ตอนที่ 13 ขออภัย
“มาจากตระกูลหวงงั้นสิ?” ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทีหาได้แตกตื่นแม้แต่น้อย
ชายชราในชุดดำกล่าวด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย “ในเมื่อคุณชายซูทราบแล้ว เช่นนั้นร่วมเดินทางกับพวกเราด้วยดี เช่นนั้นจะได้ดีต่อทุกฝ่าย”
ซูอี้เอ่ยคำ “ไปที่ใด?”
น้ำเสียงชายชราชุดดำพลันแข็งขึ้น “ภัตตาคารรวมเซียน!”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะต้องประหลาดใจ หวงเฉียนจวินล้มที่นั่น หรือเขาจะคิดยืนขึ้นที่นั่น?
“งั้นก็ไปกันได้แล้ว อย่าได้เสียเวลาเลย!” ชายหนุ่มหันกลับ พร้อมเดินนำไปสู่ภัตตาคารรวมเซียน
ชายชราในชุดดำและผู้อื่นนิ่งอยู่ครู่ พวกเขาหาได้คาดคิด ว่าซูอี้จะยังมีสติกระจ่างดี กระทั่งว่าสงบนิ่งเกินไป
“จับตามันเอาไว้ อย่าให้ไอ้เด็กนี่หลุดรอดไปไหน!” ชายชราในชุดดำออกคำสั่งในทางลับ ก่อนจะนำกลุ่มคนติดตามไป
ทว่าสิ่งที่พวกเขากังวลก็ไม่ได้เกิดขึ้น ซูอี้มีท่าทีผ่อนคลายตลอดเส้นทาง ไม่มีท่าทีคิดหลบหนีแม้แต่น้อย
จนกระทั่งมาถึงภัตตาคารรวมเซียน มองดูซูอี้เดินหายเข้าไป ชายชราชุดดำและคณะค่อยโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็ประหลาดใจ
บุตรเขยตระกูลเหวินผู้นี้หาญกล้ายิ่ง!
ช่วงเวลาราวครึ่งก้านธูปก่อนกลางวัน ปกติถือเป็นช่วงเวลาที่กิจการของภัตตาคารรวมเซียนคึกคักเป็นที่สุด แต่ซูอี้ที่เข้ามา ณ เวลานี้ เขากลับพบว่ามันรกร้างไร้ผู้คน!
มีเพียงด้านหลังโต๊ะต้อนรับ ที่มีคนคุ้นหน้ายืนอยู่
เป็นเถ้าแก่ภัตตาคารรวมเซียน เยวี่ยเทียนเหอ!
“คุณชายซู ผู้นำตระกูลหวงมาด้วยเรื่องงานเลี้ยงเมื่อวานนี้ กำลังรอให้ท่านมาเยือน”
พบเห็นซูอี้เผยตัว เยวี่ยเทียนเหอจึงยิ้มและเอ่ยปาก ประหนึ่งพบเห็นเรื่องร้ายผู้อื่นเป็นเรื่องสนุก ราวกับเขาคาดคิดไว้แล้วว่าถัดจากนี้จะเกิดเรื่องราวใดขึ้น
“ไม่หวาดเกรงว่าภัตตาคารรวมเซียนแห่งนี้จะมีปัญหาภายหลังหรืออย่างไร?” ซูอี้เอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบ
สีหน้าเยวี่ยเทียนเหอแข็งค้าง ทว่าก็หัวเราะตอบ “อย่าได้ห่วงไป คุณชายซู ป้ายร้านของภัตตาคารรวมเซียนค่อนข้างแข็งไม่น้อย ผู้คนธรรมดาไม่มีทางทิ้งรอยขีดข่วนได้”
หลังหยุดคำไปครู่ เขากล่าวถ้อยคำราวเห็นอกเห็นใจออกมา “กลับเป็นตัวท่าน คุณชายซู… ข้าเกรงว่าวันนี้คงเลวร้ายหนักหนา”
ซูอี้ยิ้มตอบรับ “เถ้าแก่เยวี่ยเตรียมรับชมเรื่องสนุกนั้นได้เลย แต่หากวันนี้ภัตตาคารรวมเซียนสูญเสียใด ข้าไม่คิดจ่าย”
กล่าวคำจบ เขาจึงมุ่งตรงไปยังบันไดสู่ชั้นที่สองของภัตตาคาร
เยวี่ยเทียนเหอขมวดคิ้ว เหตุใดเด็กน้อยผู้นี้จึงดูมั่นใจนัก?
หรือจะมีไพ่ตายอื่นคงอยู่?
ทว่าวันนี้เป็นถึงหวงอวิ๋นชงที่มาสะสางด้วยตนเอง ดังนั้นเรื่องคงไม่ง่ายดั่งใจคิดแน่!
ผู้นำตระกูลหวง หนึ่งในตัวตนทรงอำนาจที่สุดแห่งเมืองกว่างหลิง!
“ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าบุตรเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหวินจะก้าวเดินออกพ้นจากภัตตาคารรวมเซียนของข้าโดยครบถ้วนหรือไม่!” เยวี่ยเทียนเหอนึกคิดพูดพึมพำแผ่วเบากับตัวเอง
ณ ห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง
ประตูเปิดกว้างรอคอยอยู่ก่อนแล้ว เพียงซูอี้มาถึง ก็พบว่ามีสามคนนั่งรออยู่ด้านใน
หนึ่งคือหวงเฉียนจวินในชุดสีดำ นั่งอยู่เคียงข้างชายวัยกลางคนในชุดงูเหลือม*[1]
อีกฝ่ายเป็นบุรุษร่างสูง ใบหน้าแข็งทื่อดุจหินผา นั่งด้วยท่าทีสบาย ประหนึ่งพยัคฆ์มังกร ที่แผ่พลังอำนาจอันเด่นชัดออกมา
ที่อีกฟากฝั่ง คือบุรุษในชุดคลุมสีเขียวพร้อมกระบี่เล่มยาวที่เอว อายุราวสี่สิบปี สีหน้าค่อนข้างซีดเซียว ในมือกำลังเล่นมีดสั้นสีเงินเงางาม
มีดสั้นที่คมกริบพลิกไปมาระหว่างฝ่ามือและนิ้ว ทั้งยังทอประกาย
พบเห็นซูอี้ปรากฏตัว บุรุษในชุดเขียวหรี่ตามองเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเย้ยหยัน ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยท่าทีเหยียดหยาม และผิดหวังไปพร้อมกัน
“ซูอี้ เจ้ามาได้เสียที!”
สองดวงตาของหวงเฉียนจวินเผยความเกลียดชังและขมขื่น ทว่าถ้อยคำกลับถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ข้ากล่าวไปแล้วเมื่อวาน ว่าจะให้โอกาสเจ้าได้ล้างแค้น และในเมื่อตัดสินใจแล้ว เหตุใดข้าจึงไม่มาได้เล่า?”
ซูอี้กล่าวตอบ ฝีเท้าย่างก้าวสู่ห้องอันงดงาม นั่งลงบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย สายตามองไปยังชายวัยกลางคนในชุดงูเหลือม และอีกคนหนึ่งในชุดสีเขียว โดยไม่กล่าวถ้อยคำใดอีก
เพราะอาการสงบจนเกินควรของซูอี้ ทำเอาชายวัยกลางคนในชุดงูเหลือมนึกประหลาดใจ
ทันใดนี้เอง เขาพลันถอนหายใจอย่างคำนึง “หัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอช่างหาญกล้ายิ่งนัก ตอนนี้คงได้แต่ต้องเชื่อคำจิ้งจอกเฒ่าเยวี่ยเทียนเหอแล้ว ช่วงปีที่ผ่านมานี้ ผู้คนในเมืองกว่างหลิงปรามาสเจ้าเกินไป”
เสียงนุ่มชวนรับฟัง ทว่าเจืออำนาจของผู้ซึ่งอยู่สูงกว่า
ซูอี้ยื่นมือไปเคาะโต๊ะอาหารตรงหน้าที่ว่างเปล่า ถ้อยคำกล่าวตอบราบเรียบ “นี่ก็กลางวันแล้ว หากคิดพบปะข้า พวกเจ้าควรจัดงานเลี้ยง พูดคุยไปทานอาหารไปจึงจะเหมาะ”
หวงเฉียนจวินที่ได้ฟังพลันกราดเกรี้ยว ตอนนี้ใช่เวลาทานอาหารงั้นหรือ?
