ตอนที่ 286 บีบบังคับนาง
ตอนที่ 286 บีบบังคับนาง

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยาที่นางให้กับแม่จ้าวนั้นมากพอที่จะให้นางตื่นขึ้นมาได้ในวันนี้

หญิงสาวขบคิดอีกสักพักก็พยักหน้าและกล่าวว่า “วันนี้องค์ชายสามและข้าได้ไปรับท่านกลับบ้าน หลังจากที่ท่านนอนพักผ่อนไป ที่จริงแล้วบ้านไม้ไผ่แห่งนั้นข้าก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และมีผู้ใดเป็นเจ้าของ พอข้าเข้าไปในบ้านหลังนั่นข้าเองก็ไม่เห็นใครแล้ว”

“จริงเหรอ?” แม่จ้าวเกาหัวของตัวเองและไม่รู้ว่าทำไม “แต่ข้าจำได้ว่ามีขนมวางอยู่บนโต๊ะ น่าจะเป็นของเจ้าของบ้านแน่ ๆ”

“ท่านแม่! ท่านจะไปรื้อฟื้นเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร ในตอนนี้ท่านเองก็กลับบ้านมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว” ซูหวานหว่านยิ้มออกมาและสั่งให้คนใช้เตรียมน้ำอุ่น เพื่อให้แม่จ้าวได้อาบและแช่ตัว “ท่านแม่ ท่านไปอาบน้ำให้สบายตัวดีกว่า ส่วนข้าจะไปทำอาหารให้ท่านกินเพื่อบำรุงร่างกาย”

พูดจบซูหวานหว่านก็เดินออกไปทันที

ฉีเฉิงเฟิงที่กำลังยืนรอนางอยู่ที่หน้าประตู ทั้งสองลงมือช่วยกันทำอาการการที่นางมีผู้ช่วยมาในการปรุงอาหาร ทำให้ความเร็วนั่นเพิ่มมากขึ้นและทำมันเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว

เมื่อพวกเขากินข้าวเสร็จ นางก็สั่งให้สาวใช้คนสนิทของแม่จ้าว พาแม่ของตนเองไปนอนพักผ่อน

……

ซูหวานหว่านวางของที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ลงบนโต๊ะ และเอ่ยขอให้ฉีเฉิงเฟิงลองเดาดู “เจ้าคิดว่าของสิ่งนี้คืออะไร?”

ฉีเฉิงเฟิงยักมันขึ้นมาดมกลิ่น “นี่คือ… ชามะลิ?”

“เดาถูกแค่ครึ่งเดียว เจ้าลองเดาใหม่อีกครั้ง” ซูหวานหว่านพูดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับวางสิ่งหนึ่งลงไปบนโต๊ะ “แล้วสิ่งนี้ล่ะ?”

ฉีเฉิงเฟิงลองยกขึ้นมาดมอีกครั้ง กลิ่นหอมของปี้หลัวชุนก็ลอยกระทบจมูกของเขา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นไป และรู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย เขาวางมันลงพร้อมกับจะหยิบขึ้นมาดมใหม่อีกครั้ง แต่ซูหวานหว่านก็หยิบตัดหน้าขึ้นมาเสียก่อนและพูดขึ้นมาแบบเบา ๆ ว่า “ไม่ให้เปิด เจ้าลองเดาดูก่อนสิ”

“ก็ได้” ฉีเฉิงเฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่เขาก็เปิดขวดขนาดเล็กอีกขวดอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เขาเปิดมัน ฉีเฉิงเฟิงก็เห็นของเหลวเหนียวสีเขียวใสข้างในขวด ชายหนุ่มหยิบตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะ แตะมันลงบนของเหลวสีเขียวใสหมายจะเอาเข้าปาก แต่ซูหวานหว่านก็เอ่ยห้ามขึ้นมาว่า “สิ่งนี่มันกินไม่ได้”

