ตอนที่ 14 นองเลือด
ซูอี้เกิดรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา เหมือนว่าคนมาใหม่คุ้นหน้า ทว่าเขาไม่อาจจดจำได้ว่าเคยพบเจอที่ใด
“ข้าดูเหมือนบาดเจ็บหรือ?” ซูอี้สะกดความสงสัยเอาไว้ ก่อนจะยิ้มและเอ่ยถาม
พบเห็นเช่นนี้ ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตค่อยผ่อนคลาย เขากล่าวทวนคำซ้ำ “ดีแล้ว ดีแล้ว ดีจริง ๆ”
แต่ขณะเขาหันไปมองยังผู้อื่นที่นี้ สีหน้าท่าทีอันสง่างามและเป็นมิตร มันพลันกลับกลายเป็นเย็นเยือกฉับพลันพร้อมเอ่ยคำ
“หวงอวิ๋นชง เจ้าช่างกล้า!” เสียงนี้ดั่งประหนึ่งฟ้าผ่าที่กลางใจ
หวงอวิ๋นชงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยนรุนแรง นับตั้งแต่ที่ชายวัยกลางคนชุดบัณฑิตผู้นี้ปรากฏตัวและกระทั่งถูกด่าทอ เขาไม่อาจนั่งนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
เขาเร่งรีบลุกขึ้น ท่าทีสงสัยเผยออก “พี่ฟู่ ไฉนท่านจึงมาที่นี่?”
“ท่าน…ท่านเจ้าเมือง?”
หวงเฉียนจวินตระหนก ลุกพรวดขึ้นแตกตื่น ท่าทีราวสับสน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ซูอี้มีสัมพันธ์อันดีกับเจ้าเมืองถึงเพียงนี้!?
ทางด้านบุรุษในชุดเขียวเองก็ตื่นตระหนกจนยืนขึ้นเช่นกัน มีดสั้นในมือพลันเก็บเลือนหาย ศีรษะโค้งลงกล่าวคำ “คำนับท่านเจ้าเมืองฟู่!”
ขณะเดียวกันนี้ เนี่ยเป่ยหู่ก็เร่งรีบประสานกำปั้นและฝ่ามือแสดงความเคารพ “คำนับท่านเจ้าเมือง!”
ชั่วพริบตา สายตาทุกคู่ล้วนมองไปยังบุรุษในชุดบัณฑิต
ฟู่ซาน!
เจ้าเมืองกว่างหลิง ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ พลังและอำนาจที่มี นับได้ว่ายิ่งใหญ่เทียมฟ้า!
“ที่แท้ก็เป็นเขานั่นเอง” ซูอี้ค่อยตระหนักได้ ทว่าในใจยังคงสับสน คล้ายว่าตนไม่เคยมีสัมพันธ์มิตรสหายใดกับอีกฝ่ายมาก่อน
หรือ…
ทันใดนี้เอง ซูอี้นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง
หากแต่ชายหนุ่มไม่คิดพูดกล่าว เพียงแต่รับชมเช่นเดิม
“หากข้าไม่มา จะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่อหังการของหวงอวิ๋นชงงั้นหรือ!?” ดวงตาของฟู่ซานเย็นเยียบราวราชาผู้กราดเกรี้ยวกำลังข่มขู่
หน้าผากหวงอวิ๋นชงกระตุกเผยเส้นเลือด เขาพยายามสงบใจตนเอง ด้วยถึงอาจไม่ไว้หน้าเนี่ยเป่ยหู่ได้ ทว่าฟู่ซานเป็นเจ้าเมือง เขายังต้องมีความหวาดเกรง
“พี่ฟู่ ข้าได้สืบหาพื้นเพของซูอี้แล้ว ครั้งอดีตที่เขาแข็งแกร่ง ก็เป็นเพียงหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอเท่านั้น”
“และยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้เขายังเป็นเพียงแค่บุตรเขยคนหนึ่งของตระกูลเหวิน ผู้ไร้ซึ่งความสามารถใด ๆ…”
หวงอวิ๋นชงครุ่นคิดก่อนจะกล่าวต่อ “ดังนั้นข้าจึงไม่เข้าใจ เหตุใดพี่ฟู่ที่เคารพจึงต้องออกหน้าช่วยชายคนนี้?”
