วันรุ่งขึ้น ทั้งสองก็ออกจากเก๋อเอ่อร์มู่ เหินกระบี่ตรงไปยังเมืองชิ่งหยางหาหลิ่วอี้ฮวน เดิมอวี่ซือเฟิ่งคาดว่าตามนิสัยหลิ่วอี้ฮวนย่อมไปอยู่ที่ร้านเริงรมย์ในเมืองชิ่งหยาง ผู้ใดจะรู้ว่าครั้งนี้เขาเดาผิด หลิ่วอี้ฮวนไม่ได้อยู่เมืองชิ่งหยาง ถามนางคณิกาในหอคณิกา กล่าวว่าไม่เห็นเขามาหลายเดือนแล้ว พวกเขาคว้าน้ำเหลว พลันไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไป
“หรือว่ากลับสำนักเส้าหยางก่อน? ข้าอยากเจอหลิงหลง” ออกจากประตูหอเจียวหง เสวียนจีก็เสนอทันที
อวี่ซือเฟิ่งคิดวิเคราะห์ในใจ อีกสี่เดือนถึงจะเป็นงานชุมนุมปักบุปผา ตอนนี้กลับสำนักเส้าหยางเหมือนเร็วไป นับประสาอันใดกับทุกคนในเส้าหยางตอนนี้ต้องตำหนิโกรธแค้นจงหมิ่นเหยียนมากแน่ ตามนิสัยเสวียนจี หากได้ฟังคำพูดพวกนั้นต้องอึดอัดแน่ ถึงตอนนั้นสองฝ่ายคงมีเรื่องให้ไม่สบายใจ
“เจ้าคิดหาสัตว์ภูตไม่ใช่หรือ” เขายิ้มกล่าวขึ้น “ข้ารู้มาว่าที่เขาลูกหนึ่งทางตะวันตก ชื่อว่าเขาว่านโซ่วซาน ในเขานั้นมีมารปีศาจมากมาย พวกเราไม่สู้ลองไปหาดูที่นั่น เลือกดูสักตัว”
สองตาเสวียนจีส่องประกาย “ดีสิ…แต่ เจ้าไม่ได้บอกว่าเลือกสัตว์ภูตไม่อาจรีบไม่ใช่หรือ”
อวี่ซือเฟิ่งกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ไม่อาจรีบ แต่ไปดูหน่อยก็ดี หากมีวาสนา แค่หันศีรษะมาก็อาจจะพบสัตว์ภูตที่เป็นของตนเองได้”
เสวียนจีตกใจ ที่แท้นางฟังคำว่า ‘หันศีรษะ’ เป็น ‘หั่นศีรษะ’ รีบคิดทันทีว่าหั่นศีรษะแล้วจึงจะได้มาเป็นสัตว์ภูต หรือว่าต้องละทิ้งศีรษะไปชั่วคราว ในเมื่อต้องตัดศีรษะ แล้วเหตุใดพวกท่านพ่อกับซือเฟิ่งที่เลี้ยงสัตว์ภูต ศีรษะจึงยังอยู่บนคอได้ล่ะ น่าประหลาดจริง…
“มัวเหม่อลอยอันใด ไปกันเถอะ” อวี่ซือเฟิ่งเรียกนาง
เสวียนจีไล่ตามไป กล่าวอย่างไม่ทันหายใจว่า “ไปตอนนี้เลยหรือ ไม่หาร้านอาหารกินข้าวก่อนหรือ”
กินข้าวเสร็จ ตอนทั้งสองเหินกระบี่ไปยังเขาว่านโซ่วซาน เสวียนจีพลันรู้สึกทิวทัศน์เบื้องล่างคุ้นเคยมาก คิดอยู่เป็นนาน อยู่ๆ ร้องขึ้นว่า “อา! เขาลู่ไถซาน! ซือเฟิ่ง เจ้ายังจำได้ไหม พวกเราเคยมาที่นี่!”