“แล้วมันใช้อย่างไร?” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยปากถาม

ซูหวานหว่านหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา มันคือแปรงสีฟันที่ทำจากไม้ไผ่และมีขนแปรงอ่อนนุ่ม นางจุ่มมันลงไปในยาสีฟันพอประมาณแล้วนำเข้าปากเพื่อสาธิตให้กับฉีเฉิงเฟิงดู หญิงสาวนึกถึงสิ่งที่แม่จ้าวพูดขึ้นมาและนางก็พูดออกมาว่า “เจ้าส่งนี้เรียกว่าอวี้หลู่เกา แต่อันนี้เป็นฝีมือข้าทำขึ้นมา และแน่นอนมันว่ามันดีกว่ากิ่งต้นหลิว”

พอพูดจบ ซูหวานหว่านก็หยิบแปรงสีฟันอีกอันส่งให้ฉีเฉิงเฟิงได้ลองใช้ เมื่อชายหนุ่มลองใส่มันเข้าไปในปาก เขาก็สังเกตเห็นว่าเนื้อมันละเอียดอ่อนมาก อีกทั้งเนียนนุ่ม แต่รู้สึกถึงความมันเล็กน้อย อนุภาคขนาดเล็กทำให้เกิดฟองสีขาวเกิดขึ้นหลังจากการเสียดสีไปมา และกลิ่นหอมของดอกมะลิก็อบอวลไปทั่วปาก

หลังจากลองกลิ่นหอมของชาอีกครั้ง ฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกพอใจอย่างมาก และเอ่ยยกย่องออกมาว่า “ในเมืองหลวงนี้ไม่เคยมีใครใช้ของดี ๆ แบบนี้มาก่อนเลย!”

“จริงเหรอ เช่นนั้นก็ดีเลย” ซูหวานหว่านตัดสินเลยทันที และได้ให้พ่อบ้านไปช่วยจัดการเรื่องเช่าร้าน เพื่อเริ่มขายของและนางก็ได้ขอให้ฉีเฉิงเฟิงเขียนบรรยายเกี่ยวกับอวี้หลู่เกา และแปรงสีฟันของนางที่ประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อติดประกาศออกไป

ซูหวานหว่านหยิบสูตรสบู่ น้ำยาซักผ้าที่นางเคยทำ และทำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หญิงสาวขบคิดอยู่นานว่านางจะขายอะไรดี ทันใดนางคิดถึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ของตนขึ้นมาได้ หญิงสาวจึงลงมือทำมันอีกครั้ง ทำการระเหยและแปรรูปเครื่องหอมหลายชนิดโดยใช้กลิ่นหอมจากดอกไม้

และให้ฉีเฉิงเฟิงเขียนบทความเพื่อแนะนำสิ่งของเหล่านี้

เขาคือฉีเฉิงเฟิง! ชายหนุ่มถือได้ว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้จักชายหนุ่ม ทันทีที่มีการเผยแพร่บทความนี้ออกไป มันกลายเป็นที่สนใจของคนในเมือง และมันกระจายไปอย่างกว้างขวางภายในเวลาอันรวดเร็ว

ก่อนบ่ายพ่อบ้านก็ได้เข้ามารายงานว่า “คุณหนู! ร้านของพวกเรามีคนเต็มไปหมด! พวกเขาบอกว่าต้องการซื้ออวี้หลู่เกา น้ำศักดิ์สิทธิ์ เครื่องหอม ฯลฯ บางคนถึงกับขู่ให้เราขายให้กับพวกเขาทั้งหมดในราคาหนึ่งร้อยตำลึง! เราจะขายหรือไม่…”

“ไม่ขาย” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาด้วยความแน่วแน่ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าก็แค่ยิ้มโดยไม่ต้องตอบอะไร แล้วพรุ่งนี้เราจะดำเนินการแข่งขันรอบต่อไปสำหรับคัดเลือกสามีของข้า และจะมีการจับสลากแจกอวี้หลู่เกา และน้ำศักดิ์สิทธิ์ และของอื่น ๆ อีก”

“เข้าใจแล้ว” พ่อบ้านยกแขนเสื้อปาดเหงื่อบนหน้า และหมุนตัวเดินออกไปทันที ซูหวานหว่านครุ่นคิดขณะจับแก้มของตัวเอง และทันใดนั้นก็พบว่าฉีเฉิงเฟิงนั่งกำลังขมวดคิ้วอยู่ และเขาก็เดินไปเล่นกับดอกกล้วยไม้ที่ริมหน้าต่างทันที!

