทั้งหอชมจันทร์

 

เขาคือหลิวลี่ผู้เป็นรองเจ้าตำหนักลำดับสองของตำหนักรองแห่งทวีป!

 

เขาคือยอดฝีมือที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดและไม่ได้ต่อสู้มากนัก

 

โจวเนี่ยนเฉินที่เงียบและเยือกเย็นได้เคร่งเครียดในทันที หากมองดีๆจะพบว่าที่มุมหนึ่งของดวงตาเขากำลังสั่นระริกด้วยความกระวนกระวาย

 

เจียงมู่เฟยเงยหน้าจ้องมอง ความไร้เดียงสาและความน่าหลงใหลในใบหน้าหายไป แทนที่ด้วยความเคร่งเครียด

 

“เขาแข็งแกร่งมาก!”

 

เจียงมู่เฟยถอนหายใจเบาๆ

 

คนที่แข็งแกร่งอย่างนางนั้นพบได้ทั่วไป

 

แต่ตัวตนของหลิวลี่นั้นราวกับจักรพรรดิที่ทำให้ที่นี่ตกอยู่ในความเงียบในทันทีทันใด

 

มีเพียงสองคนที่ท่าทางผ่อนคลาย…นั่นคือซือหยูกับซงหลวน

 

ทั้งสองทำราวกับว่าไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่ พวกเขาดื่มชนแก้วกันโดยไม่สนใจการมาของหลิวลี่

 

“น้องหยินหยู เจ้าจะไม่ทักทายเจ้าตำหนักหลิวลี่หน่อยรึ?”

 

ซงหลวนยิ้มอย่างอบอุ่น

 

ซือหยูดื่มจนหมดแก้วและหัวเราะ

 

“ไม่จำเป็นหรอก เขาอาจจะไม่อยากให้ข้ามาเสียด้วยซ้ำ”

 

ซือหยูรู้เรื่องงานเลี้ยงจันทร์กระจ่างจากมู่เทียนฟางที่เป็นคนนอก หลิวลี่ไม่เคยบอกซือหยูเลย

 

บอกได้เลยว่าหลิวลี่ไม่คิดจะให้ซือหยูมาเข้าร่วมงานนี้

 

หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ตัวตนของซือหยูไม่ได้อยู่ในจิตใจเขาเลย

 

เสียงพูดคุยของทั้งสองไม่ดังนัก แต่ท่ามกลางความเงียบ…ทุกคนได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

หลิวลี่ร่อนลงช้าๆ เขาเหลือบมองและเห็นว่าซือหยูก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เขาประหลาดใจเล็กน้อย

 

หลังจากได้ยินคำพูดของซือหยู หลิวลี่ก็พูดออกมาอย่างเยือกเย็น

 

“ถ้าเจ้ามีเวลามางานเลี้ยงแล้วทำไมไม่เอาเวลาไปฝึกฝนเล่า? ถ้าพลังเจ้าอ่อนแอกว่าคนอื่น เจ้าก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นอีกร้อยเท่า มาเสียเวลาที่นี่แล้วเจ้าจะคู่ควรให้อาณาจักรเลี้ยงดูได้อย่างไร?”

 

หลิวลี่มองลงมายังซือหยูและตำหนิ

 

แต่ซือหยูก็ดื่มต่อไปและตอบอย่างสบายๆ

 

“ถ้าเช่นนั้น แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?”

 

ถ้าซือหยูมาที่นี่เป็นการเสียเวลา แล้วมันจะต่างกับหลิวลี่ยังไงเล่า?

 

“เจ้ามีสิทธิ์มาเทียบกับข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน? พลังของข้ามีเวลามาทำเช่นนี้ แต่เจ้ายังมันยังไม่ถึงขั้น”

 

หลิวลี่ลงมานั่งบนที่นั่งสวรรค์อย่างช้าๆ ท่ามกลางความสนใจของผู้คน

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“อย่างนั้นเรอะ? เจ้าตำหนักเฉินคงที่แข็งแกร่งที่สุดกับบุตรคนแรกแห่งหอสดับหิมะก็ยังคงตั้งมั่นอยู่กับการบ่มเพาะ แต่คนอย่างเจ้าที่เป็นรองทั้งสองกลับมาพักที่นี่ ถ้าเจ้าก็เสียเวลาเหมือนกับข้า เจ้าจะคู่ควรให้อาณาจักรมาบ่มเพาะได้อย่างไร?”