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า ทั้งสองคิดถึงเมื่อสี่ปีก่อนมาจับปีศาจกับบรรดาผู้ใหญ่ ตอนนั้นพวกเขาสองคนพบกันครั้งแรกก็มีความประทับใจแสนย่ำแย่ อวี่ซือเฟิ่งยังว่านางว่าหญิงชั่วร้าย ตอนพบกันไม่ได้มีสีหน้าที่ดีต่อกันนัก ไม่รู้เริ่มจากตอนไหนที่เขายิ่งนับวันยิ่งไม่คิดจากนางไป เรื่องความรู้สึกพวกนี้แต่ไรมาก็มหัศจรรย์ยิ่ง ตอนนั้นเขาอายุแค่สิบสาม บางทีก็อาจคิดไม่ออกว่าเด็กหญิงที่ลงมือทีก็แทบบีบเสี่ยวอิ๋นฮวาตาย ยังลบหลู่หน้ากากตำหนักหลีเจ๋อ หญิงชั่วร้ายที่ตนเองเคยก่นด่าอัดอั้นในใจ สุดท้ายกลายมาเป็นหญิงสาวที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตตนเสียอีก
“เจ้ายิ้มแปลกๆ” เสวียนจีมองเขาที่พยายามกลั้นยิ้ม ทำเอารู้สึกแปลกใจมาก
อวี่ซือเฟิ่งขยี้ใบหน้า พาตัวเองกลับจากภวังค์แห่งความทรงจำ อยู่ๆ กล่าวว่า “พวกเราไปดูที่หมู่บ้านลู่ไถกัน! ไป! ไปดื่มกั่วจื่อหวง!”
กล่าวจบตนเองก็เร่งลดระดับลงจากก้อนเมฆ เสวียนจีรรีบไล่ตามไป รู้สึกว่าวันนี้เขาแปลกอยู่สักหน่อย พูดไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน
หมู่บ้านลู่ไถยังเหมือนเมื่อสี่ปีก่อน วิถีหมู่บ้านเรียบง่าย คนมุงตามท้องถนนดูคณะเร่ขายศิลปะการต่อสู้และการละเล่นต่างๆ แม้ว่าความรุ่งเรืองสู้เมืองใหญ่เช่นเมืองชิ่งหยางไม่ได้ แต่ก็เป็นบรรยากาศที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ เสวียนจีเดินตามหลังอวี่ซือเฟิ่งหน้าตาเบิกบานท่ามกลางผู้คนมากมายขวักไขว่ พักหนึ่งก็ซื้อขนมแป้งนึ่ง พักหนึ่งก็ซื้อน้ำตาลปั้น พักหนึ่งก็ซื้อหมั่นโถวไส้เนื้อ เดินไปจนถึงหน้าประตูที่ทำการศาล ทั้งสองหยุดฝีเท้าลงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย คิดถึงอ่างแก้วที่วางอยู่ที่นี่ในตอนนั้น พวกเขาช่วยถิงหนูที่นี่
เสวียนจีหัวเราะไปกินไปกล่าวว่า “ข้ายังจำตอนนั้นได้ เจ้ากับศิษย์พี่หกดูเคร่งเครียดจนเดินเกร็ง ราวกับทำเรื่องชั่วร้ายครั้งแรก”
อวี่ซือเฟิ่งหน้าแดง ส่งเสียงฮึขึ้นเสียงหนึ่ง “อย่าพูดเหลวไหล! สุดท้าย…ก็พึ่งข้า”
เขาเหมือนกับหนุ่มน้อยตอนนั้น ชอบแย่งความดีความชอบไว้เอง เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ไม่มีข้ากับศิษย์พี่หก เจ้าคนเดียวช่วยถิงหนูออกไปไม่ได้หรอก ขี้โม้!”
