ไม่อ่านยังดี พออ่านก็ทำเอาทั้งสองตกใจ ประโยคแรกของฉู่เหล่ยราวฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ ‘ขับไล่ศิษย์ทรยศจงหมิ่นเหยียนออกจากสำนักเพราะทำความผิดมหันต์ร้ายแรง จากนี้ไปขับออกจากสำนัก ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักเส้าหยางอีก ประกาศให้ทราบทั่วกัน’
เสวียนจีตกใจกล่าวว่า “ท่านพ่อ…ท่านพ่อถึงกับประกาศทั่วหล้า! ขับศิษย์พี่หกออกจากสำนักแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งคว้ากระดาษมาอ่านอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง สีหน้าในยามนั้นซีดขาว กล่าวเบาๆ ว่า “เขา…สังหารเฉินหมิ่นเจวี๋ย! ยังเอาศพไปโยนหน้าประตูทางเข้าสำนักเส้าหยาง! ทุกคนล้วนเห็นกับตา!”
เสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ทั้งสองตะลึงจ้องมองกันเป็นนาน นางพลันกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่เชื่อ! ศิษย์พี่หกไม่ทำเรื่องเช่นนี้แน่! เขา…เขาแต่เล็กก็เป็นคนปากร้ายใจดี…เขาต้องไม่สังหารศิษย์พี่รองแน่!”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ท่านพ่อเจ้าโมโหเรื่องนี้มาก จึงได้ออกคำสั่งจับตัวเขามาลงโทษ สั่งว่าหากพวกเราเจอเขา…ไม่อนุญาตให้ออมมือ ยังบอกว่าครั้งนี้เป็นอุบายมารปีศาจพวกนั้น พวกเราอยู่ข้างนอกต้องระวังให้มาก ดังนั้นจึงส่งวิหคเทพหงหล่วนออกตามหาพวกเรา ให้อยู่ช่วยพวกเราต่อ”
เขาดูวันเวลาที่ลงไว้ในแผ่นกระดาษ ราวครึ่งเดือนก่อน ฉู่เหล่ยไม่แน่ใจว่าพวกเขายังอยู่เก๋อเอ่อร์มู่หรือไม่ จึงให้วิหคเทพหงหล่วนออกตามหา เสียเวลาไปมาก
เสวียนจีกำชายเสื้อแน่น สีหน้าซีดเผือด เป็นนานจึงกล่าวคำเดิมว่า “ข้าไม่เชื่อ!”
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ พับกระดาษนั่นวางลงบนโต๊ะ เอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเองก็ไม่เชื่อ ตอนนี้ข้าอยากไปเขาปู้โจวซานหาหมิ่นเหยียนมาถามให้เข้าใจ!”
เสวียนจีรีบลุกขึ้นกล่าวว่า “เช่นนั้น พวกเราตอนนี้…” พลันคิดได้ นั่งกลับลงที่เดิมส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ ไม่ไป”
นางคว้าแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อาการเจ้ายังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ ข้าไม่อาจตกในอันตรายใด นับประสาอันใดกับความสามารถพวกเราสองคน บุกเข้าไปมีแต่รนหาที่ตายสถานเดียว”
อวี่ซือเฟิ่งคิดไม่ถึงนางก็มีเวลาคิดอย่างมีสติกับเขาด้วย อดตะลึงไม่ได้ มือเสวียนจีกำแน่นขึ้นอีก ราวกับพยายามระงับความหวาดกลัวในใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เริ่มสงบลง กล่าวว่า “พวกเรายังไม่แข็งแกร่ง ยังไม่อาจไปช่วยพวกเขากลับมาได้โดยไม่บาดเจ็บ ต้องมีสักวัน…ต้องมีสักวัน…”
เห็นชัดว่าในใจนางพลุ่งพล่านมาก ริมฝีปากซีดขาวสั่นระริก น้ำตาคลอเบ้า นางพยายามฝืนกลั้นไว้อย่างเต็มที่ “แค้นของศิษย์พี่รอง แค้นของศิษย์พี่หก แค้นของหลิงหลง…ข้าต้องไปเอาคืนกับอูถงแน่!”
