ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 189 ภาพวาดภาพที่แปดในหอหลิงเยียน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ขั้นบันไดศิลาทั้งเรียบและกว้าง ข้างบนแกะสลักด้วยลวดลายละเอียดประณีต มิได้กอปรเป็นรูปภาพแต่อย่างใด เป็นเพียงที่เอาไว้กันลื่น แม้ว่าบันไดศิลาจะทอดยาวปราศจากจุดสิ้นสุด ทั้งสองฝั่งทางไม่มีรั้วและเชือกเสมือนหุบเหว ทว่าการเดินอยู่บนนี้กลับสบายใจ ราวกับว่าจะไม่เดินผิดทางตลอดกาล หรือนี่เป็นผู้ที่สร้างบันไดศิลาสายนี้ในปีนั้นให้ความคุ้มครองคนรุ่นหลังที่เหยียบย่างตามมา

ทอดสายตามองบันไดศิลาที่เหยียดยาวไร้ที่สิ้นสุด ทว่าอย่างไรก็ต้องมีวันเดินถึง เฉินฉางเซิงเดินอย่างสงบเงียบ ไม่ทราบกาลผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็มาถึงส่วนบนของท้องฟ้าราตรี

ปลายสุดของขั้นบันไดศิลาเป็นพื้นราบ กึ่งกลางเป็นเรือนที่ทำจากคานไม้และหินอิฐ เรือนหลังนี้มีพื้นที่กว้างขวางและใหญ่โตอย่างยิ่ง เพียงแต่มันห่างไกลจากผืนปฐพีและเหล่ามนุษย์ จึงให้ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว

มองไปยังขอบราตรีที่อยู่ไกลแสนไกล ในครรลองสายตามีเพียงแต่เงาของแท่นกานลู่ บรรดาไข่มุกราตรีในตำนานส่องแสงนวลสลัว เหมือนกับไฟดวงหนึ่ง

ทั้งพระราชวัง หรือกระทั่งรวมถึงทั้งจิงตู นอกจากแท่นกานลู่แล้ว ตำแหน่งที่เขายืนอยู่เป็นตำแหน่งสูงสุด สามารถมองเห็นเส้นสายรายทางทั้งหมดของจิงตู หากเวลาที่สภาพอากาศเป็นใจ ยังมองเห็นแม้กระทั่งต้นหลิวป้าที่อยู่ไกลลิบ แต่เฉินฉางเซิงมิได้ชมทัศนียภาพที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้น เพราะว่าตอนนี้ท้องฟ้าสีเข้มจัด ย่อมมองทิวทัศน์ของพื้นดินไม่ชัดเจน อีกทั้งเพราะขณะนี้เขาไม่มีจิตใจเหม่อมองชื่นชมทัศนียภาพ

เขาเก็บสายตาที่มองแท่นกานลู่กลับมา แล้วมองไปยังหอที่โดดเด่นโดดเดี่ยวแห่งนั้น ไม่ขยับเขยื้อนสายตาไปไหนอีก สีหน้าไม่เปลี่ยนผัน ทว่าอารมณ์ในจิตใจกลับสั่นคลอน ปรากฏระลอกคลื่นขึ้นมาเล็กน้อย

จากซีหนิงมายังจิงตู ผ่านฝนฟันฝ่าพายุพันหมื่นลี้

ในที่สุดเขาก็อยู่หน้าหอหลิงเยียน

หอหลิงเยียนไม่มีป้าย ไม่มีโคมไฟห้อยระย้า ไม่มีสิ่งตกแต่งหรูหรา มีเพียงไม้คานและผนังมรกตที่อุดมไปด้วยความเป็นธรรมชาติอันโอฬาร ด้วยไม่มีลำแสงใดๆ ยิ่งสะท้อนถึงความเงียบสงัดมากเป็นพิเศษ