 

เขาพูดคำเดิมย้อนใส่หลิวลี่

 

“คนที่แข็งแกร่งโดยแท้จริงจะต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่า แต่คนอย่างเจ้ากลับมาจับผิดคนที่ต่ำต้อยกว่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกถึงความสำเร็จ เจ้ามันต่ำต้อยยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

 

ซือหยูพูดแทงใจดำ

 

หลิวลีร่มองซือหยูราวกับคนแปลกหน้า

 

“อย่างน้อยข้าก็แกร่งกว่าเจ้าและมีสิทธิ์ชี้แนะเจ้า แค่นี้ก็พอแล้ว”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“เจ้าก็แค่คิดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าเท่านั้นแหละ”

 

“เจ้าจะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการต่อไปก็ย่อมได้ ความจริงอันโหดร้ายจะสั่งสอนเจ้าด้วยเลือด”

 

หลิวลี่ส่ายหน้าและดื่มแก้วของตัวเอง

 

ซือหยูหัวเราะและไม่ตอบอะไร

 

แม้หลิวลี่จะมองทุกสิ่งราวกับอยู่ใต้เขา แต่ความคิดเขาก็สนใจแต่ตัวเองเท่านั้น

 

ต่อหน้าเหล่าคนนอก เขานิยมชมชอบที่จะแสดงความเหนือกว่าของตัวเอง

 

ที่ตระกูลเหยา เขามาราวกับผู้ผดุงความยุติธรรม

 

และที่นี่ เขาก็ยังคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะสั่งสอนซือหยู

 

และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ผิดแน่ เขาจะต้องมาถึงงานเลี้ยงจันทร์กระจ่างก่อนซือหยู แต่เขาก็รอจังหวะสุดท้ายที่ทุกคนมากันพร้อมหน้าเพื่อชมจันทร์อันงดงามก่อนจะปรากฏตัว

 

ราวกับว่าเขาอยากจะเป็นจุดรวมความสนใจของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง

 

“ปลอมเปลือกนัก!”

 

เจียงมู่เฟยถอนหายใจแรก

 

ซงหลวนมองหลิวลี่อย่างลึกซึ้งและยิ้ม

 

“มนุษย์มีเป็นร้อยจำพวก มนุษย์เช่นนี้เห็นแก่ตนเองเป็นสำคัญ พวกเขาก็เป็นเช่นนั้น เราจำเป็นต้องทำอะไรด้วยรึ?”

 

“แต่ก็ยากที่จะชื่นชมท่าทางเช่นนั้นของเขา เขาโง่เขลาจริงๆที่มาดูถูกน้องหยินหยู”

 

ซงหลวนพูดตามมา

 

เอ๋? เจียงมู่เฟยลืมตากว้างด้วยความสงสัย นางเข้าใกล้ใบหน้าซือหยู

 

“เจ้าแข็งแกร่งกว่าเขารึ? พี่ซงหลวนแววตาเฉียบคมไม่เคยพลาดนะ!”

 

ซือหยูอายเล็กน้อย

 

“พี่ซงหลวน ข้าปรารถนาว่าตัวเองจะสมกับคำชมของท่าน แต่ข้าก็แค่ศิษย์น้องที่เติบโตช้าและมีพลังแค่อำมฤตระดับสามเท่านั้น”

 

“ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ข้าอยากจะสู้กับเจ้าแล้วมองดูด้วยตาตัวเองว่าเจ้าแกร่งแค่ไหน”

 

แววตางดงามของเจียงมู่เฟยนั้นบอกได้เลยว่าคิดจะต่อสู้

 

บนที่นั่งสวรรค์

 

โจวเนี่ยนเฉินเหลือบตามอง

 

“เจ้าตำหนักหลิวลี่ เจ้าตำหนักลำดับสิบของเจ้าฆ่าศิษย์น้องข้าไปสองคนที่เมืองอันยี่ ข้าอยากจะสะสางเรื่องนั้น ท่านติดขัดอะไรหรือไม่?”