อวี่ซือเฟิ่งคว้ามือนางมากุมเดินผ่านที่ทำการศาล คิดถึงภาพยามบ่ายแสนงดงาม เด็กสามคนทำตัวเป็นวีรบุรุษ ช่วยชีวิตเงือกที่ตกที่นั่งลำบากตัวหนึ่งไว้ แล้วไปนั่งคุยเล่นกันที่ริมทะเลสาบ พวกเขาเคยกล่าวว่าจะเป็นพี่น้องที่ดี เป็นสหายที่ดีต่อกันไปชั่วชีวิต ไม่ว่าต้องเจอกันเรื่องอะไรก็จะไม่แยกจากกัน ไม่ทำร้ายกัน ตอนนั้นมีความสุขเพียงใด ไม่รู้จักความทุกข์ คิดแต่จะเป็นผู้ใหญ่ แต่หากรู้ว่าพอเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องพบเจอเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เช่นนี้ พวกเขาจะยังคิดเป็นผู้ใหญ่อีกไหม
เขาก้มหน้ามองมือตนที่จูงมือกับเสวียนจี ยังเคยมีมืออีกสองมือวางทาบอยู่ด้านบน เด็กน้อยสี่คนแย้มยิ้มราวกับเด็กโง่ มาถึงตอนนี้ สองคนนั้น หนึ่งเป็นตายไม่รู้ อีกหนึ่งจากไปแล้ว โลกมักเปลี่ยนแปลงยากคาดเดาเช่นนี้ มักจะไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการ เหลือเพียงพวกเขาสองคน ยังรั้งความสุขในวัยเด็กไว้ได้อีกหรือไม่
“ซือเฟิ่ง ถึงแล้ว” คำพูดเสวียนจีดึงเขากลับคืนสู่โลกปัจจุบัน เงยหน้ามอง ดังคาด เป็นร้านอาหารที่ครั้งก่อนพวกเขาเคยมา กลิ่นหอมกั่วจื่อหวงอบอวลไปทั่วถนนทั้งเส้น แค่ดมก็แทบเมามายแล้ว
ทั้งสองสั่งกั่วจื่อหวงหนึ่งไหกับกับแกล้มอีกสองอย่าง นั่งคุยอยู่ริมหน้าต่าง เสี่ยวอิ๋นฮวาในแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งได้กลิ่นสุราก็เริ่มเคลื่อนไหวยื่นหัวออกมาแตะๆ จอกสุราราวกับอยากลอง เสวียนจียิ้มเอาตะเกียบแตะสุรานิดหน่อยก่อนจะส่งไปตรงหน้ามัน มักฉกให้ทีหนึ่ง นางรีบปล่อยมือ ยิ้มกล่าวว่า “โอย คงไม่คิดกลืนตะเกียบไปทั้งหมดหรอกนะ?”
อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ชักตะเกียบออก ลูบหัวเสี่ยวอิ๋นฮวา กล่าวว่า “ของนี่ไม่ดีกับเจ้า อย่าคิดอยาก”
เสี่ยวอิ๋นฮวาได้แต่ลิ้มลองกั่วจื่อหวงไปแค่หยดหนึ่ง รู้สึกไม่พอใจมาก ส่งเสียงฟ่อๆ ท่าทางน่ารักมาก เสวียนจียกมือไปหยอกมันเล่น พลางถาม “ซือเฟิ่ง เจ้าหาเสี่ยวอิ๋นฮวามาเป็นสัตว์ภูตได้อย่างไร”
“จริงๆ แล้ว เดิมไม่อยากได้มัน” อวี่ซือเฟิ่งแตะเสี่ยวอิ๋นฮวา มันไม่ยอมมุดกลับเข้าในแขนเสื้อ หากขดตัวเป็นก้อนกลม “เดิมข้าอยากได้ปีศาจงูที่ดุร้ายกว่านี้ แต่เพราะมันแรงเยอะไป ข้าสยบมันไม่ได้ ดังนั้นอาจารย์จึงช่วยจับมันมาให้เป็นสัตว์ภูตของข้า ปรากฏปีศาจงูนั่นเหมือนรู้เรื่อง พอพ่ายแพ้แล้วก็ไม่กินไม่ดื่ม ไม่ถึงสองสามวันก็ตาย ข้าเห็นมันทิ้งไข่ไว้ฟองหนึ่ง ก็เลยเก็บมา ก็คือเสี่ยวอิ๋นฮวา”