ประตูใหญ่มิได้ลงกลอน ราวกับเพียงยื่นมือออกก็สามารถผลักเข้าไปได้

เฉินฉางเซิงยืนอยู่หน้าประตู นิ่งเงียบพักหนึ่ง ปรับอารมณ์จนกระทั่งลมหายใจสม่ำเสมอ จึงค่อยๆ ยกมือแล้ววางลงไว้ที่บานประตู ใช้แรงเล็กน้อยผลักไปข้างหน้า

ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าด ลื่นไหลราวกับใบไม้ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำ ประตูใหญ่ของหอหลิงเยียนค่อยๆ แง้มเปิด ลำแสงหนึ่งล้นทะลักออกมาตามร่องประตูที่กว้างขึ้น ลำแสงยิ่งมายิ่งมาก ตกทอดบนตัวเขา ส่องสะท้อนความตกตะลึงเล็กน้อยบนใบหน้าของเขาอย่างแจ่มชัด

ลำแสงที่ล้นทะลักพรั่งพรูออกมาจากหอหลิงเยียนเป็นสีขาว ส่องใบหน้าที่มีเค้ารอยความเป็นเด็กเล็กน้อยออกมาดั่งหินหรูอี้ คิ้วทั้งคู่ของเขาพอเทียบกับลำแสงกระจ่างแล้วดูดำขึ้น คล้ายเส้นหมึกอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดภายในประตูถึงสว่างขนาดนี้ มีลำแสงมากมายปานนี้ เพราะเหตุใด ก่อนหน้าที่อยู่ข้างนอกจึงไม่เห็นอะไรเลย หรือว่าหน้าต่างพวกนั้นเป็นของปลอม?

คิดถึงเรื่องเหล่านี้ การกระทำของเฉินฉางเซิงมิได้ช้าลง ประตูเปิดเกือบหนึ่งฉื่อ เขายกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูแล้วเดินเข้าไปในหอหลิงเยียน

ตอนที่เท้าซ้ายของเขาเพิ่งเหยียบลงพื้น ด้านหลังประตูบานนั้นก็ปิดกลับเข้าไปใหม่ เขาหันขวับ มองไปยังประตูที่ปิดมิดชิดอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง คล้ายคาดเดาได้ว่า ตนเองเหมือนกับลำแสงสีขาวพิสุทธิ์ในหอนี้ ล้วนไม่อาจให้ใครที่อยู่ภายนอกเห็นได้ อีกนัยหนึ่ง ตั้งแต่ผลักประตู เริ่มจากที่เขาเดินเข้ามาในหอหลิงเยียน เขาก็ถูกกีดกันออกจากโลกแห่งความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง

ขบคิดชั่วครู่ เขาจึงหันหัวกลับมามองไปเบื้องหน้า เห็นเพียงความสว่างไสว

ในหอหลิงเยียนไม่มีไฟ ไม่มีเทียนไขมันวัว ไม่มีไข่มุกราตรี หากหน้าต่างเหล่านั้นซ่อนค่ายกลบางอย่างที่ สามารถสกัดกั้นแสงสว่าง สายลม และเสียง ฉะนั้นตอนนี้ก็สมควรจะมืดสนิททั่วบริเวณ แล้วก่อนหน้านี้ลำแสงที่ล้นทะลักออกจากประตูนั่นมาจากไหน?

เขาหรี่ตา เดินตามลำแสงขาว เนื่องจากลำแสงจัดจ้าจนแสบตา ทำให้เขามองไม่เห็นว่าในหอมีอะไรบ้าง ยิ่งมองไม่เห็นภาพวาดขุนนางผู้ทรงคุณงามความดีในตำนานเหล่านั้น เขาเหมือนแมลงเม่าตัวหนึ่งที่บินตรงไปยังแสงไฟ ทำได้เพียงแค่ตามความรู้สึกที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือสัญชาตญาณ มุ่งเดินไปข้างหน้า