 

หลิวลี่หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ซือหยูสังหารมหาบุตรแห่งหอสดับหิมะไปสองคนงั้นรึ?

 

เรื่องที่เมืองอันยี่นั้นยังมาไม่ถึงตำหนักรอง หลิวลี่จึงไม่รู้อะไร

 

แต่เว่ยเทียนเฉินกับจางซือยี่นั้นเป็นอำมฤตระดับสามขั้นต้นและขั้นกลาง ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลนัก

 

ในตอนนั้น เหล่ายอดฝีมือได้รับรู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร

 

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของหยินหยูกับหลิวลี่จะไม่ดีนัก และเรื่องที่หยินหยูใช้หลิวลี่ในการข่มผู้อื่นดูเหมือนจะไม่เป็นความจริง

 

หลิวลี่ที่เป็นที่สนใจมองไปทางซือหยูทันที

 

“ข้าเตือนเจ้าสองครั้งสองคราแล้วว่าอย่าสร้างปัญหาให้ข้า! แต่เจ้าก็ไม่สนใจคำเตือนของข้า เจ้าคิดจะไม่ฟังข้าจริงๆรึ?”

 

หลิวลี่พูดต่อโดยไม่ต่อให้ซือหยูตอบ

 

“และครั้งนี้เจ้าก็ยังใช้ชื่อเสียงของข้าสร้างข้อขัดแย้งกับคนอื่นอีกรึ? เจ้ามันเกินเยียวยาโดยแท้!”

 

“ครั้งนี้ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว ทำอะไรเอาไว้ก็ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง!”

 

หลิวลี่โกรธเล็กน้อย

 

ทุกคนเงียบกริบ

 

แต่คนก็แอบหัวเราะเยาะตามๆกัน

 

“หยินหยูมั่นใจเกินไปและเฉลียวฉลาด เขาพยายามจะใช้ชื่อเสียงของหลิวลี่เพื่อรังแกคนอื่น แต่เขาอาจจะไม่คิดว่านั่นจะทำให้ตัวเองต้องลำบาก”

 

“นี่มันน่าขันนัก มาดูเถอะว่าหยินหยูจะจบเรื่องนี้ยังไง เมื่อครู่ เขาเอาแต่พูดเรื่องการต่อสู้และการสังหาร แต่ตอนนี้เขาไม่มีการหนุนหลังจากเจ้าตำหนักหลิวลี่แล้ว ดูเถอะว่าเขาจะเอาความกล้ามาจากที่ใดอีก…”

 

แต่ซือหยูกลับใจเย็นอย่างน่าตกใจและยิ้มเยาะ

 

“ข้าชอบสร้างปัญหาแล้วเจ้ามาเดือดร้อนอะไรของเจ้า? เจ้าลืมคำชี้แนะของข้าแล้วรึ? อย่ามั่นใจให้มากนัก! ไม่มีใครขอให้เจ้าเข้ามายุ่ง!”

 

ทุกคนต่างหันมาจ้องซือหยูเป็นตาเดียว

 

หยินหยูมิได้นับถือหลิวลี่คนที่เขาหวังพึ่งพาหรอกรึ?

 

ซือหยูมองไปยังโจวเนี่ยนเฉิน

 

“เจ้าก็เหมือนกัน! วิธีการของเจ้ามันวุ่นวายเหลือเกิน ไม่รู้จักเด็ดขาดเอาซะเลย! แม้จะเป็นเรื่องของเจ้ากับข้า เจ้าก็ยังขอให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยยินยอมก่อนจะลงมือ นี่มันความตาขาวเพียงใดกัน? เจ้ากล้าที่จะล้างแค้นให้กับศิษย์น้องที่ตายไปของเจ้าจริงๆรึ?”