บทที่ 326 - ศึกเฉียบพลัน (5)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 326 – ศึกเฉียบพลัน (5)

เมื่อพลังสีเขียวได้เริ่มไหลเข้าไปในผิวหนังของยูนิคอร์น ซอลจีฮูก็ดันหอกเข้าไปพร้อมดึงพลังแห่งแก่นแท้ออกมา

เขาได้ถึงพลังออกมาจนถึงขีดสุดโดยคิดว่านี่มันจบแล้ว

ในที่สุดเมื่อประกายแสงสายฟ้าสีทองปะทุลงบนน้ำศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาล-

ซ่าาาาาห์!

“อ๊ากกกกกกกกก!”

ยูนิคอร์นได้อ้าปากค้าง ภายในร่างของมันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาจนทำให้มันพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง

ยังไงก็ตามมันทำไม่สำเร็จ เส้นด้ายที่ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์เสริมเข้ามาใหม่ได้มัดขามันแน่นอีกครั้งหนึ่ง ผลที่ออกมาก็คือทำให้ยูนิคอร์นถูกมัดขากางแน่นอยู่กับที่ และกระแสสายฟ้าได้พุ่งพล่านเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“อ๊าาากกกกกกก…!”

การดิ้นรนของยูนิคอร์นค่อยๆลดลงไปตามเสียงร้องของมัน จากดวงตาที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มได้กลอกขึ้นจนเหมือนมันใกล้จะหมดสติไปแล้ว

ยังไงก็ตามซอลจีฮูยังไม่ละสายตาไป พรรคพวกเขาได้ใช้พลังทั้งหมดจนเหนื่อยล้าเพื่อสร้างโอกาสให้กับเขา

สายฟ้าสีทองที่พุ่งพล่านรอบตัวเขามันได้แสดงชัดแล้วว่าเขากำลังใช้สายฟ้าต่อต้านปีศาจอย่างเต็มที่ และเขาก็ไม่คิดที่ดึงพลังกลับมาด้วย

และดังนั้นแล้วเขาจึงเค้นมานาทุกๆหยดในร่างออกมาจนมีความเสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายต่อวงจรมานาของเขาเอง ทันใดนั้นซอลจีฮูก็รู้สึกแปลกๆ

‘มันกำลังถูกดึงเข้าไป?’

กระแสสายฟ้าที่แล่นเข้าไปอย่างวุ่นวายได้กลายเป็นระเบียบขึ้น จากนั้นจู่ๆมันก็หยุดนิ่ง และถูกดูดไปในทิศทางหนึ่งอย่างสงบนิ่ง

ซอลจีฮูได้รีบเหลือบตามองขึ้นไปข้างบนด้วยความตกใจ

การโจมตียังไม่ได้จบ ออร่าของน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้พุ่งขึ้นอย่างมหาศาล และเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง มันได้แยกออกเป็นยี่สิบหกสายน้ำกระจายตัวกันออกมา และค่อยๆหมุนกลับด้ายขึ้นไป

รูปร่างสุดท้ายของมันคือดอกไม้ กระแสน้ำทั้งยี่สิบหกสายได้รวมเข้าด้วยกัน และกลายเป็นดอกบัวที่บานขึ้น

ต่อจากนั้นเมื่อดอกบัวดูดกระแสสายฟ้าเข้าไปก็ทำให้มันกลายเป็นดอกบัวสีทองคำ

และดังนั้น

ตูม!

เมื่อกลีบดอกหนึ่งได้เปล่งแสงแสบตาออกมา-

“อ๊ากกกกกก!”

ยูนิคอร์นที่เข้าใกล้กับความตายอีกครั้งได้ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง มันสะบัดหัวไปทั่วเพราะความเจ็บปวดจากกลีบดอกบัวที่ระเบิดขึ้นในร่างมัน

ในเวลาเดียวกันกลีบดอกที่เหลือก็ค่อยๆระเบิดขึ้นทีละกลีบจนเกิดเป็นแรงระเบิดขนาดใหญ่

ซอลจีฮูที่เห็นแบบนี้ได้หรี่ตาลง แสงจากการระเบิดมันได้ทำให้ภาพที่เขาเห็นกลายเป็นสีขาว มันสว่างจ้ามากจนเขากลัวจะเสียการมองเห็นไปเลย