และแล้ว เขาสืบเท้าขึ้นหน้าได้แค่หนึ่งก้าว ก็ถูกบังคับหยุดลง

เพราะเขารู้สึกถึงลมหายใจที่น่าหวาดหวั่น ลมหายใจนั้นมาจากทุกหนทุกแห่งในหอนี้ มาจากทุกเส้นใยในลำแสง ลมหายใจนั้นมีอ้างว้าง ศักดิ์สิทธิ์ โลหิต โหดเหี้ยม มีกลิ่นอายมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าทั้งหมดทั้งมวลกลับมีคุณสมบัติเหมือนกัน นั่นก็คือความยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ที่ยากเกินกว่าจะสามารถจินตนาการ

ลมหายใจที่ยิ่งใหญ่นั้นรดลงบนเสื้อของเขา ตกลงบนคิ้วของเขา มุดเข้าไปในผิวหนัง ไหลไปตามเส้นเลือด แทรกซึมตรงไปที่ส่วนลึกของอวัยวะภายใน ดำเนินอย่างว่องไวภายในระยะเวลาอันสั้น

เฉินฉางเซิงไม่สามารถสู้กับลมหายใจชนิดนี้ เผชิญหน้ากับลมหายใจนี้เขาเหมือนมดตัวน้อย หมดการตอบสนองโดยสิ้นเชิง กระทั่งความกล้าหาญในการต่อต้านยังไม่มี

ลมหายใจนั้นไหลเวียนภายในและภายนอกร่างกายเขาหลายรอบ แต่ไม่ได้ทำร้ายอะไรเขา เพียงแต่การสัมผัสเช่นนี้ ทำให้สติของเขาเริ่มพร่าเลือนเลวร้ายลงจนเริ่มไม่อาจตั้งมั่น ถ้ายังคงเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปนานขึ้นอีกแม้เพียงเล็กน้อย ความทรงจำของเขาคงถึงกาลล่มสลาย ถูกลมหายใจสายนี้โจมตีจนแตกเป็นผุยผง

ดีที่ลมหายใจนี้ไม่ได้รั้งอยู่นานเกินไป ตอนที่ลมหอบใหญ่เกือบจะสัมผัสพื้นดิน จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสายลมบางเบาออกจากร่างกายของเขาอย่างนุ่มนวล แล้วอันตรธานหายไป

เพียงแต่ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ของเฉินฉางเซิงกลับชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

พอได้สติ เขายกเท้าเดินต่อ ดีที่เมื่อก้าวที่สองลงพื้น ไม่บังเกิดเรื่องแปลกประหลาดอันใดอีก ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเอาตัวเองไปอยู่ในสงครามที่โหดเหี้ยมอำมหิต

ลำแสงยังคงรุนแรง เขาหรี่ตาแล้วเดินไปยังบริเวณที่สว่างโชติช่วงที่สุด ในครรลองสายตาราวกับเห็นลำแสงนั้นปลดปล่อยออกมาจากบุปผาแตกช่อ เข้าใจว่านี่คงเป็นจุดเริ่มต้น

เขายื่นมือไปที่บุปผาซึ่งกำลังแตกช่อประหนึ่งกรุ่นโทสะ ทว่าเมื่อปลายนิ้วสัมผัส กลับไม่ร้อนปานน้ำเดือด แต่กลับเป็นความเยือกเย็น สบายอย่างยิ่ง แล้วนิ้วมือก็ยื่นคล้อยตามไป สุดท้ายใช้ห้านิ้วรวบลำแสงอย่างแน่น

ภายในกำมือ ลำแสงหายวับไปอย่างรวดเร็ว ความสว่างเจิดจ้าภายในเรือนค่อยๆ สลัวราง เขาหรี่ตา พอจะเห็นภาพชัดขึ้น จนสุดท้าย ทุกอย่างกลายเป็นปกติ

เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือเขากำคทาไฟเล่มหนึ่ง

คทาไฟไม่ได้ทำจากทองหรือหยก เหมือนแก้วมากกว่า แต่ไม่ใส ด้านในของชั้นนอกมีสีขาวราวกับน้ำนมกอปรด้วยเม็ดสว่างใสกลมกลิ้งนับไม่ถ้วน เม็ดเหล่านั้นคล้ายมีเก็บสะสมพลังมหาศาล