เป็นอะไรไปทำไมถึงไม่สนใจนาง!

ฉีเฉิงเฟิง…เป็นอะไรไป?

ซูหวานหว่านรู้สึกแปลกใจมาก และเอ่ยถามออกมาว่า “เจ้าไม่หนาวหรือไง? มีกระโถนใส่ถ่านอยู่ที่นี่มานั่งตรงนี้เร็ว ๆ เข้าสิ”

“…”

ฉีเฉิงเฟิงนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็เล่นยังคงกล้วยไม้ในมือต่อราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ซูหวานหว่านพูด

“รีบเดินเข้ามานี่สิ” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาอีกครั้ง

ฉีเฉิงเฟิงก็ยังไม่สนใจนาง และยังคงยืนอยู่ริมหน้าต่าง ยืนชมทิวทัศน์ นางไม่รู้ว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงไม่ได้ยินเสียงนางก็คิดว่าเขาน่าจะกำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจอะไรอีกต่อไป และลงมือวาดภาพที่อยู่บนโต๊ะของตัวเองต่อ

หลังจากวาดรูปเสร็จแล้ว ซูหวานหว่านก็สั่งพ่อบ้านไปหาช่างไม้ฝีมือดีทำกล่องทันที นางสั่งทำออกมาอย่างละสิบอัน หญิงสาวยังคงทำแม่พิมพ์ต่อไปเรื่อย ๆ และทำก้อนสบู่ขึ้นมาเป็นพิเศษ ซึ่งรูปลักษณ์ของมันดูเหมือนผลไม้มาก

ซูหวานหว่าน พรุ่งนี้นางคงไม่ได้ทำเงินมากมายจากการขาย เมื่อคิดไปมาแล้วก็นำของที่จะขายในวันพรุ่งนี้มาบรรจุใส่กล่องที่สั่งทำไว้ เมื่อมองดูแล้วมันก็ดูสวยดี เพื่อดึงราคาให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดคือหนึ่งหมื่นตำลึง เลยจะประกาศราคาในวันพรุ่งนี้หลังจากการแข่งขันรอบถัดไป นางจะนำชาด แป้งทาหน้า และน้ำศักดิ์สิทธิ์บางส่วนไปให้เหล่าสตรีได้ลองใช้กันภายในวันนั้น ในเวลาไม่ถึงครึ่งวันเรื่องที่นางจะขายของก็ขยายเป็นวงกว้างและมีคนรอคอยอยู่ไม่น้อย

แต่ก็มีบางคนถึงกับเดินทางมาที่บ้านของนางเพื่อขอมาซื้อก่อนล่วงหน้า และบางคนที่ไม่ต้องการให้ซูหวานหว่านขายของก็มีมาปะปนกันไป

ในเวลานี้ ซูหวานหว่านกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง สาวใช้ก็เคาะประตูเบา ๆ แล้วพูดว่า “คุณหนู คุณชายตระกูลไป๋ ไป๋เหอชิวต้องการพบท่าน”

“…”

“อ๋อ?” ซูหวานหว่านขมวดคิ้วขึ้น โดยนึกไปถึงเรื่องของตระกูลไป๋และตระกูลถังที่ตอนนั้นไม่ยอมขายของให้กับตระกูลจ้าว ซูหวานหว่านก็ไม่อยากที่จะถามอะไรอีกต่อไป จึงตอบออกมาอย่างเย็นชาว่า “ไม่ขอพบแล้วกัน”