แม้กระทั่งด้ายที่ได้รับการเสริมพลังก็ดูดเหมือนจะกำลังถูกหลอมละลายไปด้วยเช่นกัน

ซอลจีฮูเหลือบสายตาไปเห็นแบคแฮจูกำลังกดมือเข้าด้วยกันด้วยสายตาดุดันอยู่ด้านข้าง เธอในตอนนี้กำลังเม้มปากตั้งสมาธิอย่างหนัก

ซอลจีฮูก็ยังกัดฟันและจับหอกเอาไว้แน่น เมื่อกลีบดอกบัวทั้งยี่่สิบสองกลีบระเบิดหมด เสียงระเบิดเป็นระยะก็ได้หยุดลง

หลังจากนั้นแทบจะทันทีหัวม้าก็ได้ส่ายไปมา

“กรอดดดดดดดด!”

ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งหอบหายใจหนักก่อนจะตาเป็นประกายขึ้น

แบคแฮจูรีบตะโกนออกมา

“ถอย!”

แทบจะทันทีต่อจากนั้นนักรบทั้งหกคนที่วิ่งเข้ามารวมทั้งแบคแฮจูกับซอลจีฮูได้ถอยไปแทบจะพร้อมกัน

ในเวลาเดียวกันนั้นยูนิคอร์นก็ยกขาหน้าขึ้นมากระแทกพื้นอย่างบ้าคลั่ง

ตูม ตูม ตูม ตูม!

แม้ว่าจะถอยมาหลายสิบก้าวแล้ว แต่แรงกระแทกก็ยังส่งมาถึงเท้าพวกเขา ต่อให้ยูนิคอร์นจะโจมตีโดยไม่เล็งเป้าใดๆ แต่พลังทำลายมันก็ยังน่าทึ่ง

“มันยังเหลือพลังอีกเหรอ…?”

“ไม่”

เมื่อโชฮงถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า แบคแฮจูก็ส่ายหัวปฏิเสธ

“ก่อนเทียนจะดับ มันจะเจิดจ้าที่สุด”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงสงบนิ่งแล้ว ทุกๆคนก็หันไปมองความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง หลังจากมันทำการดิ้นรนครั้งสุดท้ายสั้นๆ ยูนิคอร์นก็ได้ตกอยู่ในสภาพน่าอดสูเกินกว่าจะทนดูได้

ร่างกายอันใหญ่โตของมันแตกออก และในตอนนี้มันก็ดูเหมือนลูกโป่งที่แฟบลง เส้นขนสีขาวอันงดงามเต็มไปด้วยรอยไหม้เกรียม รวมไปถึงส่วนต่างๆของร่างกายก็กลายเป้นสีดำไม้ และยังมีเลือดและหนองไหลออกมาทั่วทั้งตัว

“แค่กๆ ๆ ๆ!”

มันถึงขนาดไอแห้งๆออกมาโดยลากขาทั้งสี่ข้างไว้ ชัดเจนมากว่ามันไม่ได้อยู่ในสภาพดีเลยสักนิด การเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ผล

ต่อจากนั้นยูนิคอร์นยูนิคอร์นได้ทรุดตัวลงไปราวกับพิสูจน์ในเรื่องนี้

สีหน้าโชฮงสดใสขึ้น

“มันตายแล้ว?”

“อ๊าาาา! หุบปาก! หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

โฮชิโนะ อุราระพุ่งเข้ามาแทบจะทันทีที่โชฮงถามขึ้น

“อย่ามาปักธงตายบัดซบนี่จะได้ไหม!?”

“อะไรนะ?”

