ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 190 ลำแสงนั้นในประวัติศาสตร์

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ภาพวาดภาพที่แปดในหอหลิงเยียนคือหวังจือเช่อ

คนที่พอจะรู้ประวัติศาสตร์ ย่อมแจ่มแจ้งว่าหวังจือเช่อคือความมหัศจรรย์ที่แท้จริง เขาเกิดในครอบครัวยากจน ไม่มีคุณสมบัติในการบำเพ็ญ ทว่ากลับประสบความสำเร็จในการเข้าศึกษาที่สำนักเทียนเต้า ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิไท่จู่ได้รับตำแหน่งราชเลขาธรรมดามาตลอด จนกระทั่ง จู่ๆ ก็บรรลุภายในคืนเดียวขณะอายุสี่สิบกว่าปี แสงดาวตกทอดลงทั้งเมืองฉางอาน จากชำระกระดูกไปจนถึงทะลวงอเวจี กลายเป็นผู้แข็งแกร่งในรุ่นหนึ่ง

ที่ทำให้คนเลื่อมใสยิ่งกว่าคือ หวังจือเช่อ รอบรู้ทั่วสารทิศ ล้ำเลิศในกลยุทธ์วางหมากด้านการทหาร ติดตามองค์จักรพรรดิไท่จงไปรบทางเหนืออยู่หลายครั้ง ในที่สุดกลายเป็นรองแม่ทัพใหญ่ นำเหล่าทหารโจมตีกองกำลังหลักของเผ่ามารจนแตกพ่าย ทั้งยังขี่สัตว์เทพตัวหนึ่งบุกเข้าไปที่พื้นที่ราบหิมะ รบจนถึงใต้เขาเฮ่อหลานที่ห่างจากเมืองเสวี่ยเหล่าไม่ถึงแปดร้อยลี้!

หากนับเพียงคุณความดีในการพลีชีพเพื่อชาติ หรือว่าแค่คิดจากความสำคัญของสงครามในปีนั้น หวังจือเช่อคือดวงดาวที่ส่องสว่างแสบตามากที่สุดในหมู่ดาว เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเทียบเคียงองค์จักรพรรดิไท่จงได้ จากความสำเร็จที่เลื่องลือของเขา แน่นอนว่ามีสิทธิ์ที่จะเรียงอยู่เป็นภาพวาดที่แปดในหอหลิงเยียน กระทั่งถ้าตามความคิดเห็นของผู้คน เขาสมควรจะได้เรียงลำดับอยู่เหนือกว่านี้ ดีไม่ดี เขาควรจะอยู่หนึ่งในสามเสียด้วยซ้ำไป

เขาเรียงอยู่ในลำดับที่แปดในหอหลิงเยียน เหตุผลเรียบง่ายอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะนิยมและเกริกเกียรติท่ามกลางฝูงชนสูงเกินไป สูงจนกระทั่งสั่นสะเทือนบัลลังก์ผู้ครองแผ่นดิน และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การเปลี่ยนแปลงของสวนร้อยหญ้าในช่วงปลายรัชสมัยขององค์จักรพรรดิไท่จู่ เขาไม่ได้เป็นเหมือนอย่างเช่นจ้าวกั๋วกง เฉินกง ฉินฉง อวี่กงที่พวกเขาเหล่านี้แสดงตัวตนในทันใดว่าจะยืนอยู่ฝั่งองค์จักรพรรดิไท่จู่อย่างแน่วแน่ เพราะว่าเหตุนี้ ไม่ว่าเขาจะทำความชอบในการรบอีกมากเพียงใด ก็คงไม่สามารถที่จะได้รับความเชื่อใจที่ไม่มีวันสั่นคลอนจากองค์จักรพรรดิไท่จู่ได้อีกแล้ว ความจังรักภักดีแต่ไหนแต่ไรถูกเคลือบแคลง หลังจบการสงครามครั้งนั้น เขาจึงขอเกษียณกลับไปที่จวน และไม่ไต่ถามยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอีกเลย

ยืนอยู่หน้าภาพวาด มองมือที่ถือไม้หยก ชายวัยกลางหน้าตาสุขุม เฉินฉางเซิงเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นก็เดินดูภาพวาดต่อๆ ไป

ต่อมา เขาเห็นภาพวาดของฉินฉง และอวี่กง สองท่านนี้ที่เป็นขุนพลเทพผู้ติดตามองค์จักรพรรดิไท่จงในรัชสมัยนั้น ภาพวาดนั้นเหมือนกับภาพวาดในหอหลิงเยียนอย่างไม่ผิดเพี้ยน

ขุนพลเทพทั้งสองเหมือนผู้อาวุโสที่มีความสามารถในหอหลิงเยียน ยังคงเป็นมนุษย์ แต่ขึ้นสู่สถานะเทพไปแล้ว