คทาไฟนี้คือบุปผาไฟก่อนหน้าที่ปลดปล่อยแสงออกมา หลังถูกเขากำไว้ ลำแสงก็ค่อยๆ รวมตัวกลายเป็นหน้าตาอย่างที่เห็น เหลือเพียงแค่ส่วนบนสุดที่ยังมีไฟสีขาว

ไฟสีขาวนั้นไม่สว่างจัดจ้า ทว่ากลับงดงาม เหมือนพลุในกลางวัน ไม่สามารถมองเห็นชัดเจน แต่สามารถให้ความรู้สึกของชัยชนะอย่างเด็ดขาด และมอบความเยือกเย็นให้กับท้องฟ้าที่มืดมัว

เฉินฉางเซิงมองคทาไฟ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนเองอ่านการจดบันทึกบางอย่างในคัมภีร์เต๋า การจัดลำดับร้อยศาสตราของเมื่อนานมาแล้ว เผ่ามารมีศาสตราศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งเรียกว่าบุปผาเพลิงพิสุทธิ์ หรือคทาไฟเล่มนี้ แท้จริงแล้วคือศาสตราศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน? ที่สงครามในปีนั้น ถูกเหล่าพลทหารของจักรพรรดิไท่จงนำกลับมาจิงตู?

พอเกิดความคิดอ่านประการนี้ เขาพลันรู้สึกว่าคทาไฟในมือหนักขึ้น เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยืนอยู่ในหอหลิงเยียนแล้ว ยืนอยู่ท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่มีเกียรติยศสูงสุดของมวลมนุษยชาติ

เขามองรอบข้างสี่ทิศ ภายในหอไม่มีสิ่งของแต่อย่างใด มีเพียงที่นั่งหญ้าถักอยู่ใจกลาง ทำให้พื้นที่ดูกว้างเป็นพิเศษ หรือแม้กระทั่งมีความเงียบสงัดเป็นพิเศษ

หอหลังนี้ไม่คล้ายมีเพื่อให้คนพักอาศัย ความจริงแล้ว หอหลิงเยียนก็ไม่ได้ดำรงเพื่อให้คนอยู่ แต่ดำรงเพื่อประดิษฐานบูชาภาพวาด…ภาพวาดหลายสิบภาพบนผนังเทาทึม

เฉินฉางเซิงถือคทาไฟเดินไปยังข้างผนัง ยืนอยู่หน้าภาพวาดแรก

ภาพวาดคนคนนั้นเป็นชนชั้นสูงวัยหลายคน หนวดเข้ม คิ้วและดวงตาเต็มไปด้วยความเบิกบาน ทว่าเพราะห่างกันเล็กน้อย จึงสื่อถึงความรู้สึกเยือกเย็น นั่นคือจ้าวกั๋วกงผู้มากความสามารถ

มองดูภรรยาและพี่น้องของจักรพรรดิไท่จงที่มีชื่อเสียงขจรไกล เฉินฉางเซิงเงียบสงบไปพักหนึ่ง ทำความเคารพ แต่ไม่ได้ค้างไว้นาน เดินดูต่อไป

ภาพวาดที่สองคือ เหอเจียนอ๋อง เฉินกง ภาพที่สามคือ ไหลกั๋วกง ตู้หรูอวี่ ภาพที่สี่คือ เว่ยกั๋วกง ที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ภาพที่ห้าคือ เจิ้งกั๋วกง ที่ภรรยาเขาโด่งดังกว่า…

ต่อหน้าภาพวาดเหล่านี้ เฉินฉางเซิงทำความเคารพและให้เกียรติ แต่ไม่ได้หยุดก้าวเท้า จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าภาพวาดที่แปด ในที่สุดสีหน้าบนใบหน้าเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง