ตอนที่ 285 การแสดงความรักแบบบ้าคลั่ง

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 285 การแสดงความรักแบบบ้าคลั่ง
ตอนที่ 285 การแสดงความรักแบบบ้าคลั่ง

อะไรคือผู้หญิงที่ถูกใช้แล้ว? ซูหวานหว่านรู้สึกไม่พอใจมากเมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ “ฮูหยินถังเหตุใดถึงพูดจาเช่นนี้ออกมา?”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องของเจ้าอย่างงั้นหรือ? เจ้ามันก็เป็นเด็กบ้านนอกที่มาจากหมู่บ้านตระกูลฮวง! อีกอย่างเจ้าก็เคยแต่งงานมาแล้ว!” ฮูหยินถังกล่าวออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนสีไป นางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง “องค์ชายสามได้โปรดอย่าโกรธหม่อมฉันเลย หม่อมฉันเป็นห่วงว่าฝ่าบาทจะแต่งงานกับหญิงที่เคยแต่งงานแล้วได้อย่างไรกัน?”

“ข้าคงจะชอบผู้หญิงคนนี้ที่เคยแต่งงานแล้ว!” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาพร้อมยื่มมือเข้าไปลูบผมของซูหวานหว่านเบา ๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันยังไม่พอ ชายหนุ่มคว้าหญิงสาวมาโอบกอดเอาไว้ต่อหน้าทุกคน ราวกับว่าในตอนนั้นมีเพียงเขาและซูหวานหว่านยืนอยู่ ทำให้คนที่อยู่ตรงนี้รู้สึกเบื่อหน่าย

เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงทำแบบนี้ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจมาก และต่างเอ่ยสมทบคำพูดของแม่เหนียน

แม่เหนียนจึงกล่าวออกมาว่า “องค์ชายสาม ดูเถิดว่าที่แห่งนี้มีสตรีนางใดบ้างที่ดีกว่าซูหวานหว่าน! เหตุใดฝ่าบาทถึงชอบของมือสองเช่นนี้!”

“ของมือสอง?” ซูหวานหว่านขมวดคิ้วมองสบตาแม่เหนียน สมัยก่อนคำนี้คงจะยืมคำมาจากภาษาต่างประเทศใช่หรือไม่ ความคิดสร้างสรรค์ของคำศัพท์ของคนโบราณนั้นช่างแข็งแกร่งจริงๆ!

“คำพูดนี้ข้าพูดไม่ถูกหรอกหรือ?” แม่เหนียนเอ่ยเยาะเย้ยซูหวานหว่าน

ฉีเฉิงเฟิงจึงตะโกนออกมาว่า “หุบปากของเจ้าเสีย! อย่าเอาความโง่เขลาเบาปัญหาของเจ้ามาเตือนข้า! เจ้ายังคงรู้ล่ะสิว่าคนที่นางแต่งงานด้วยคือข้า”

“ว่าอย่างไรนะ?” แม่เหนียนลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ คนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง พวกเขารู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ

“ทำไมรึ? ยังฟังกันไม่ชัดอีกหรือย่างไร” ฉีเฉิงเฟิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนที่ข้าออกจากวังไปตอนนั้น ข้าได้แต่งงานกับนาง!”

คำพูดเหล่านี้เหมือนเป็นการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้กับทุกคน ทำให้สติของพวกเขาหลุดลอยไปไกล

แม่เหนียนกำลังคิดเรื่องที่เฉียวหน่วนอวี้พูดกับนาง นางกำลังสงสัยบางสิ หมายจะเอ่ยถามออกมา แต่นางก็ได้เสียงยินของฉีเฉิงเฟิงและกล่าวออกมาว่า “ทุกคนโปรดคุกเข่าลง และฟังพระราชโองการจากข้า!”

สถานการณ์ในตอนนี้เต็มไปด้วยความงุนงง ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา แต่ก็ยังไม่นั่งคุกเข่าลง อัครเสนาบดีสือที่เพิ่งจะเดินเข้ามายังห้องโถง ได้ยินแบบนี้เขาก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “องค์ชายสาม นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าถือว่าเป็นน้าของท่าน! แม่ของท่านนั้นก็เป็นพี่ของข้า!”

เป็นแม่ของเขาจริงหรือเปล่ามีหรือเขาจะไม่รู้ นอกจากนี้ยังพูดอีกว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ ตอนนี้สือซีเอ๋อร์ได้ตายไปแล้ว! ตระกูลสือของเขายังกล้ากดดันเขาอีกงั้นเหรอ!

ฉีเฉิงเฟิงไม่ต้องการอธิบายสิ่งใดอีกต่อไป เขานำพระราชโองการของฮ่องเต้ออกมา และกล่าวออกมาว่า “ทุกคนจะนั่งคุกเข่าลงหรือไม่?!”