……

……

เฉินฉางเซิงค่อยๆ ก้าวเท้า สายตาขยับตาม แท่งไม้หยกถูกกำไว้ในมือแน่น แสงวูบวาบพาดผ่านทำให้บนผนังสีเทามีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เหล่าคนในภาพวาดราวกับมีชีวิตชีวามากขึ้น

คนในภาพวาดเหล่านั้นเหมือนหวังจือเช่อ ก็คือเป็นความมหัศจรรย์ในปีนั้น ต่างคนต่างมีความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกัน…บรรยากาศในหอหลิงเยียนเคร่งครัดหนักแน่นยิ่ง แต่คนในภาพวาดกลับไม่เป็นเช่นนั้น ต่างคนต่างแปลกแยก บางคนดูเหมือนสบายๆ อย่างเช่นขุนพลเทพ เฉิงหมิงเจี๋ย ทว่าบางคนเข้มงวดเย็นชาผิดปกติ อย่างเช่นเจิ้งกั๋วกง

ผ่านไปไม่นาน เฉินฉางเซิงก็ชมภาพวาดทั้งยี่สิบสี่ภาพบนผนังตะวันออกจนครบ กลุ่มนี้คือบรรดาขุนนางที่ได้รับรางวัลก่อนใคร ในตอนที่จักรพรรดิไท่จงสร้างหอหลิงเยียน จากนั้นยังมีภาพวาดอีกหลายสิบภาพทยอยเข้ามาในหอหลิงเยียนเรื่อยๆ ขุนนางกลุ่มนั้นคือบุคคลในช่วงที่จักรพรรดิองค์ก่อนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปกครองดินแดน

เฉินฉางเซิงยิ่งมายิ่งเงียบขรึม ตั้งแต่จักรพรรดิไท่จู่ค้านราชสำนักก่อนถึงจักรพรรดิไท่จงลงหลักปักฐานจนมาถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครองราชย์ ในประวัติศาสตร์พันปีที่ผันผ่านไปอย่างช้าๆ เกิดเรื่องราวมากมายขึ้น คนเหล่านี้ในหอหลิงเยียนเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ พวกเขาคือผู้มีอิทธิพลที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง อีกนัยหนึ่ง พวกเขาก็คือประวัติศาสตร์

เดินอยู่ในหอหลิงเยียน ก็เหมือนเป็นการเดินวนอยู่ในแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ ภาพวาดเหล่านั้นดั่งเป็นทั้งความผกผันและความหนักแน่นของประวัติศาสตร์ ความลับนับไม่ถ้วนค่อยๆ สาบสูญไปตามผู้วายชนม์ เงียบสงัดไร้วาจา แต่ความลับเหล่านั้นยังธำรงอยู่ในนั้น รองรับความหลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินนับไม่ถ้วน หากผู้อาวุโสเหล่านั้นสามารถฟื้นชีวิตกลับมาได้ หรือว่าหลงเหลือข่าวสารที่คนรุ่นหลังสามารถอ่านเข้าใจได้ เหล่านักศึกษาที่วิเคราะห์ประวัติศาสตร์คงไม่รู้สึกเสียดายอีก

ดูภาพวาดในหอหลิงเยียนจนครบ ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม เฉินฉางเซิงเดินกลับไปยังหน้าที่นั่งหญ้าถักที่อยู่กลางหอ ยืนอยู่กับที่ เริ่มขบคิดบางเรื่อง

ผ่านไปสักพัก เสียงระฆังดังกังวานขึ้นมาจากพื้นดินในที่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย ดังนั้นจึงรู้สึกเหมือนเงียบสงบเป็นพิเศษ ทว่ากลับทำให้เขาตื่นจากภวังค์ ไม่สามารถสงบใจได้

ตามเสียงระฆังนี้ แท่งไฟที่กำอยู่ในมือมาตลอดจู่ๆ ก็ดับลง ภายในหอหลิงเยียนมืดสนิทอย่างกะทันหัน ช่องว่างของประตูหน้าต่าง ไม่มีลำแสงเข้ามาแม้สักกระเบียด

เฉินฉางเซิงมองไปรอบๆ สี่ทิศมืดสนิท พลันเข้าใจบางอย่าง อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่นั่งสมาธิหนึ่งคืนในหอหลิงเยียน ก่อนอื่นต้องทำคำนี้ให้ได้…

สงบ

ภายในหอหลิงเยียนไม่มีสิ่งใดมารบกวน เสียงระฆังเงียบลง บัดนี้นี้ยิ่งมองดูสิ่งต่างๆ ยากขึ้น นอกจากนั่งบำเพ็ญเพียรบนที่นั่งหญ้าถัก ก็ไม่มีเรื่องอื่นที่น่าทำ