อวี่ซือเฟิ่งยกมือโอบบ่านาง รั้งศีรษะนางเข้าสู่อ้อมกอด กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็แสดงว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ความแค้นพวกนี้ข้าจะร่วมแก้แค้นกับเจ้าเอง สองคนดีกว่าคนเดียว”
นางพยักหน้าเงียบๆ ผมยาวอ่อนนุ่มของนางแนบลำคอเขา ทำเอาทั้งคันและจักจี้ ในใจเขาร้อนผ่าว แต่อย่างไรก็ไม่มีแก่ใจมาคิดเรื่องพวกนี้ ได้แต่ถอนหายใจกล่าวว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ ไปเมืองชิ่งหยาง ดูพี่หลิ่วอยู่ที่นั่นไหม”
เสวียนจีพยักหน้าไม่กล่าวอันใด
อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่บรรยากาศค่อยๆ เก้กังขึ้น แม้ทั้งสองต่างอารมณ์คุกรุ่นด้วยเรื่องจงหมิ่นเหยียน แต่อย่างไรก็เป็นค่ำคืนดึกดื่น นางเป็นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวมาอยู่ที่นี่ ยังขดตัวอยู่ในอ้อมกอดตนเอง อย่างไรก็ไม่ดีนัก วิหคเทพหงหล่วนบนโต๊ะผงกหัวขึ้นมองเขาสองคนก่อนส่งเสียงร้องเบาๆ ซุกศีรษะเข้าใต้ปีกนอนต่อ ดูท่ามันคงเหมือนกับเสวียนจี ชอบห้องอวี่ซือเฟิ่งมากเหมือนกัน
“เสวียนจี…ดึกมากแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเรายังต้องเร่งออกเดินทางอีก” เขากล่าวอ่อนโยนพลางลูบผมนาง
นางรับคำเบาๆ “อืม” ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้ายังเปียกชื้น หยาดน้ำตายังคงเปื้อนอยู่ข้างแก้ม แลดูเศร้าหมอง มองดูแล้วน่าสงสารยิ่ง เขายกมือขึ้นเช็ดอย่างไม่ทันได้คิดอันใด ผู้ใดจะรู้ว่ายิ่งเช็ดยิ่งมาก น้ำตานางทะลักออกมาร่วงลงบนฝ่ามือเขา ร้อนผ่าว
“เสวียนจี” น้ำเสียงเขาฟังแล้วเหมือนเสียงทอดถอนใจ
นางส่ายหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสงสารว่า “ซือเฟิ่ง…ข้าไม่อยากกลับ ข้าทุกข์ใจ…เจ้า…เจ้าพูดคุยเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “พูดอะไร”
นางพูดไม่ออก ครู่หนึ่งก็ผลักมือเขาออก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ารังเกียจข้าหรือ ข้าทำให้เจ้ารู้สึกรำคาญใจหรือ”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งตกใจ ร้อนใจกล่าวว่า “เปล่า! ทำไมเจ้า…”
นางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าเริ่มรำคาญข้าขึ้นทุกวัน เมื่อก่อนเจ้าไม่เป็นเช่นนี้…หรือว่า ข้าทำผิดอะไรอีก ข้ามันโง่เง่า มักจะทำผิด และตนเองก็ไม่เข้าใจว่าผิดตรงไหน…เจ้ารู้สึกรำคาญก็ไม่แปลก บางครั้งข้าเองก็ยังรำคาญตัวเอง…”
“เสวียนจี” เขาเสียงดังขึ้น
นางตะลึงอึ้งไป กะพริบตาปริบ น้ำตาร่วงหล่นลงบนหลังมือเขา
“หากเจ้ารู้สึก…อยู่กับข้าแล้วไม่เบิกบานใจ เจ้า เจ้าก็กลับ…”
“กลับไปไหน” เสียงเขาพลันดังขึ้นจนเสวียนจีตกใจเงยหน้ามองเขา รู้สึกเพียงแค่สีหน้าเขาซีดเผือด สองตาลึกล้ำยากหยั่งจ้องมองตน ถามเสียงเข้มว่า “เจ้าคิดบอกว่า ให้ข้ากลับตำหนักหลีเจ๋อ?”