“เอ่อ…”

ทุกคนต่างกันมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็ยอมคุกเข่านั่งลง มีแต่อัครเสนาบดีสือและฮูหยินเหนียนที่ไม่ยอมคุกเข่า อีกทั้งยังทำสีหน้าเย็นชา ไม่ว่าฉีเฉิงเฟิงจะเอ่ยสิ่งใดออกมาพวกเขาก็จะไม่ยอมคุกเข่าลง

ฉีเฉิงเฟิงมองหน้าแม่เหนียนอย่างเย็นชา แล้วหยิบพระราชโองการขึ้นมาช้า ๆ และใช้มันเคาะไปที่หัวของอัครเสนาบดีสือทันที!

ทุกคนต่างตกใจที่ฉีเฉิงเฟิงนั้นทำแบบนี้กับอัครเสนาบดีสือ

“ข้าเป็นน้าของท่านนะ!” อัครเสนาบดีสือก็จับศีรษะของตัวเอง แล้วลูบมันไปมาอย่างแผ่วเบา

“เจ้าไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว” หลังจากนั้นฉีเฉิงเฟิงก็ได้เปิดพระราชโองการของฮ่องเต้ และโดยไม่สนใจอัครเสนาบดีสือ และก็อ่านพระราชโองการออกมาทันที

ในเนื้อหาของพระราชโองการนั้น พูดเรื่องที่สือซีเอ๋อร์ฝึกฝนวิชาคาถาอาคม จนถูกประหารชีวิต ในขณะที่ฉีเฉิงเฟิงได้กลายไปเป็นลูกของฮองเฮา

เมื่อได้ยินแบบนี้ทุกคนก็อ้าปากค้าง ฉีเฉิงเฟิงจึงพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ข้าหวังว่าคนของตระกูลจะไม่หนีออกจากเมือง ไม่เช่นนั้นจะโดนลงโทษสถานหนัก!”

การลงโทษสถานหนัก! มันก็คือประหารเจ็ดชั่วโคตร! ถ้าบทลงโทษขนาดเล็กก็น่าเป็นการปลดออกจากตำแหน่งและถูกไต่สวน!

อัครเสนาบดีสือก็ตกใจมาก เขาคว้าพระราชโองการจากมือของฉีเฉิงเฟิงไปดูอีกครั้ง เมื่อเห็นตราประทับทางการที่ด้านบน ร่างกายก็ทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร!”

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงไม่ได้สนใจอะไรพวกเขาต่อ และเดินจากไปทันทีหลังจากพูดประกาศพระราชโองการเสร็จ

อัครเสนาบดีสือรีบวิ่งตามไปทันที “องค์ชายสาม! ท่านกับข้าก็ถือว่าเป็นเครือญาติกัน ท่านได้โปรดช่วยพูดกับฮ่องเต้ให้กับข้าได้หรือไม่!”

เมื่อครู่ยังแสดงท่าทีเย่อหยิ่งอยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงกลายเป็นสุนัขได้ขนาดนี้ ฉีเฉิงเฟิงถอนหายใจออกมา พร้อมกับหลับตาและก้มลงไปมองดูเสื้อคลุมของตัวเองที่ถูกอัครเสนาบดีสือจับเอาไว้ และพูดออกมาสองคำอย่างเย็นชาว่า “ปล่อยมือ!”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ ร่างทั้งร่างของอัครเสนาบดีสือก็สั่นสะท้าน และปล่อยมือออกจากเสื้อของชายหนุ่มแบบไม่รู้ตัว!

ฉีเฉิงเฟิงสะบัดแขนเสียงของตนเองและรีบเดินออก อัครเสนาบดีสือยังไล่เดินตามหลังไปไม่ห่าง “องค์ชายสาม…”

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา เขาก็ถูกเหล่าทหารองครักษ์มาขวางไว้!

ในตอนนี้แขกเหรื่อในงานเลี้ยงได้รับรู้ถึงสถานการณ์นี้แล้ว พวกเขาจึงรีบแยกย้ายกันออกไปจากที่นี่ทันที

อัครเสนาบดีสือก็ได้แต่มองแผ่นหลังของซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิง และนั่งลงที่หน้าประตูด้วย ความเศร้าสร้อย

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงเดินห่างออกจากจวนอัครเสนาบดีแล้ว

บนถนนแห่งต่างเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปเดินขวักไขว่ ทันใดนั้นทางการก็ได้มาติดป้ายประกาศว่าจับตัวผู้ต้องสงสัยคดีศพไร้หน้าได้แล้ว ส่วนผู้ต้องสงสัยคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสือซีเอ๋อร์ที่โหดร้ายทารุณ อีกทั้งยังพูดถึงการใช้มนต์ดำของสือซีเอ๋อร์ และแม้แต่การกระทำอันน่ายกย่องของซูหวานหว่านก็ถูกประกาศลงไปด้วยว่า ซูหวานหว่านเป็นคนช่วยให้ปิดคดีนี้ได้! ทำให้ชื่อเสียงของซูหวานหว่านในนามคุณหนูใหญ่สกุลจ้าวแพร่สะพัดขึ้นเป็นวงกว้าง

เมื่อเดินมาพร้อมกับฉีเฉิงเฟิง ซูหวานหว่านนั้นก็ถูกจับสายตาจับจ้องมองไปที่นางตลอดเวลา และซูหวานหว่านก็แทบจะอดทนไม่ไหวที่จนต้องเอาผ้าคลุมมาปิดหน้าของตัวเอง

ตึ๊ง!