ราชสำนักต้าโจวคาดหวังว่าภาพวาดในหอหลิงเยียนและลมหายใจในตอนแรกจะสามารถผสานกับลมหายใจผู้ที่เข้ามาใหม่ในหอเพื่อนั่งสมาธิ เพื่อประโยชน์แห่งราชสกุลของราชสำนัก นั่นคือ ความคิดจิตวิญญาณที่จะรับใช้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่วแน่

อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ในปีก่อนๆ ถ้าไม่ใช่ศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซานก็จะเป็นคนทางใต้ ซึ่งเดิมมักไม่ค่อยมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับราชสำนักโจวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเข้ามาถึงหอ ย่อมเกิดการต่อต้านด้วยการรวบรวมสมาธิของตนเองตีกลับกระแสลมหายใจในตอนแรกอย่างรุนแรง แน่นอนว่ายากที่จะเป็นไปตามความคาดหวังของคนที่ตั้งกฎนี้ขึ้นมา

เฉินฉางเซิงเป็นประชาชนชาวโจว กลับมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จตามเจตนารมณ์เดิมของผู้ตั้งกฎเกณฑ์การสอบใหญ่ เพียงแต่เขาเข้ามาในหอหลิงเยียน ไม่สามารถสงบจิตใจได้แม้แต่นิดเดียว ความคิดของเขาไม่สามารถไปอยู่ที่ความก้าวหน้าของแคว้น และความเป็นหนึ่งเดียวกันของมวลมนุษยชาติ แต่กลับไปอยู่ที่สิ่งหนึ่งที่เล็กกว่านั้น หรือจะพูดว่าเรื่องส่วนตัวก็ว่าได้

เวลาค่อยๆ ผ่านไป เงียบสงบไร้สุ้มเสียง ยังคงไม่มีลำแสงเกิดขึ้น

เฉินฉางเซิงไม่เหมือนพวกที่ได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งรุ่นก่อนๆ ที่นั่งเงียบๆ อยู่บนที่นั่งหญ้าถักหนึ่งคืน เขาปลดกระบี่สั้นที่สายคาดเอว มือซ้ายกำปลอกกระบี่ ยื่นมาที่กลางอากาศด้านหน้า ความมืดมิดดั่งราตรีในหอหลิงเยียน ยื่นมือไม่เห็นห้านิ้ว กระบี่เล็กยิ่งมองไม่เห็น ทว่าตั้งแต่ออกจากเมืองซีหนิง กระบี่สั้นด้ามนี้น้อยมากที่จะออกห่างตัวเขา ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคย เขายกมือขวาขึ้น จับด้ามกระบี่ได้อย่างแม่นยำ

มือสองข้างค่อยๆ ออกห่างจากกัน กระบี่สั้นกลับไม่ได้ออกห่างจากปลอกกระบี่ เขาดึงออกมานั้นหาใช่กระบี่ แต่เป็นกลุ่มลำแสง เหมือนกับพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าใหม่ๆ บังเกิดแสงส่องสว่างในหอหลิงเยียนทันใด

ไข่มุกราตรีกลมมนลูกหนึ่ง ปรากฏอยู่ในฝ่ามือขวาของเขา

ลำแสงที่นุ่มนวลส่องสว่างผนังสีเทา ทะลุผ่านซอกนิ้วมือส่องพื้นสว่าง ด้านหลังของเขา ตกทอดเงายาวเหยียดตามรัศมีแสงไข่มุกราตรีที่สว่างขึ้น เงาค่อยๆ หายไป

เขาแน่ใจว่าลำแสงมิได้ทะลุทะลวงผ่านช่องว่างของประตูหน้าต่างหอหลิงเยียนออกไป ดังนั้นจึงมิได้อนาทร

เขายกไข่มุกราตรีขึ้น แล้วเดินไปยังภาพวาดเหล่านั้น

เดินอยู่ในหอหลิงเยียนที่เงียบเหงาไร้สรรพสำเนียง แสงราตรีถูกขับไล่โดยลำแสงหนึ่งจากฝ่ามือเขา ค่อยๆ เห็นความเป็นจริง เขามองบุคคลในภาพวาด รู้สึกเหมือนคนภาพวาดเหล่านั้นก็กำลังมองตนเองอยู่เช่นกัน

เขาข่มความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดนี้ จากนั้นเดินไปยังด้านหน้าภาพวาดของหวังจือเช่ออีกครั้ง

เขาถือกระบี่สั้น เอากระบี่ที่แหลมคนแทงเข้าไปยังซอกอิฐมรกต ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปอย่างระมัดระวัง มือทั้งสองข้างที่จับด้ามกระบี่สั่นเล็กน้อย ข้อนิ้วเริ่มขึ้นเป็นสีขาว