เสวียนจีสองตาส่องประกาย กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เสี่ยวอิ๋นฮวาวันหน้าก็จะกลายเป็นปีศาจงูที่ร้ายกาจ…ไม่สิ สัตว์ภูต?”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มพยักหน้า “ตอนนี้มันยังเป็นเด็ก อีกหลายปีจึงจะกลายเป็นสัตว์ภูตเต็มภาคภูมิ” เสี่ยวอิ๋นฮวามุดกลับเข้าแขนเสื้อเขา เห็นชัดว่าไม่พอใจคำพูดเขา ความหมายคือตอนนี้มันไม่เต็มภาคภูมิ เขาลูบปลอบใจมันเบาๆ กล่าวอ่อนโยนว่า “แต่เจ้าเด็กน้อยนี่ตอนนี้ก็เก่งมากแล้ว วันหน้าต้องเป็นสัตว์ภูตที่ดีที่สุดแน่นอน”
เสี่ยวอิ๋นฮวาสงบลง พึงใจกับการลูบปลอบใจของเจ้านาย เสวียนจีมองเจ้านายกับสัตว์ภูตปฏิสัมพันธ์กันอย่างอิจฉา หวังว่าตนเองจะรีบมีสัตว์ภูตเหมือนเสี่ยวอิ๋นฮวาที่มีความผูกพันกันลึกซึ้งกับซือเฟิ่งเช่นนี้สักตัว
ทั้งสองดื่มสุราไปคุยไป ไม่รู้ตัวก็ดื่มกั่วจื่อหวงไปครึ่งค่อนไห กำลังคุยเรื่องสนุกตอนเด็กกันอยู่ พลันได้ยินชั้นล่างมีเสียงเคาะไม้กรับ ทั้งสองอึ้งไป มองไปตามเสียงที่คุ้นเคย ครั้งก่อนตอนศาลจับตัวถิงหนูมาให้ชาวบ้านดู ก็มีเสียงเคาะไม้กรับรัวๆ เช่นนี้
ทั้งสองคนยื่นหัวออกไปดู หน้าที่ทำการศาลมีคนมุงกันเต็มไปหมด ที่แท้ติดประกาศใหม่ บนกระดาษสีแดงสดไม่รู้เขียนอะไร คนมุงพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ละคนถอนใจกล่าวว่า “สองปีมานี้น้ำท่าไม่ดี ภัยร้ายไม่หยุดหย่อน ปีศาจกินคนนั้นเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่ปี ก็มีไฟประหลาด…”
ทั้งสองสบตากัน รีบโดดลงจากหน้าต่าง เสวียนจีลูบถุงเงิน สีหน้าอึ้งไป เหลือแค่ไม่กี่เหรียญทองแดง นางหันกลับไปมองร้านสุราอย่างรู้สึกผิด กล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้าชักดาบค่าสุรา”
อวี่ซือเฟิ่งล้วงอกเสื้อทันที ถุงเงินว่างเปล่า เขาสองคนสบตากันเก้อเขินครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจดื่มฟรี แอบหนีไปทันที
ประกาศนั่นไม่ใช่เรื่องของหมู่บ้านลู่ไถ แต่เป็นไฟประหลาดในหมู่บ้านผิงเหลียงติดกัน คืนเดียวที่นาของบ้านตระกูลจวงที่อยู่นอกเมืองออกไปสิบลี้ถูกเผาจนไหม้ดำเป็นตอตะโกกลายเป็นที่รกร้างไปหมด ถูกเผาไปหมดทั้งบ้าน ไม่เหลือคนรอดชีวิตสักคน ทางการตรวจสอบก็ไม่พบสาเหตุ ได้แต่ออกประกาศออกหาผู้มีความสามารถมาช่วย
เสวียนจีเห็นว่ามีรางวัลนำจับหกร้อยตำลึง ยามนั้นสองตาส่องประกาย แต่ไรมานางเป็นคุณหนูจนชิน ไม่เคยลิ้มรสขมขื่นที่ในถุงเงินไม่มีเงิน ตอนนี้ถุงเงินของทั้งสองล้วนว่างเปล่า อย่าว่าแต่กินข้าว แม้แต่โรงเตี๊ยมก็ไม่มีเงินอยู่ นางไม่ชอบนอนกลางดิน ปกติจะหาโรงเตี๊ยมก็ต้องเลือกที่สะอาดและสบายที่สุด ไม่มีเงินย่อมยากทำได้