เสียงจากระบบในมิติฟาร์มดังขึ้นมา ทำให้ซูหวานหว่านหยุดชะงักไป นางถอดจิตเข้าไปในมิติฟาร์ม เมื่อมองดูแล้วก็พบว่าคือเสียงคะแนนในนี้ถูกเพิ่มขึ้นมา และเมื่อนางเห็นคะแนนซูหวานหว่านก็ต้องตกใจ เพราะคะแนนนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!

หลังจากถามถึงสาเหตุแล้ว ซูหวานหว่านก็พบว่าเป็นเพราะแม่สามีในอนาคต ชื่นชอบในตัวนางมาก และมิติฟาร์มก็ได้ให้คะแนนนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อเป็นการส่งเสริมความรักในครอบครัวของนาง!

ซูหวานหว่านแอบดีใจอยู่เงียบ ๆ ขณะกำลังกังวลว่าในสองวันที่เหลือนี้นางจะหาคะแนนมาจากไหนให้ครบล้าน มิติฟาร์มก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “ยินดีด้วยเจ้าบ้าน และรางวัลส่วนที่สองที่เจ้าจะได้รับในการทำภารกิจในครั้งนี้ เจ้ามีอยู่สองทางเลือกด้วยกันคือรับ กับ รับ”

“…”

เช่นนี้เรียกว่าตัวเลือกอย่างงั้นหรือ?

ซูหวานหว่านจึงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าจะรับเอาไว้”

“หาเงินด้วยตัวเองภายในสองวัน หากเจ้าได้เงินเท่าใด เจ้าก็จะได้คะแนนเท่านั้น” เสียงของมิติฟาร์มพูดออกมา

ของรางวัลนี้ดีจริง ๆ!

ซูหวานหว่านดีใจมากและเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่นางก็ได้ยินมิติฟาร์มพูดขึ้นมาว่า “เริ่มต้นที่หนึ่งแสน”

เงินหนึ่งแสนตำลึง? นางจะขายอะไรได้บ้าง ซูหวานหว่านรู้สึกว่านางจะต้องทำภารกิจนี้ให้ได้ แต่เสียงของมิติฟาร์มก็พูดดังเตือนขึ้นมาว่า “เจ้าบ้านโปรดจำเอาไว้ด้วยว่า มันคือหนึ่งแสนเหรียญทองต่างหาก”

หนึ่งแสนเหรียญทอง!

ที่มันกำลังจะสร้างความลำบากให้นางใช่หรือไม่!

ซูหวานหว่านรู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ตอนนี้นางจะทำอะไรได้อีก นอกจากจะต้องพยายามทำให้สำเร็จ!

ซูหวานหว่านรู้สึกว่าภารกิจนี้ของนางดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ว่าในเวลาที่จำกัดแบบนี้ นางอาจจะได้รับคะแนนเกือบหนึ่งล้านแต้ม แต่สำหรับการหาเงินมาให้ได้หนึ่งแสนเหรียญทองเมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว นางก็พบว่าภารกิจนี้ยังพอรับได้อยู่

ทันใดนั้น ซูหวานหว่านก็รู้สึกว่าร่างกายของนางกำลังสั่นสะท้าน และนางก็รู้สึกแปลกใจมาก เมื่อนางถอนจิตออกมากลับคืนสู่ความเป็นจริง นางก็เห็นว่าตัวเองได้กลับมาถึงบ้านตระกูลจ้าวแล้ว!

ในเวลานี้ ฉีเฉิงเฟิงได้พยุงนางมา! เหมือนกับว่าเขาพานางมาส่งที่บ้านของตระกูลจ้าว แล้ววางซูหวานหว่านลง

“เจ้ากำลังจะทำอะไร?” ซูหวานหว่านก็ตกใจและผลักฉีเฉิงเฟิงออกไปห่าง ๆ ทันที จากนั้นเขาก็วางแม่จ้าวบนเตียงนอนของตัวเอง

แม่จ้าวก็ลืมตาขึ้นมาทันที “สาวน้อย เกิดอะไรขึ้นกับข้าที่บ้านไม้ไผ่นั่น?”

ซูหวานหว่านก็ตกใจจนยืนตัวแข็งทื่อทันที เพราะแม่จ้าวล่วงรู้ความลับของมิติฟาร์มของนางแล้วใช่หรือไม่?