“คุณหนูจ้าว เจ้าไม่อยากพบข้า แต่ว่าข้าอยากพบเจ้ามาก” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น ซูหวานหว่านเดินออกไป และมองไปที่ประตูลานหน้าบ้าน ก็เห็นชายคนหนึ่งก้าวเข้ามา

ชายคนนั้นมีรูปร่างและสูงใหญ่กำยำ ดวงตาแหลมคมและมีรอยยิ้มสดใส หากมองเพียงแค่ใบหน้าของเขา ซูหวานหว่านก็เกือบจะคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง

เมื่อคิดว่าชายคนนี้คือไป๋เหอชิว ซูหวานหว่านเล่นตัวกับเขาในฐานะคนที่ถือไพ่เหนือกว่า และพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “คุณชายไป๋ได้โปรดอย่ามาสร้างปัญหาที่นี่! มีเรื่องอะไรก็รีบพูดออกมา”

“คุณหนูจ้าวช่างรู้ทันคนจริง ๆ” ริมฝีปากของไป๋เหอชิวเผยยิ้ม และเขาก็ได้หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากข้อมือของตัวเองแล้วพูดออกมาว่า “คุณหนูจ้าว เจ้าสนใจที่จะร่วมมือกับตระกูลไป๋ของเราหรือไม่? เจ้าเอาสูตรของเจ้ามาให้พวกเรา แล้วตระกูลไป๋ของเรานั้นจะเป็นคนขายของให้เจ้า แล้วเงินที่พวกเราขายได้ เราก็จะนำมาแบ่งกัน ข้ารับแค่หนึ่งส่วน และเจ้าก็เอาไปเก้าส่วน เจ้าจะว่าอย่างไรล่ะ?”

มันก็ดีถ้าหากมีคนสามารถมาช่วยนางได้ แล้วคนที่เคยดูถูกนางมาก่อนมายื่นข้อเสนอแบบนี้ให้นางคิดหรือว่านางจะสนใจ หึ นางไม่สนใจ เพราะ…เขาคือตระกูลไป๋ ที่ร่วมลงทุนกับตระกูลถัง! นางจะตอบตกลงได้อย่างไร? ซูหวานหว่านก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น ข้าไม่สนใจ”

ดูเหมือนว่าไป๋เหอชิวนั้นจะมองทะลุถึงความคิดของซูหวานหว่านว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเขาก็ส่งกระดาษออกมาให้แล้วพูดว่า “คุณหนูจ้าว เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อไปนี้ก็จะมีแค่ตระกูลจ้าวของเจ้าเท่านั้นที่ได้ร่วมลงทุนกับตระกูลไป๋ของเรา ถ้าตระกูลจ้าวของเจ้า…และตระกูลข้าได้ร่วมมือกันแน่นอนว่าพวกเราสามารถเอาชนะตระกูลถังได้อย่างแน่นอน!”

“จริงเหรอ?” คิดว่าเรื่องนี่จะทำให้นางเปลี่ยนใจอย่างงั้นเหรอ ซูหวานหว่านหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมา และเหลือบมองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เห็นว่าส่วนแบ่งเก้าส่วนเป็นของตระกูลไป๋ และหนึ่งส่วนเป็นของนาง! ไป๋เหอชิวกำลังโกหกนางอยู่!

ใบหน้าของซูหวานหว่านแปรเปลี่ยนนิ่งเย็นชา นางกำลังจะโยนกระดาษทิ้ง ทันใดนั้นไป๋เหอชิวก็คว้ามือของนางเอาไว้ ทำให้มือของนางเปื้อนหมึกสีแดงที่ไป๋เหอชิวแอบซ่อนเอาในมือของตัวเอง!

ไป๋เหอชิวมีแรงเยอะมาก เขาจับมือของซูหวานหว่าน และกดนิ้วของซูหวานหว่านลงไปบนสัญญา!

นี่มันคือการบังคับให้นางประทับลายมือในสัญญาใช่หรือไม่?