นางฉีกประกาศออก คนรอบๆ เห็นนางเป็นแม่นางน้อยท่าทางอรชร แต่ความกล้าไม่น้อย พากันเอ่ยชม อวี่ซือเฟิ่งอ่านใจนางออกนานแล้ว แม้รู้สึกว่ายังไม่รู้ความแน่ชัด นางฉีกประกาศเช่นนี้นับว่าวู่วามไปสักหน่อย แต่ก็ตามใจนาง เสวียนจีมีวิชาเสกไฟที่ร้ายกาจ เจอกับเรื่องไฟประหลาด ย่อมคิดว่าถูกกับนางพอดี
หัวหน้ามือปราบที่ทำการศาลตกใจกับความโกลาหลหน้าประตู มองเห็นเสวียนจีฉีกประกาศก็อดอึ้งไม่ได้ กล่าวว่า “แม่นาง นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ ท่าทางคุณหนูอย่างเจ้าจะทำอะไรได้” ที่แท้เขาเห็นเสวียนจีปากแดงฟันขาว เสื้อผ้าเรียบร้อยพิถีพิถัน จึงคิดว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ออกมาเที่ยวเล่นแล้วอยากรู้อยากเห็นคิดหาเรื่องเล่นขึ้นมา “นี่บางทีอาจเป็นการกระทำของปีศาจ แม่นางอย่าได้วู่วามดีกว่า”
เสวียนจีไม่สนใจความเข้าใจผิดของเขา ได้แต่ยกประกาศขึ้นชี้ไปที่บรรทัดหนึ่ง เผยรอยยิ้มบางถามว่า “มัดจำห้าสิบตำลึง ให้ตอนนี้เลยไหม”
บนประกาศเขียนว่ามัดจำห้าสิบตำลึงให้ก่อนเริ่มงาน ดังนั้นนางจึงรีบฉีกออกเพราะกลัวคนอื่นเห็นแล้วแย่งห้าสิบตำลึงไป หัวหน้ามือปราบอึ้งไปก่อนจะพยักหน้าตอบว่าใช่ พลันได้ยินคนหนึ่งด้านหลังตะโกนว่า “เจ้าผีน้อยสองคนชักดาบสุรา! อย่าหนีนะ! หยุดนะ!”
ทุกคนพากันหันกลับไปมอง เห็นคนดูแลร้านสุราไล่ตามออกมา พุ่งมายังสองหนุ่มสาวที่ฉีกประกาศ คว้าคอเสื้ออวี่ซือเฟิ่งไว้ พลางด่าทอดุดันว่า “เจ้าสุนัขจากไหนกัน! ไม่มีคนอบรมเช่นนี้! เงินค่าสุราไม่จ่าย วันนี้ก็อย่าคิดหนี!”
อวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีต่างพากันอึกอัก พลันไร้วาจาจะกล่าว หัวหน้ามือปราบผู้นั้นมองสถานการณ์ตอนนี้ก็เข้าใจทันที พลันยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ประกาศทางการใช่เรื่องเด็กเล่น! แม่นางจ่ายค่าสุราก่อนเถอะ! ทำเรื่องน่าอายเช่นนี้หน้าประตูศาล พวกเจ้าใจกล้าไม่น้อย!”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “แน่นอนข้ามีความสามารถจัดการไฟประหลาดได้ ดูว่าท่านกล้าเชื่อข้าไหม! ผู้บำเพ็ญเซียนออกมานอกสำนัก เงินทองติดขัด ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด กลับไปข้ามีเงินเอามาใช้ก็ได้!”
หัวหน้ามือปราบยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดจะหลอกเงินห้าสิบตำลึงแน่เลย แต่ข้าขอเตือนเจ้าสองคนก่อน หากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ มัดจำก็ต้องคืนให้ทางการไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียว”
เสวียนจีพยักหน้า “แน่นอน! ผู้บำเพ็ญเซียนกล่าวแล้วไม่คืนคำ วันนี้ข้าดึงประกาศท่าน ต้องมีทางจัดการได้ ดังนั้น…” นางยื่นมือออกไปอย่างหน้าด้านๆ “จ่ายเงินมัดจำมาก่อน!”