เสวียนจีพลันสะดุ้งกระโดดขึ้นกอดคอเขาไว้ ร้องไห้กล่าวว่า “เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าไม่ดี! เหตุใดทุกครั้งล้วนพูดเหมือว่าความผิดข้า? ซือเฟิ่ง! ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าไปนะ! เจ้า…เจ้าอย่าทำอย่างนี้ได้ไหม?!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่ทันตั้งตัวที่อยู่ๆ นางก็ไม่อาจรั้งอารมณ์ตนเองได้ พอถูกนางกอดเต็มแรงเช่นนี้ ในยามนั้นได้แต่สะอึกถอยหลัง ทั้งสองล้มลงบนพื้นไปพร้อมกัน เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่เจ็บแขนแต่กลับลืมร้องไห้ ได้แต่กัดฟันกอดคอเขาไว้แน่น
“อย่าขยับ ข้าดูหน่อย” อวี่ซือเฟิ่งนอนอยู่กับพื้น ดึงแขนนางมาเลิกแขนเสื้อขึ้น ดังคาด ข้อศอกถูกครูดเป็นแผลห้อเลือด เขารีบควักยาสมานแผลจากถุงหนังที่เอวออกมาค่อยๆ ทาลงไปอย่างทะนุถนอม สุดท้ายยังพันแผลให้อีกชั้น
ยามนี้เสวียนจีไม่สนใจจะร้องไห้แล้ว ขนตากระเพื่อมไหวรับรู้ถึงความทะนุถนอม พลันรู้สึกว่าเขาก้มหน้าลงมาบรรจงจูบข้อมือนางเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ไล่ขึ้นไปช้าๆ สุดท้ายจูบข้อศอกนางในส่วนผิวหนังที่ไวต่อความรู้สึกที่สุด นางอดไม่ได้ “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง สีหน้าแดงก่ำ จะชักมือหนี แต่กลับชักไม่ออก ราวกับบาดแผลบนแขนไม่เจ็บเท่าไรแล้ว
“เสวียนจี” เขาเรียกนาง พลันยิ้มเล็กน้อย กระดิกนิ้วเรียกนาง “มานี่ ข้ามีอะไรบอก”
นางลังเลครู่หนึ่ง ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ก็กลัวขึ้นมา หน้าแดงส่ายหน้า ยันกายขึ้นคิดลุกขึ้นยืน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาดึงแขนนาง นางล้มกลับมาที่เดิม กระแทกตัวเขา ทั้งสองล้มทับกัน
“บาดแผล! บาดแผล!” นางร้องดังยันตัวขึ้นเพราะกลัวจะทับหน้าอกเขา ท้ายทอยพลันถูกเขากดไว้ด้วยแรงดึงกลับลงไปดังเดิม แก้มร้อนผ่าว เขาแนบแก้มเข้ามา แก้มทั้งสองแนบชิดติดกัน เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ในอกเหมือนมีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งกระโดดเร็วมาก อดเรียกเขาเบาๆ ไม่ได้ “ซือเฟิ่ง…”
เขารั้งท้ายทอยนางไว้ พึมพำกล่าวว่า “อย่าเพิ่งพูด เช่นนี้ก็ดี…”
เสวียนจีราวกับตัวแข็งทื่อ แนบแก้มกับเขาอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้าหายใจแรง ในใจรู้สึกเพียงแค่ท่าเช่นนี้ของนางและเขาแปลกมาก มีเตียงไม่นอนจะนอนพื้น เหมือนกำลังเล่นต่อตัว แต่ไม่รู้ทำไม นางเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไม่อาจหายใจได้ เหมือนมีตะขอน้อยๆ ค่อย ๆ เกี่ยวนางไม่หยุด เตือนนางบางอย่างที่นางเองก็บอกไม่ถูก
เป็นนาน อวี่ซือเฟิ่งอยู่ๆ ก็หัวเราะเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเราสองคน บางครั้งก็เหมือนคนโง่จริงๆ”
เสวียนจีหันหน้ามา ริมฝีปากไม่ทันระวังแตะผ่านแก้มเขา แก้มแดงพลันรีบกล่าวว่า “ข้า…ข้า…”
เขาผินหน้ามาบรรจงจุมพิตแก้มนาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าย่อมไม่รู้สึกรำคาญเจ้าตลอดไป เสวียนจี ข้ามันโง่เง่าเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
นางมองเขาอย่างหวาดๆ รากวับเด็กน้อยที่โดนรังแก อวี่ซือเฟิ่งเลิกคิ้วยิ้มกล่าวว่า “ยามนี้ทำเช่นนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร พวกเราขึ้นเตียงกันดีกว่า นอนคุยกัน ดีไหม”
เขาคว้าเอวอุ้มนางขึ้น ลุกขึ้นเดินไปข้างเตียงเลิกผ้าห่มออก วางนางลงเบาๆ เสวียนจีพลันแก้มแดงระเรื่อ ความรู้สึกประหลาดหนึ่งจู่โจมจิตใจจึงรีบผุดลุกขึ้นนั่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ ไม่…แล้วไปเถอะ ข้ากลับห้องนอน”
เขาไม่รั้งไว้ เพียงยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องให้ข้าคุยเป็นเพื่อน?”
นางลนลานส่ายหน้า “ไม่ ไม่…ข้ารู้สึก…เช่นนี้ราวกับไม่ค่อยดีนัก…แม้ว่า…ไม่รู้เหตุใด…อย่างไรก็กลับดีกว่า”
นางลุกขึ้นจะออกไป ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับรั้งเอวนางไว้ จับนางพลิกกลับ นางกลับมานอนแผ่อยู่บนเตียงใหม่ เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ในใจเต้นแรง ปลายลิ้นชาจนไม่อาจกล่าววาจา อึ้งมองดวงตาดำขลับของเขา พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เขาพลันก้มหน้าลงมา เสวียนจีรีบเอียงหน้าหนี รู้สึกร้อนผ่าวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า รู้สึกเพียงแค่เขาแนบชิดใบหูนาง กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าไร้การระวังตัวเช่นนี้อีก ข้าไม่ใช่นักบวช”
นางหลับปี๋ ไม่รู้กลัวอะไร แต่ก็เหมือนรอคอย รออยู่เป็นนาน ร่างกายพลันรู้สึกเบาหวิว ข้างหูมีเสียงสวบสาบดังขึ้น นางรีบลืมตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าผ่อนคลายของเขา ถอดเสื้อตัวนอกออกสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม จากนั้นก็ตบหมอนข้างกาย ยิ้มกล่าวว่า “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ไม่มีครั้งหน้าอีก มานี่มา ข้าคุยเป็นเพื่อนเจ้า”
ในใจเสวียนจีทั้งอึงอลและเคร่งเครียด แอบผิดหวังอยู่บ้าง นิ่งอึ้งไปเป็นนาน ในที่สุดก็ตะกายขึ้นไปบนตัวเขาราวกับแมวตัวใหญ่ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าพูดไม่ผิด พวกเราสองคนบางครั้งก็โง่เง่าจริงๆ แต่ที่โง่เง่าที่สุดยังคงเป็นข้า”
เขาหัวเราะเบาๆ หน้าอกกระเพื่อมไหว เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ทั้งแช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่นสบายอย่างที่สุด เล่นนิ้วเขาด้วยท่าทางขี้เกียจ เสี่ยวอิ๋นฮวาเหมือนเมื่อครู่ถูกเขาสองคนที่ ‘ดึงดันโรมรัน’ กันทำตกใจ ค่อยๆ มุดออกมาจากแขนเสื้อเขาอย่างสงสัย ลิ้นเย็นเยียบราวน้ำแข็งเลียฝ่ามือเสวียนจีราวกับกำลังถาม
เสวียนจีมองเห็นมัน สมองพลันสว่างวาบ ร้องว่า “ซือเฟิ่ง! ข้าเลี้ยงสัตว์ภูตสักตัว ดีไหม”
ที่แท้นางมองว่าผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนมีสัตว์ภูต ยามคับขันก็ให้ออกมาช่วยงานได้มาก ตนเองไม่สู้เลี้ยงสักตัว ก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก
นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว กล่าวเหมือนเริ่มนับของมีค่าในบ้านว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นวิชากระบี่เหยาหวาแล้ว วิชาหยางเชวี่ยกงก็เริ่มได้ ข้าล่ะ ยังไม่ได้เชี่ยวชาญวิชากระบี่ตำหนักหลีเจ๋อเจ้าเลย วันหน้าไปเขาปู้โจวซานช่วยคน ครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ภูตสักตัว ดีที่สุดก็เอาที่บินได้ หรือไม่ก็เคลื่อนไหวว่องไว มีมันคอยช่วย วิชากระบี่นั่นอาจจะมีอานุภาพยิ่งกว่าตอนนี้มาก”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เลี้ยงสัตว์ภูตไม่ใช่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง แค่ครึ่งปีจะเห็นผลได้อย่างไร นอกจากจับมารปีศาจที่ร้ายกาจได้ หากเลี้ยงแต่เล็กเหมือนเสี่ยวอิ๋นฮวาเช่นนี้ ต้องใช้เวลาสิบกว่าปีเลยทีเดียว ช่วยอะไรไม่ได้เท่าไร”
“อย่างนั้น พวกเราก็ไปจับมารปีศาจที่ร้ายกาจ”
เสวียนจีมองมือตนเอง พลันถอนหายใจกล่าวเบาๆ ว่า “หากข้ารวบรวมอัคคีสมาธิจิตมาใช้ได้ตลอดเวลาเหมือนที่เขาปู้โจวซานกับที่ตำหนักหลีเจ๋อ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวแล้ว แต่คาถานี้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่อาจพึ่งพาได้”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็อย่าได้พึ่งพา ตั้งใจฝึกฝนพลังจริงๆ ดีกว่า ส่วนเรื่องสัตว์ภูต วันหน้าไว้มีโอกาสวาสนาพานพบ ก็ใช่ว่าจะหาที่ดีไม่ได้”
เสวียนจีพยักหน้า รู้สึกเพียงแค่หนังตาหนักอึ้ง ความง่วงเริ่มจู่โจม นางหาวหวอดสอดตัวเข้าในผ้าห่มพิงไหล่เขา ถูไถใบหน้าสองทีก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง…ไว้ตอนกลับไปร่วมงานชุมนุมปักบุปผา พวกเราไปขอร้องท่านพ่อกัน ดีไหม”
อวี่ซือเฟิ่งตะลึงงันเล็กน้อย เข้าใจว่าเรื่องจงหมิ่นเหยียนทำให้นางคิดไม่ตก เขายิ้ม พยักหน้ากล่าวว่า “ได้ ท่านพ่อเจ้าอาจกำลังโมโห ก็เหมือนครั้งก่อนที่แท่นบูชาเทพ…ข้าคิดว่าไม่ใช่หมิ่นเหยียนลงมือสังหารศิษย์พี่รองเจ้า เขาไม่ใช่คนเช่นนั้น เรื่องนี้ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดหรืออุบายชั่ว”
เสวียนจีก้มหน้ารับคำขึ้นเสียงหนึ่ง ลมหายใจติดขัด ราวกับตกในห้วงฝัน อวี่ซือเฟิ่งกระชับผ้าห่มให้นางกำลังจะดับเทียนที่หัวเตียง พลันได้ยินนางเรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “ศิษย์พี่รอง…กระบอกหมื่นบุปผา…ท่าน ท่าน อย่าไป…” คิดว่านางฝันถึงภาพตอนเด็กในสำนักเส้าหยาง เฉินหมิ่นเจวี๋ยมาเยี่ยมนางหลังนางถูกอูถงแทงบาดเจ็บ กลัวนางเบื่อ จึงได้มอบกระบอกหมื่นบุปผาให้นางเล่นโดยเฉพาะ ต่อมาก็ไม่ได้มาทวงคืน เป็นของเล่นนางยามว่างบนยอดเขาเสี่ยวหยาง
“เสวียนจี?” อวี่ซือเฟิ่งเรียกนางพลางก้มหน้าลงมอง เห็นนางสองคิ้วขมวดขึ้ง หางตามีหยาดน้ำตาราวกับกำลังฝัน พึมพำกล่าวว่า “กระบอกหมื่นบุปผา …ศิษย์พี่รอง…ขอโทษ…”
เขาถอนหายใจ คิดถึงเรื่องที่พลิกผันในหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ในใจก็มีความหนาวเหน็บผุดขึ้นสายหนึ่ง ไม่อาจนอนหลับลง