ตั้งแต่หลิ่วอี้ฮวนกับถิงหนูไปแล้ว จากฤดูใบไม้ผลิก็เข้าสู่ฤดูร้อน เวลาผ่านไปได้ราวครึ่งปีแล้ว อาการอวี่ซือเฟิ่งดีขึ้นเกินครึ่ง มีแต่ตอนฟ้าครึ้มฝนจะตกเท่านั้นที่อาการเก่าจะกำเริบ แต่เรื่องแบบนี้ร้อนใจไม่ได้ ได้แต่ค่อยๆ รักษาตัวไป
หลังบาดแผลหาย เขากลัวว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงนานไปจะทำให้เสียเวลาฝึกพลังบำเพ็ญเพียร จึงได้ตกลงกับเสวียนจีไว้ก่อนหน้าแล้วว่าทุกวันจะแก้กระบวนท่ากระบี่ ฝึกคาถา ไม่หวังก้าวหน้า แค่ไม่ถอยหลังก็พอ เขาทั้งสองคนจึงเริ่มเรียนรู้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่ของสำนักตน ถึงกับได้ผลก้าวหน้า ช่วยเสริมข้อบกพร่องพลังวัตรตนเองในบางส่วน
เดิมบรรดากระบวนวิชาของสำนักบำเพ็ญเซียนใต้หล้าก็หลากหลายอยู่ ไม่มีกระบวนท่าที่หาทางแก้ไม่ได้ แต่ละสำนักก็ล้วนเสริมกันและกัน เช่นว่องไวเสริมเชื่องช้า หนักแน่นมั่นคงเสริมตัวเบาลอยล่อง วิชาตำหนักหลีเจ๋อใส่ใจในบางเรื่องมากกว่าวิชาเกาะฝูอวี้ ทั้งแยบยลและรวดเร็ว หากในกระบวนท่ากลับไม่มีความงามมากนัก เทียบกับความงามของกระบี่หยกประสานเกาะฝูอวี้แล้วก็ดูด้อยความงามลงไปมาก แต่ทว่ากลับขวาซ้ายบนล่างปรับเปลี่ยนว่องไว เคลื่อนไหวแปลกประหลาดทำให้คนไม่อาจเดาทิศทางได้ และก็เป็นสิ่งที่วิชาเกาะฝูอวี้ไม่อาจทำได้เช่นกัน มีหลายกระบวนท่าที่คนทั่วไปไม่อาจทำได้ อาทิหากมิใช่มีวิชาตัวเบาที่เหนือผู้ใดเช่นเจ้าตำหนักใหญ่ ยามออกกระบวนท่าก็ได้แต่เหมือนห่านแก่กระพือปีก งุ่มง่ามยิ่ง
วิชาตัวเบาเสวียนจีนับได้ว่าโดดเด่นกว่าศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยกันในสำนักเส้าหยางมากแล้ว แต่กระบวนท่านางกลับไม่ได้เรื่อง เห็นท่วงท่าอ่อนช้อยของอวี่ซือเฟิ่งที่พลิกตัวโต้กลับแผ่วเบางดงาม แลดูสบายราวกับกินองุ่น แต่พอเป็นนาง ไม่ล้มกลางทางก็ไม่ทันออกกระบวนท่า เมื่อก่อนนางติดตามฉู่อิ่งหงบำเพ็ญเพียรไหนเลยจะเคยเจอสภาพเช่นนี้ ไม่ว่าคาถาหรือกระบวนท่ายากลำบากเพียงใด แต่ไรมาสอนไม่เกินสามรอบเท่านั้นก็เป็น แต่ครั้งนี้กลับต้องมาเสียหน้าต่อหน้าอวี่ซือเฟิ่ง แม้ว่าเขาไม่ใส่ใจ กล่าวเพียงว่ากระบวนท่านี้คนนอกเรียนไม่เป็น แต่เสวียนจีเองไม่คิดเช่นนั้น
นางดื้อดึงขึ้นมา ผู้ใดก็เอานางไม่อยู่ นางจะทุ่มเทกำลังลงไปเต็มที่ ทุกวันตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝน พอฝึกก็ฝึกทั้งวัน แม้แต่ข้าวก็ไม่สนใจจะกิน ท่าทางเหมือนมารแทรกลุ่มหลงหัวปักอยู่สักหน่อย สุดท้ายตอนที่อวี่ซือเฟิ่งใช้วิชากระบี่เหยาหวาสำนักเส้าหยางได้คล่องราวสายน้ำไหล ที่นางฝึกก็พอทนให้ผ่านมาตรฐานไปได้ในที่สุด