เรื่องราวนี้ ไม่ว่าหวงเฉียนจวิน บุรุษในชุดเขียว และเนี่ยเป่ยหู่ต่างก็สงสัย
“ไร้ความสามารถ?”
สายตาฟู่ซานเผยอาการประชดประชันรุนแรง ถ้อยคำกล่าวถัดมาแสดงให้เห็นถึงความเย็นชาอย่างชัดเจน “เห็นแก่ที่รู้จักกันมาก่อน ข้าจะบอกให้เจ้าทราบว่าก่อนมายังภัตตาคารรวมเซียนแห่งนี้ ท่านเจ้าผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยา กล่าวเอาไว้ว่าหากเส้นผมของคุณชายซูหลุดร่วงสักเส้น ข้าฟู่ซานผู้นี้จะต้องปลิดปลงศีรษะรับโทษ!”
หนึ่งถ้อยคำ เปรียบดังฟ้าผ่า!
ผู้คนต่างเผยสีหน้าซีดเผือด ร่างกายแข็งค้าง
“ท่านกล่าวว่า… เขาเป็นสหายขององค์หญิงแห่งหลิงเหยา?”
หวงอวิ๋นชงหันมองซูอี้อย่างไม่อาจนึกเชื่อ
องค์หญิงแห่งหลิงเหยาเป็นผู้ใด?
นางเป็นเชื้อสายจักรพรรดิที่แท้จริง แม้ว่านางถือกำเนิดในตระกูลเซียว แต่ก็ยังถือเป็นเชื้อสายจักรพรรดิผู้ชวนสะพรึง!
มันคือสถานะอันชวนให้หวาดกลัว!
ซูอี้ผู้เป็นเพียงบุตรเขยตระกูลเหวิน ไฉนถึงเป็นมิตรสหายกับเจ้าผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยาได้?
ทั้งเนี่ยเป่ยหู่และบุรุษในชุดขาว ต่างก็มองหน้ากันเองราวกับไม่เชื่อ กระทั่งนิ่งงันไปอย่างโง่งม
ด้วยตัวตนเช่นพวกเขา ย่อมทราบถึงความหมายในถ้อยคำของฟู่ซาน สำหรับเจ้าผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยา ศีรษะของเจ้าเมืองเช่นฟู่ซานนั้นมีค่าด้อยกว่าชีวิตของซูอี้!
“หวงอวิ๋นชงเอ๋ย หวงอวิ๋นชง เพราะการกระทำของเจ้าเมื่อครู่ ถึงกับเกือบทำข้าถูกบั่นศีรษะ!” ฟู่ซานเอ่ยคำอันเย็นเยือก
“ข้า…” หวงอวิ๋นชงไม่อาจสงบใจลงได้อีก กระทั่งหลั่งเหงื่อไหลท่วม
แม้ว่าเขาจะเป็นถึงผู้นำตระกูลหวง ผู้สามารถเรียกลมเรียกฝนในเมืองกว่างหลิง ทว่าก็ยังต้องหวาดเกรงฟู่ซานอยู่สักสามส่วน
แต่หากเป็นท่านผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยา ตัวตนอันสูงส่งเช่นนั้น ต่อให้เป็นทั้งตระกูลหวงของเขาก็ไม่อาจแบกรับ!
“ท่านพ่อ เจ้าผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยาคือใคร นาง…นางยิ่งใหญ่กว่าท่านลุงอีกงั้นหรือ?”
หวงเฉียนจวินเอ่ยปากถาม เขาพลันได้ตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เพราะยังอ่อนเยาว์เกินไป ทำให้เขาไม่ทราบว่าอำนาจอันแท้จริงคืออะไร
เพียะ!
เพียงสิ้นเสียง หวงเฉียนจวินพลันถูกตบที่ใบหน้า ร่างเขากระเด็นร่วงหล่นกับพื้น แก้มแดงก่ำปูดบวม กระทั่งเลือดไหลหลั่ง สีหน้าแสดงอาการโง่งมเพราะผู้ตบ… ก็คือบิดาของเขาเอง!
“หุบปาก!” สีหน้าหวงอวิ๋นชงซีดเผือด ดวงตาทอประกายด้วยโทสะเผาไหม้
ท่าทีสะพรึงกลัวนี้ เป็นผลให้หวงเฉียนจวินรู้สึกเย็นเยียบ กระทั่งทั้งกายเริ่มสั่น
“หากลุงเจ้าทราบเรื่องนี้ เกรงว่าเขาจะพร้อมหย่าขาดกับป้าของเจ้า พร้อมไล่ออกจากตระกูล ลากเส้นแบ่งอันชัดเจนต่อตระกูลหวงของเรา!” ฟู่ซานแค่นเสียง
ป้าของหวงเฉียนจวิน ทราบกันว่าเป็นพี่สาวของหวงอวิ๋นชง เป็นนางสนมที่โปรดปรานของ ‘ฉินเหวินเยวียน’ ผู้ว่าการแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ
ฉินเหวินเยวียนผู้นี้ กล่าวคือเป็นคนใหญ่โตเหนือเจ้าเมืองทั้งสิบเก้าคนของเขตปกครองอวิ๋นเหอ!
เพราะสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหวงและฉินเหวินเยวียน ฟู่ซานจึงไม่กล้าหาเรื่องต่อตระกูลหวง
กระนั้นขณะนี้ไม่ใช่อีกต่อไป!
หวงเฉียนจวินค่อยได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องราว ทุกคนที่นี่ราวกับถูกกระชากจิต พวกเขาคิดอยากเดินจากไป แต่คล้ายเรี่ยวแรงทั้งกายเลือนหาย จนไม่อาจก้าวขาออกไปได้
ในช่วงเวลาเช่นนี้ หวงอวิ๋นชงจะจัดการกับบุตรชายตนเองเช่นไร?
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก โค้งกายลงอย่างเฉียบขาด แสดงความเคารพอันลึกล้ำต่อซูอี้ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำอันขื่นขม
“ตาเฒ่าหวงผู้นี้มีตาหามีแววไม่ จึงไม่ทราบว่าคุณชายซูเป็นมิตรสหายของท่านผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยา ข้าที่ดวงตามืดบอด ขอคุณชายซูตัดสินโทษ!”
ทั้งห้องกลายเป็นเงียบงัน ผู้คนไม่กล้าส่งเสียง จิตใจต่างหวั่นไหว
หวงอวิ๋นชง ผู้นำตระกูลหวง ตัวตนทรงอำนาจแห่งเมืองกว่างหลิง กระทั่งว่าเผชิญหน้าเนี่ยเป่ยหู่ ผู้บัญชาการกองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมืองก่อนหน้านี้ เขายังไม่เผยความอ่อนน้อมใดออกมา
ต่อให้จะเป็นการเผชิญหน้ากับฟู่ซานผู้เป็นเจ้าเมือง เขายังตีตัวเสมอ
ทว่าขณะนี้ เพราะนาม ‘ท่านผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยา’ ถึงกับทำเขาต้องโค้งศีรษะแก่ซูอี้!
“ท่านพ่อ…” หวงเฉียนจวินชะงักงัน ในใจเวลานี้มีแต่ความรู้สึกอันไร้พลังอันยากอธิบาย
ในใจเขา บิดาตนเสมือนขุนเขา ที่รองรับทั้งผืนฟ้าและแผ่นดิน
กระนั้นยามนี้กลับพบเห็นบิดาโค้งศีรษะขออภัยแก่บุตรเขยเช่นซูอี้ มันราวกับ… ภาพภูเขาในใจของเขาได้พังทลายลง!
บุรุษในชุดเขียวยิ่งเคร่งเครียด สีหน้าขณะนี้ปั้นยาก
เมื่อพบเห็นเรื่องราว เนี่ยเป่ยหู่ค่อยหัวเราะกับตนเองขณะรับชมสถานการณ์ ณ ตอนนี้ …เหตุใดซูอี้ยังต้องให้เขาช่วยเหลืออีก?
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ผู้นำตระกูลหวง ผู้มักอหังการอวดดีตลอดมาไม่เสื่อมคลาย ขณะนี้โค้งศีรษะกล่าวคำขออภัยจากใจ แต่สิ่งที่เขาตระหนักรู้ได้คือหวงอวิ๋นชงผู้นี้ไม่ใช่โค้งศีรษะให้ตนเอง แต่เป็น ‘ท่านผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยา’ ต่างหาก
“คุณชายซู ท่านคิดเห็นว่าเรื่องนี้สมควรคลี่คลายเช่นไร?”