บุรุษในชุดเขียวเผยสีหน้าเหยียดหยันเช่นเคย มือยังคงเล่นมีดสั้นสีเงิน ราวกับไม่สนใจเรื่องราว
ชายวัยกลางคนในชุดงูเหลือมหัวเราะ “ไว้เรื่องราวนี้สะสาง หากเจ้ายังอยากอาหาร ข้ารับปากจะเลี้ยงให้อิ่ม!”
หลังเงียบเสียงไปครู่ อีกฝ่ายจึงค่อยกล่าวคำแนะนำตัว “ตาเฒ่าผู้นี้คือหวงอวิ๋นชง ได้ยินว่าเมื่อวานนี้เจ้าสั่งสอนบทเรียนบุตรชายไม่ได้ความของข้าที่นี่ สำหรับตอนนี้ ลืมเรื่องใครผิดใครถูกไปได้เลย บุตรชายข้าได้รับโทษทัณฑ์แล้ว ส่วนเจ้าที่กลั่นแกล้งยังลอยนวล จึงเป็นหน้าที่ของตาเฒ่าผู้นี้ที่ต้องจัดการ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
ซูอี้พยักหน้ารับเรียบเฉย “นับเป็นเรื่องปกติ เมื่อตีเด็กย่อมมีผู้ใหญ่เสนอหน้าเข้ามา”
หวงอวิ๋นชงโน้มกายมาด้านหน้า สายตาทอประกายคมกล้า จับจ้องมายังซูอี้และเอ่ยคำ
“ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ดังนั้นจะกล่าวตามตรง หากเรื่องราวนี้ไม่คลี่คลาย บุตรชายข้าคงได้กลายเป็นที่ขบขันของทั้งเมืองกว่างหลิงเพราะเรื่องราวเมื่อวานนี้ เรื่องที่หวาดเกรงจนฉี่ราดนั้น หากเผยแพร่ออกไป เรื่องราวนี้ฟังอย่างไรก็ไม่ดี”
หวงเฉียนจวินที่นั่งเคียงข้าง ท่าทีทั้งอับอายและโกรธเกรี้ยว สายตายิ่งมองยิ่งคับแค้นยามมองที่ซูอี้
“งั้นเจ้าคิดแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร?” ซูอี้เอ่ยถามด้วยท่าทีผ่อนคลาย
หวงอวิ๋นชงปล่อยแรงกดดันมหาศาลในทันใด เขาคือบุคคลที่อยู่ในขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ แค่พลังเพียงเศษเสี้ยวของเขาก็สามารถส่งผลต่อผู้คนธรรมดาได้อย่างสาหัส
แต่ทว่าสภาวะพลังของเขากลับไม่มีผลต่อซูอี้แม้แต่น้อยทั้งจิตใจหรือร่างกาย
ใช้พลังข่ม?
นั่นขึ้นอยู่ว่าเผชิญหน้ากับผู้ใด!
ซูอี้แสดงท่าทีเฉยชาตอบสนอง ทำเอาหวงอวิ๋นชงต้องประหลาดใจอีกครั้ง
เขาครุ่นคิดไปครู่ ก่อนจะเผยยิ้มออกมา “ขออภัย”
“ขออภัย?”
“ถูกต้อง เริ่มคุกเข่าจากที่นี่ และโขกศีรษะทุกย่างก้าวจนกว่าเจ้าจะออกไปพ้นจากภัตตาคารรวมเซียน”
หวงอวิ๋นชงยื่นมือและชี้ไปยังพื้นภายนอกห้องส่วนตัว น้ำเสียงอ่อนนุ่ม ใบหน้าประดับรอยยิ้ม “โขกศีรษะให้ดังมากพอ เพื่อที่ห้องส่วนตัวแห่งนี้จะได้ยินเสียง รวมถึงได้ยินทั่วทั้งชั้นล่าง”
หวงเฉียนจวินที่ได้ฟังอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มยินดี แววตาทอประกายตื่นเต้น
ส่วนบุรุษในชุดเขียวที่ไม่เคยกล่าวคำใด อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ผู้นำตระกูล ท่านเมตตาเกินไปแล้ว”
หวงอวิ๋นชงยิ้มรับก่อนจะกล่าวตอบ “เจ้าไม่เข้าใจ เรื่องเบาะแว้งระหว่างคนหนุ่ม ไม่คู่ควรให้ข้าต้องลงมือหนักหนา”
ไม่หนักหนา?
หวงเฉียนจวินอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจ ทั้งยังประหลาดใจกับคำพูดของบิดาตนเอง
หวงอวิ๋นชงยังคงจับจ้องที่ซูอี้ และกล่าวถ้อยคำอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อใดเจ้าโขกศีรษะถึงที่ภายนอกภัตตาคารรวมเซียน จงคุกเข่าอยู่ด้านหน้าและตบหน้าตนเอง จดจำเอาไว้ ต้องตบหน้าให้ดังมากพอ เสียงต้องได้ยินในระยะสามจั้ง*[1]”
เมื่อพูดจบ เขาพลันเคาะนิ้วกับโต๊ะ เผยยิ้มอันผ่อนคลายแสดงให้เห็น “เมื่อใดผู้คนรับชมพอใจและแยกย้าย เรื่องนี้ถือว่าจบสิ้น”
หวงเฉียนจวินพลันตื่นเต้นยินดี คาดหวังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นถัดจากนี้
“ในความเห็นข้า โทษทัณฑ์นี้ยังเบาเกินไป แต่ในเมื่อผู้นำตระกูลไม่คิดทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็ตามนั้น ถือว่าเมตตาเด็กน้อยผู้นี้”
บุรุษในชุดเขียวยังคงควงมีดสั้นเล่นไปมา คิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายจับจ้องซูอี้ประหนึ่งคมมีด “เจ้าจะทำด้วยตนเอง หรือให้ข้าบังคับกระทำ?”
น้ำเสียงนี้ดุร้ายและเย็นชา ราวกับอสรพิษที่แลบลิ้นออก เป็นผลให้ผู้คนรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งร่าง
หวงอวิ๋นชง หวงเฉียนจวิน สองพ่อลูกต่างจับจ้องที่ซูอี้
บรรยากาศในห้องส่วนตัว กลับกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด
ทว่าท่าทีของซูอี้กลับไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวออกมาอย่างเฉยชา “โธ่ ๆ ข้านึกว่าเจ้าจะกล้าลงมือสังหารผู้คน ไม่นึกเลย… ว่าจะเล่นเล่ห์กลเช่นนี้”
หวงเฉียนจวินชะงักงันไปครู่ แทบไม่เชื่อหูตนเอง
หวงอวิ๋นชงขมวดคิ้วบาง
บุรุษในชุดเขียวเผยดวงตาเย็นเยียบ ทันทีพลันลุกพรวดพร้อมแผ่สภาวะพลังอันชวนสะพรึง ราวกับคิดลงมือโดยตรง
แต่ทันใดนี้เอง!
เสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งและเร่งรีบดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงอันหยาบกร้าน
“พี่หวง เห็นแก่หน้าข้า ปล่อยซูอี้ไปเสีย!” เสียงดังก้องนั่นตามมาด้วยร่างหนึ่งที่แข็งแกร่งเผยตัว เป็นบุรุษไว้หนวดเคราที่เดินเข้ามายังห้องส่วนตัว ดวงตาอีกฝ่ายเจิดจ้าราวสายฟ้า
“เนี่ยเป่ยหู่?”
หวงอวิ๋นชงขมวดคิ้ว ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาขึ้นจมูก “ข้าละนึกสงสัย เหตุใดผู้บัญชาการกองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง จึงมาช่วยบุตรเขยแต่งเข้าบ้านคนหนึ่งเช่นนี้?”
“เป็นบิดาเนี่ยเถิงงั้นหรือที่มา…?” ซูอี้ประหลาดใจ
ก่อนแยกย้ายที่หน้าภัตตาคารรวมเซียน เขาจดจำคำเนี่ยเถิงได้ ว่าจะตอบแทนเรื่องราว!
เห็นได้ชัด ว่าเนี่ยเถิงที่กลับไปบ้านเมื่อวาน ได้ร้องขอให้บิดาช่วยเหลือ
มันเป็นสาเหตุว่าทำไมเนี่ยเป่ยหู่มาเยือนที่นี่ตอนนี้
เนี่ยเป่ยหู่ก้าวเดินเข้าห้องส่วนตัว ถ้อยคำอันจริงจังก็ถูกเอ่ยออก “เมื่อวานมีสุนัขกลั่นแกล้งบุตรชายข้า เพราะซูอี้ช่วยเหลือ มีหรือตัวข้า เนี่ยเป่ยหู่จะไม่ตอบแทน?”