“วิชากระบี่นี่ดูอย่างไรก็ต้องเป็นคนมีปีกข้างหลังจึงจะเรียนได้นะนี่”
เสวียนจีทนตรากตรำฝึกมาหลายเดือน สุดท้ายก็ยังคงไม่ได้ผลเท่าไร ได้แต่ละทิ้งพร้อมสีหน้าเศร้าสลดจนแทบจะร้องไห้ ได้แต่คิดว่าตนเองเสียเวลาไปมากมายกลับไม่ได้อะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลย รู้สึกทำใจยอมรับไม่ได้อยู่สักหน่อย
อวี่ซือเฟิ่งเพิ่งฝึกกระบี่เสร็จ หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อไหลรดมาจากเส้นผม ได้ยินนางบ่นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มเดินเข้าไป “เจ้าฝึกได้ถึงขั้นนี้ไม่เลวแล้ว บางคนทั้งชีวิตเรียนแล้วก็ยังไม่เป็น”
เสวียนจีเองก็เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เก็บกระบี่คืนฝักเดินไปนั่งบนก้อนหิน ถอนใจกล่าวว่า “ท่านพ่อเคยบอกว่า วิชาสำนักบำเพ็ญเซียนใต้หล้า บ้างก็เป็นแบบทุกคนเรียนได้ บ้างก็เป็นแบบเฉพาะกลุ่ม ที่เรียกว่าทุกคนเรียนได้ก็พวกวิชาสำนักเส้าหยางเราเช่นนี้ ผู้ใดก็เรียนได้ แต่จะเรียนให้บังเกิดผลแท้จริงก็ต้องลุ่มหลงอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องยากลำบากมาก ข้าคิดว่า วิชาเฉพาะกลุ่มก็คงเป็นวิชาตำหนักหลีเจ๋อของเจ้าแล้ว ช่างเป็นเคล็ดวิชาลับเฉพาะจริงๆ ไม่ใช่ทุกคนเรียนแล้วจะเป็นได้”
อวี่ซือเฟิ่งเอาแต่ยิ้มไม่กล่าวอันใด ทั้งสองเดินเคียงกันไปนั่งลงบนก้อนหิน เสียงลมพัดผ่านผืนป่าทำให้รู้สึกสบายไปทั้งตัว ที่นี่เป็นที่บำเพ็ญเพียรลึกลับที่พวกเขาค้นพบ ยากที่จะมีพื้นที่กว้างขนาดนี้ในป่าเพียงพอให้เปล่งพลังฝึกยุทธ์ได้ ยามนี้เป็นหน้าร้อน อากาศร้อนจัด พระอาทิตย์ราวเปลวเพลิง รอบๆ ถูกแสงอาทิตย์สาดแสงจนขาวโพลนไปหมดจนหายใจแทบไม่ออก ที่นี้ต้นไม้กลับใบเขียวชอุ่ม ร่มรื่นกว่านอกป่ามาก
เสวียนจีเป็นคนค้นพบที่นี่ นางเคยหัวเราะเยาะตนเองว่า ความสามารถที่เก่งที่สุดของนางไม่ใช่อะไร ก็แค่หาที่แอบขี้เกียจเสพสุขได้ดีเท่านั้น ไม่ว่าตกอยู่ในสภาพใด นางก็ล้วนหาที่สบายที่สุดพักผ่อนได้ ตอนนี้ดูท่าวาจานี้ไม่ผิดแต่อย่างใด
เมื่อครู่เสวียนจีฝึกกระบี่เหงื่อออกท่วมทั้งตัว ตอนนี้พอลมพัดมาก็ทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย นางอดเอนตัวลงนอนบนก้อนหินไม่ได้ ราวกับแมวตัวใหญ่หนุนขาของอวี่ซือเฟิ่งเป็นหมอน พลางกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่รู้ตอนนี้พวกพี่หลิ่วเขาทำอะไรอยู่”
อวี่ซือเฟิ่งคิดไปมา ก่อนจะวางท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “น่าจะร่ำสุราอยู่หอคณิกากระมัง”
“เขา…หรือว่าไม่เคยไม่อยู่หอคณิกา?”
“ก็มี น่าจะตอนไปดื่มสุราที่ร้านสุรา”
เสวียนจีเงียบไป ครู่หนึ่งจึงกล่าวอีกว่า “เหตุใดเจ้าไม่เคยบอกข้า เมื่อก่อนพี่หลิ่วเคยมีเรื่องขัดแย้งกับตำหนักหลีเจ๋อ”
อวี่ซือเฟิ่งเงียบอยู่เป็นนาน กล่าวว่า “เรื่องเก่าแล้ว ไยต้องกล่าวถึงอีก จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รู้แน่ชัดนัก ข้ารู้จักเขาตั้งแต่เด็ก ตอนเห็นเขาครั้งแรก เขาอยู่ในคุกใต้ดินตำหนักหลีเจ๋อ ตอนนั้นเขาคิดหาทางหนีจากตำหนักหลีเจ๋อครั้งแรกและถูกจับกลับมาได้”
เสวียนจีถามว่า “เหตุใดเขาต้องหนี” หรือว่าเพราะมีคนที่เขาไม่อาจตัดใจรอเขาอยู่ข้างนอก คิดถึงตรงนี้ ใบหน้านางพลันแดงเรื่อ
อวี่ซือเฟิ่งมองความคิดนางออก จึงกล่าวต่อว่า “เพราะเขาทนกฎตำหนักหลีเจ๋อไม่ไหวกระมัง พี่หลิ่วเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ครั้งแรกที่ข้าเจอเขาก็เพราะเขาล่อข้าด้วยผลไม้ให้มาฟังเขาเล่าเรื่องตลกตลอดบ่ายวันนั้น จากนั้นก็รู้สึกคนผู้นี้ไม่เลว…ให้ความรู้สึกต่างจากพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุง”
เขาราวกับนึกเรื่องน่าสนุกอันใดขึ้นมาได้ ยิ้มกล่าวว่า “จากวันนั้นข้าก็ไปร่อนเร่อยู่แถวคุกใต้ดินเล่นกับเขาทุกวัน ทุกวันเขามักบอกว่า…อืม พูดเรื่องน่าสนใจมากมาย พวกเราก็ค่อยๆ สนิทกันมาเช่นนี้”
จริงๆ แล้วหลิ่วอี้ฮวนตอนนั้นถูกขังในคุกใต้ดิน น่าเบื่อแทบตาย มีเด็กน้อยมาเป็นเพื่อนเล่นตนก็ดีมากที่สุด เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยถือธรรมเนียมจารีตอะไร ไม่เคยแยกแยะชนชั้นอาวุโส ทุกวันเขาล้วนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงให้อวี่ซือเฟิ่งฟัง ล้วนเป็นเรื่องราวเสเพลชายหญิง ไม่สั่งสอนจนอวี่ซือเฟิ่งเสียคนไปก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
“ต่อมาอดีตเจ้าตำหนักจากไป ก่อนจากไปได้สั่งเสียไว้ว่าให้ปล่อยเขาไป ก็นับว่าเป็นการขับออกจากสำนัก วันนั้นข้าไปหาเขา เขาถามข้า จะไปกับเขาไหม ข้า…”
เขาพลันนิ่งอึ้งไป หรี่ตาลงเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ก็มีแค่นี้ เรื่องของเขาข้ารู้แค่นี้”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าตัวเจ้ารับปากไปกับเขาไหม”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เพราะข้าจำไม่ได้แล้ว เรื่องในปีนั้น เกิดอันใดบ้าง ข้าล้วนจำไม่ได้”
ทั้งสองเงียบงัน นั่งพิงก้อนหินอยู่อีกครู่หนึ่ง ฟ้าค่อยๆ มืดลง อวี่ซือเฟิ่งลูบศีรษะนางกล่าวอ่อนโยนว่า “ไปกันเถอะ กลับโรงเตี๊ยมได้แล้ว คืนนี้ที่นี่ยุงเยอะ”
บางครั้งเขามักนึกถึงเรื่องราวที่ขาดๆ ไม่ปะติดปะต่อกันขึ้นมาได้ เป็นความทรงจำที่ขาดหายไปอย่างน่าแปลกพวกนั้น แต่เอามาปะติดปะต่อกันไม่ได้ เขามักจะลืมว่าปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาได้ตอบหลิ่วอี้ฮวนไปหรือไม่ พอไปถามอีกฝ่าย หลิ่วอี้ฮวนก็เอาแต่ยิ้ม ทำเล่นตัวไม่กล่าวอันใด พอถามหนักเข้า ชายหนุ่มก็มักจะตอบเหมือนไม่ตอบแบบเดิมๆ ว่า ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเฟิ่งหวงน้อยยังสนิทกับข้าเหมือนตอนเด็ก เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว!