ฟู่ซานเอ่ยถามเสียงเบา ยามเผชิญหน้าซูอี้ เจ้าเมืองกว่างหลิงผู้นี้รักษาท่าทีสุภาพไว้โดยตลอด หาได้มีความหยาบคายใดเผยไม่
ซูอี้มองยังหวงเฉียนจวินก่อนจะเอ่ยคำ “จดจำคำที่ข้ากล่าวเอาไว้เมื่อวานได้หรือไม่?”
คราแรกหวงเฉียนจวินชะงัก ก่อนสีหน้าจะกลายเป็นซีดเผือด ริมฝีปากสั่นเครือ “ข้า…”
โดยไม่รอให้เขากล่าวคำต่อ ซูอี้เอ่ยคำขึ้น “ข้ากล่าวไว้ ว่าให้โอกาสเจ้าได้เลือก และตราบใดที่เจ้าเลือกกระทำแล้ว เจ้าก็ต้องแบกรับถึงผลที่ตามมา”
แน่นอนว่าหวงเฉียนจวินจดจำถ้อยคำได้ แต่กระนั้นเมื่อวานนี้เขาหาได้สนใจไม่
แต่ขณะนี้หลังรับฟังถ้อยคำ ทุกคำพูดมันราวกับคมมีดเย็นเยือกที่กัดกิน และทิ่มแทงเข้าที่กลางใจ
เขาถึงขั้นแตกตื่น
ความหวาดกลัวอันถึงขีดสุด เป็นผลให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันมองหวงอวิ๋นชงผู้เป็นบิดา
หวงอวิ๋นชงที่ยังคงท่าทีโค้งศีรษะน้อมรับ ขณะนี้อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง กระทั่งกัดฟัน “คุณชายซู ข้ายินดีรับผลการกระทำนั้นเพียงลำพังแทนบุตรชายของข้า!”
ซูอี้ส่ายศีรษะ สายตาหันมองทางฟู่ซานอีกครั้งหนึ่ง “เหมือนว่าเมื่อครู่ เจ้าเมืองฟู่จะกล่าวมากเกินไปสักหน่อย จนดูคล้ายเป็นการชี้นำให้หวงอวิ๋นชงและบุตรชายเข้าใจถึงความร้ายแรง เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำอันเกินควรที่นำไปสู่หายนะอันใหญ่โต”
ท่าทีฟู่ซานชะงักงัน เขาจงใจเอ่ยคำ ‘ท่านผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยา’ เมื่อครู่นี้ เพราะมีความคิดเช่นนั้นจริง
อย่างไรหวงอวิ๋นชงก็เป็นผู้นำตระกูลหวง หากเรื่องราวนี้บานปลาย เขาผู้เป็นเจ้าเมือง ย่อมต้องโดนผลกระทบไม่มากก็น้อย
เพียงแต่ฟู่ซานไม่คาดคิด ว่าซูอี้ที่เพียงรับชมจะตระหนักทราบถึงความจริงเบื้องหลังการกระทำนี้!
หลังสงบใจ ฟู่ซานค่อยมองตรงพร้อมประสานกำปั้นและฝ่ามือ กล่าวคำออกเสียงเคร่งเครียด “สายตาคุณชายซูประหนึ่งคบเพลิง ความคิดของฟู่ผู้นี้ไม่อาจปิดบังท่าน กระนั้นฟู่ผู้นี้ขอรับปากในเรื่องราว ไม่ว่าท่านจะจัดการเรื่องราวนี้เช่นไร ฟู่ผู้นี้จะไม่เอ่ยคำใดอีก!”
เมื่อพบเห็นเจ้าเมืองรับปากอย่างแข็งขัน หวงอวิ๋นชวง หวงเฉียนจวิน รวมถึงบุรุษในชุดเขียวพลันต้องแปรเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้งครา ใจพวกเขาแทบดิ่งฮวบถึงก้นบึ้ง
ทว่าซูอี้เพียงกล่าวตอบอย่างเฉยชา “ข้าไม่เคยชื่นชอบใช้อำนาจของผู้อื่นสะกดข่มอีกฝ่าย ยังไม่กล่าวถึงเรื่องเจ้าเมืองฟู่มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือ ดังนั้นข้าย่อมไม่สร้างความลำบากให้”
ฟู่ซานพลันถอนหายใจโล่งอก
แต่แล้วสายตาซูอี้หันมองทางบุรุษในชุดสีเขียวใกล้เคียง รอยยิ้มเผยขึ้นพร้อมกล่าวคำ “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าชื่นชอบเล่นมีดสั้นหรือไร ขณะนี้จงนำมันออกมาหั่นมือของเจ้าเสีย!”