หวงอวิ๋นชงจับจ้องไปยังหวงเฉียนจวินที่ข้างกาย
หวงเฉียนจวินเร่งร้อนเอ่ยคำ “ท่านพ่อ เมื่อวานข้าเพียงขู่ให้เนี่ยเถิงกลัวไปบ้าง หาได้ทำอะไรไม่ ดังนั้นอย่าได้กล่าวถึงข้าทำการเหยียดหยามอะไรเขา”
“พี่เนี่ย ดังที่ได้ยิน เรื่องราวนี้ไม่เกี่ยวข้องใดกับบุตรชายเจ้า!”
ท่าทีของหวงอวิ๋นชงเฉยชา น้ำเสียงยิ่งเย็นเยียบ “ในทางกลับกัน บุตรชายข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกลั่นแกล้ง หากปล่อยไว้เช่นนี้ บุตรชายข้าจะเงยหน้าสู้ผู้คนในเมืองกว่างหลิงภายหน้าอย่างไร?”
เนี่ยเป่ยหู่เผยสีหน้าอับจน คิดกล่าวอะไรไม่ออก
ทว่าหวงอวิ๋นชงกลับกล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน “พี่เนี่ย อย่าได้กล่าวคำใดแล้ว วันนี้ไม่ว่าเป็นเจ้า หรือต่อให้ผู้นำตระกูลเหวิน เหวินฉางจิ้งมาด้วยตนเอง ก็ไม่มีทางช่วยซูอี้ให้รอดพ้น!”
น้ำเสียงนี้ยิ่งใหญ่ และทรงอำนาจ
ทำให้ใบหน้าเนี่ยเป่ยหู่บิดเบี้ยว เขามาเยือนด้วยตนเอง แต่กลับถูกปฏิเสธ ถือว่าทำตัวเขาเสียหน้า
พอพบเห็นเรื่องราวตรงหน้า ซูอี้อดไม่ได้ที่จะลอบส่ายศีรษะ เขาไม่คิดให้ผู้อื่นช่วยคลี่คลายปัญหานี้อยู่แล้ว
แต่ในเมื่อเนี่ยเป่ยหู่มาที่นี่เพื่อช่วยตน ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจนิ่งเฉยและรับชมเพียงอย่างเดียวได้
แต่ก่อนซูอี้จะทันตอบสนอง เสียงฝีเท้ารัวเร็วพลันดังจากทางบันได
หวงอวิ๋นชงขมวดคิ้ว ท่าทีแสดงออกว่าไม่ยินดี
ภัตตาคารรวมเซียนคือสถานที่ของเยวี่ยเทียนเหอ เขานึกว่าที่นี่จะไร้ผู้ใดรบกวน แต่แล้วขณะนี้กลับเกิดเรื่องราวซ้ำซาก มีหรือหวงอวิ๋นชงจะไม่นึกรำคาญ?
ผู้อื่นในห้องต่างสงสัยเช่นกัน ว่าครั้งนี้จะเป็นผู้ใดมาเยือน?
ไม่ช้า ร่างหนึ่งจึงปรากฏตัวนอกห้องส่วนตัว
เป็นชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตแขนกว้าง หนวดที่ราวกับใบหลิวอยู่ใต้กราม กลิ่นอายพลังกล้าแกร่งล้อมรอบ แต่ขณะนี้คิ้วของเขาขมวดย่นจากอาการหวั่นวิตก หน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อผุด เห็นได้ชัดว่าเร่งรีบ
เพียงมาถึง พบเห็นซูอี้นั่งนิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออก
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจ ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตเร่งรีบเดินเข้ามา พร้อมโค้งกายคำนับซูอี้
“คุณชายซู พวกเขาได้ทำร้ายท่านหรือไม่?”
[1] ชุดงูเหลือม คือชุดที่บุคคลธรรมดาซึ่งมีสถานะทัดเทียมขุนนางพึงสวมใส่ได้
[2] จั้งคือหน่วยวัดของจีน โดย 1 จั้งเทียบเท่าประมาณ 3.33 เมตร