กินอาหารเย็นเสร็จ เสวียนจีกลับห้องตนเองไปอย่างว่าง่าย จริงๆ แล้ววันแรกๆ นางเอาแต่ไปนอนเกาะแกะเขา แต่ครั้งนี้พูดอย่างไรอวี่ซือเฟิ่งก็ไม่รับปาก ราวกับนางจะเข้าไปนอนเตียงเดียวกับเขาอย่างนั้นแหละ นางกลายเป็นเหมือนสัตว์ป่าน่ากลัวไปเสียอย่างนั้น แต่การฝืนใจคนแต่ไรก็มิใช่วิสัยเสวียนจี รบเร้าอยู่พักหนึ่งเห็นว่าเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ก็ได้แต่กลับไปนอนห้องตัวเองคนเดียวแต่โดยดี นางเสียดายมาก คืนนั้นได้นอนใต้ผ้าห่มเดียวกับเขา รู้สึกอบอุ่นมาก บางทีก็อยากไปนอนทบทวนความจำ เขากลับไม่ยอม นางก็ได้แต่แอบบ่นเขาในใจว่าไร้หัวใจ
เรื่องนี้อวี่ซือเฟิ่งยืนกรานมาก หน้านิ่งปฏิเสธนาง จริงๆ แล้วเขาก็มีความทุกข์ของเขาเอง พวกเขายังไม่มีแม่สื่อไปเจรจากัน บิดามารดาสองฝ่ายก็ยังไม่ได้อนุญาต แม้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนไม่ได้มีธรรมเนียมมากมายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ชายหนุ่มหญิงสาวไม่มีเหตุอันควรมาอยู่ในห้องเดียวกัน ตนเองไม่เป็นไร แต่สำหรับเสวียนจีแล้วไม่ใช่เรื่องดี นับประสาอันใดกับอาการเขาก็ดีขึ้นมากแล้ว ทั้งสองยังเป็นชายหนุ่มหญิงสาวในวัยเยาว์ เกิดอยู่ๆ คุมตนเองไม่อยู่ ตนเองไม่ใช่ว่าทำร้ายนางหรอกหรือ
ภาษิตกล่าวว่า ยามได้ใกล้ชิดคนรักก็มักหวาดกลัวไม่กล้าก้าวต่อ เมื่อก่อนทั้งสองยังไม่เผยความในใจ แค่แอบมีใจให้กัน เขากลับมีความกล้าหาญมากกว่า ตอนนี้ปล่อยวางสิ่งกังวลทั้งหมดลงแล้ว เขากลับไม่กล้าแล้ว ราวกับหากปล่อยตามใจปรารถนาตนเองขึ้นมาก็จะเป็นการเอาเปรียบนาง ยิ่งเข้าใกล้นาง อารมณ์คลั่งไคล้ในความรู้สึกกลับยิ่งต้องเก็บงำ หวาดกลัวจนไม่กล้าก้าวต่อก็คงเป็นเช่นนี้
อวี่ซือเฟิ่งจุดไฟในห้อง คว้าเอาปฏิทินในห่อผ้าออกมาพลิกดู นับดูวันจัดงานชุมนุมปักบุปผา อีกสี่เดือนนี้มีเรื่องที่ทำได้มากมาย เก๋อเอ่อร์มู่เงียบงันไร้การเคลื่อนไหวมาตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเคลื่อนไหวของอูถง สภาพการณ์เช่นนี้ไม่อาจทำให้รู้สึกวางใจได้ หากเขาส่งคนมาก่อกวนไม่หยุดกลับดีกว่า สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเป็นความเงียบสงบก่อนพายุฝนกระหน่ำ
สองวันก่อนได้รับจดหมายจากหลิ่วอี้ฮวน บอกว่าช่วงนี้เรื่องโซ่หมุดทะเลที่เคยมีเรื่องกันใหญ่โตก่อนหน้าเหมือนว่าหายเงียบไปอย่างไร้วี่แวว มารปีศาจทั้งหมดราวกับหายวับไปในวันเดียว เหมือนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวมาทำลายโซ่หมุด
‘ลางไม่ดี’ หลิ่วอี้ฮวนใช้สีแดงชาดเขียนกำกับไว้ให้สะดุดตาตรงท้ายสุด ทำให้เขานิ่งเงียบไปนาน