นับตั้งแต่เขาเข้ามายังห้องส่วนตัวแห่งนี้ บุรุษในชุดเขียวจะควงมีดสั้นในมือเล่นโดยตลอด กระทั่งเอ่ยถ้อยคำชี้นำ หากไม่ใช่เนี่ยเป่ยหู่มาถึงอย่างกะทันหัน เช่นนั้นคงลงมือต่อซูอี้ไปแล้ว
ซูอี้ย่อมไม่เมินเฉยต่อตัวตนขวางหูขวางตาเช่นนี้แน่
ผู้คนต่างรู้สึกหนาวเย็นจับใจ
บุรุษในชุดเขียวมีนามว่าหวงหยิน เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหวง เป็นตัวตนขอบเขตแรกแห่งวิถียุทธ์ ขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสี่ ตำแหน่งของเขาที่เมืองกว่างหลิง อาจกล่าวได้ว่าเป็นนักรบชั้นแนวหน้า
หากมือข้างหนึ่งพิการ มันจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการบ่มเพาะวิถียุทธ์!
“ข้า… ให้ข้ารับโทษหนทางอื่นแทนได้หรือไม่?” หวงหยินเผยสีหน้าแปรเปลี่ยนรุนแรง ท่าทีร้อนรน
ซูอี้ไม่กล่าว เพียงแต่ยิ้มมุมปากตอบ
ฟู่ซานมองไปทางหวงอวิ๋นชง ด้วยสายตาอันเย็นเยียบ
แรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็น เป็นผลให้หวงอวิ๋นชงรู้สึกแน่นในอก กระทั่งเอ่ยคำออกด้วยสีหน้าปั้นยาก “หวงหยินลงมือเดี๋ยวนี้!”
หวงหยินเผยสีหน้าซีดเผือด ดวงตาเหม่อลอย สุดท้ายเขานำเอามีดสั้นของตนเองออกมา หันเข้าหามือขวาของตนและฟันฉับ
ฉับ!
เลือดพุ่งกระฉูดพร้อมมือขวาที่ร่วงหล่น โลหิตหลั่งรินดั่งน้ำตก
ใบหน้าหวงหยินกระตุกเพราะเจ็บปวด หน้าผากปรากฏเหงื่อท่วมกาย
ซูอี้พยักหน้า จากนั้นจึงหันสายตามองยังหวงอวิ๋นชง “เมื่อครู่ เจ้ากล่าวบอกให้ข้าโขกศีรษะทุกย่างก้าว นับจากที่นี่ให้คุกคลานไปจนถึงภายนอกภัตตาคารรวมเซียน เจ้าคิดว่าเรื่องราวนี้ควรสะสางเช่นไร?” นัยน์ตาหวงอวิ๋นชงพลันหดลีบ
เขาหันมองหวงเฉียนจวินอีกครั้ง ก่อนสีหน้าจะพลันเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้นมา
ฟู่ซานและเนี่ยเป่ยหู่ต่างมองหน้ากันเอง ท่าทีของพวกเขากลายเป็นนึกเวทนา อาจกล่าวได้ว่าผู้นำตระกูลหวงโยนหินตกกระทบเท้าตนเอง!
หากหวงอวิ๋นชงโขกศีรษะจากที่นี่จนออกไปถึงด้านนอกภัตตาคารรวมเซียนในวันนี้… นั่นคงเป็นจุดจบทางสังคม อาจถึงขั้นไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้อีกตลอดชั่วชีวิต!
“ท่านพ่อ ข้าโขกศีรษะเอง ให้ข้าทำเอง!”
ทันใดนั้นเอง หวงเฉียนจวินพลันร่ำร้องออกมา ร่างทอดลงกับพื้น พร้อมโขกศีรษะอย่างแรง
ตึง!
พื้นไม้สั่นสะเทือนรุนแรง เสียงการโขกศีรษะนี้ราวการตีกลอง
หวงเฉียนจวินถึงขั้นศีรษะแตกหลั่งเลือด!