อูถงเคยบอกว่า เขาเป็นรองเจ้าสำนักฝ่ายขวา เช่นนั้นเหนือเขาขึ้นไปยังมีรองเจ้าสำนักฝ่ายซ้ายและเจ้าสำนักอีกสองคน สถานการณ์ตอนนี้เห็นชัดว่าศัตรูอยู่ที่ลับ ตนเองอยู่ที่แจ้ง พวกเขาเหมือนรู้ความเป็นไปของทั้งสี่สำนัก พวกฉู่เหล่ยกลับไม่รู้ว่าเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักฝ่ายซ้ายคือผู้ใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นสำนักเช่นไร ต้องการอะไร อูถงเห็นชัดว่าไม่สนใจเรื่องโซ่หมุดทะเล เป้าหมายเขาก็น่าจะเป็นการทำลายเส้าหยาง เช่นนั้นเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักฝ่ายซ้ายคิดการใหญ่ใดกันแน่ เรื่องนี้ยังคงถูกเก็บงำเป็นความลับ
เขาขมวดคิ้วนิ่งเงียบ พลันได้ยินเสียงพั่บๆ ดังนอกหน้าต่าง เหมือนเป็นเสียงปีกสัตว์อะไรสักอย่างกระพืออยู่ มองผ่านกระดาษหน้าต่างออกไปเห็นแสงสีแดงกลุ่มก้อนหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งเป็นคนนิสัยรอบคอบ ย่อมดับไฟก่อน ค่อยๆ ย่องไปริมหน้าต่าง ตั้งสติฟังเสียง ยังไม่เปิดหน้าต่าง
ผู้ใดจะรู้ว่าห้องข้างๆ ติดกันกลับมีเสียงเปิดหน้าต่างผลัวะออกไปทันที เป็นเสวียนจี! นางไม่รู้จักระวังตัวเลย! เขากำลังจะส่งเสียงห้ามไว้ ก็พลันได้ยินนางหัวเราะดีใจกล่าวว่า “อา! วิหคเทพหงหล่วนของท่านพ่อ! มาที่นี่ได้อย่างไร” อวี่ซือเฟิ่งผ่อนคลายลง แต่ยังคงระวังตัวอยู่ เป่าปากเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง เรียกเสี่ยวอิ๋นฮวาตื่น จากนั้นผลักหน้าต่างออก ขอเพียงด้านนอกมีสิ่งแปลกประหลาด เสี่ยวอิ๋นฮวาก็จะออกไปจัดการได้ทันท่วงที
หน้าต่างห้องพวกเขาสองคนติดกัน ผลักหน้าต่างออกก็มองเห็นวิหคเทพหงหล่วนสีแดงเจิดจ้ายืนอยู่ เชิดหน้าขึ้น ดูมีสง่าราศี เป็นสัตว์ภูตที่ฉู่เหล่ยเลี้ยงไว้ เสวียนจีมองที่ขาวิหคเทพหงหล่วนมีห่วงเหล็ก ด้านบนมีลวดลายสัญลักษณ์เส้าหยาง ก็รีบดึงออกพลางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมท่านพ่อใช้วิหคเทพหงหล่วนมาส่งข่าวให้พวกเรา สิ้นเปลืองมาก”
วิหคเทพหงหล่วนร้องเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง เสียงราวกับไข่มุกกระทบกัน ไพเราะยิ่ง ตามมาด้วยกระพือปีกบินเข้าห้องอวี่ซือเฟิ่ง ไปหยุดเดินไปมาบนโต๊ะ สุดท้ายก็นิ่งไม่ขยับ เสวียนจี “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง “ทำไมเจ้าเข้าไปในห้องซือเฟิ่งล่ะ! เอ่อ…ซือเฟิ่ง…” อยู่ๆ เสียงนางก็เริ่มน่าสงสาร “เรื่องนี้ต้องมีอะไร ข้า ข้าไปห้องเจ้าชั่วคราวได้ไหม”
ที่แท้ตอนนั้นที่อวี่ซือเฟิ่งปฏิเสธนางน้ำเสียงดุ ทำจนนางคิดไปว่าตนเองทำอะไรผิด ดังนั้นทุกครั้งที่เอ่ยว่าจะเข้าห้องเขาก็ย่อมรู้สึกกลัว
อวี่ซือเฟิ่งเองก็งงไปหมด ไม่เข้าใจฉู่เหล่ยมีเรื่องอะไร จึงตอบไปว่า “เข้ามาสิ”
วาจากล่าวจบ ดรุณีน้อยชุดเขียวตรงข้ามก็ลอดเข้ามาทางหน้าต่างทันที ยิ้มจนตาหยีควักเอากระดาษข้อความนั่นออกมาว่า “มา ดูว่าท่านพ่อมีเรื่องอะไร”