“ก็ถ้าเธอพูดแบบนั้น เจ้านั่นมันจะฟื้นคืนชีพกลับมาพร้อมพูดทำนองว่า ‘ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่เลวเลยสำหรับกลุ่มมนุษย์! ตอนนี้ข้าจะแสดงพลังที่แท้จริงให้ดู!’ นี่เธอไม่เคยดูหนังเลยงั้นเหรอ!?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ทุกๆคนก็เงียบไป พวกเขารู้ว่าเธอพูดเล่น แต่ใจหนึ่งพวกเขาก็เห็นด้วยกับเธอ

“…ไม่มีทางที่มันจะตายไปแล้วหรอก”

แบคแฮจูถอนหายใจออกมาในขณะที่มองดูยูนิคอร์น

“ผู้บัญชาการกองทัพปรสิตทุกคนต่างก็มีพลังของเทพ เราจะดูถูกมันไม่ได้ ต่อให้เราจะโชคดีกดดันมันเกือบตายได้ แต่พวกเขาก็จะใช้สำแดงพลังเทพเป็นทางเลือกสุดท้ายเสมอ”

“จริงด้วย!”

ฮิวโก้ได้ถามย้ำออกมาอีกครั้งด้วยความตกใจ

“ถะ ถ้างั้นเรารีบจัดการมันเลยสิ? ก่อนที่มันจะได้สำแดงพลังอะไรนั่นขึ้นมา…”

“ไม่”

ยังไงก็ตามแบคแฮจูส่ายหัวออกมาอีกครั้ง

“ผู้บัญชาการกองทัพแต่ละคนต่างก็มีระดับความสำเร็จในการดูดซับพลังเทพที่ได้ต่างกัน ยิ่งพวกมันย่อยได้น้อยเท่าไหร่ เมื่อมันปล่อยออกมาพลังก็จะยิ่งรุนแรง พวกเราต้องระวังไม่ให้โดนพายุระเบิดนั่นพัดหายไป มีชาวโลกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายไปเพราะพายุนั่น”

เมื่อได้ยินแบบนี้ยูนิคอร์นที่สำลักอยู่ก็ผงะไป จากใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปมันชัดแล้วว่ามันกำลังวางแผนแบบนั้น

“จะ… จะ… เจ้าขี้ขลาด!”

มันได้พยายามโซเซลุกขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ต้องล้มลงไป ฮิวโก้ตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“ถ้างั้นต้องทำยังไง!?”

“ก็แค่รอ ตอนนี้พยายามพักหายใจให้มากที่สุด”

แบคแฮจูพูดอย่างหนักแน่นราวกับเธอไม่คิดจะอธิบายอีก

เมื่อครู่นี้ซอลจีฮูเพิ่งจะใช้พลังออกไปสุดกำลัง การได้พักเป็นเรื่องดีสำหรับเขา

เขาที่รู้สึกภายในร่างที่ว่างเปล่าต้องรีบสูดลมหายใจ ไม่นานนักก็มีเสียงดังขึ้นในหัว

-อย่างที่เห็นมันเกือบจะจบแล้ว เราต้องบังคับให้ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งปลดปล่อยพลังเทพออกมา และจากนั้นก็หนี

ด้วยคำพูดที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้ทุกคนหันไปมองเธอ ฮิวโก้กำลังจะถาขึ้น แต่โอราฮีก็รีบเตะคางให้เขาเงียบไป

-มีเหตุผลที่ผู้บัญชาการกองทัพปิดผนึกพลังเทพไว้อยู่

-แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็มีขีดจำกัดในการรับพลังที่ต่างกัน ยังไงแล้วการที่เหล่าเผ่าพันธุ์ธรรมดาจะรับพลังของตัวตนอมตะมันก็ยากมากอยู่แล้ว

เป็นอย่างที่แบคแฮจูพูด ผู้บัญชาการกองทัพจะไม่ปลดผนึกพลังออกเว้นแต่ว่าจะจำเป็นมากจริงๆ แม้ว่าผู้บัญชาการแต่ละคนจะต่างกัน แต่พวกมันต่างกมีเวลาเพียงแค่สิบถึงสามสิบนาทีเท่านั้นในตอนที่สำแดงพลังแห่งเทพออกมา เมื่อเวลาหมดลง พวกมันก็จะต้องใช้เวลาพักฟื้นร่างกายหลายเดือนไปจนถึงตลอดทั้งปี

นั่นหมายความว่าการสำแดงพลังแห่งเทพออกมาเป็นทักษะที่มีผลย้อนกลับมหาศาลจนจะได้ในกรณีทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น

-แต่เมื่อพวกมันปลดปล่อยพลังเทพทั้งหมดออกมา พลังของพวกมันจะเพิ่มขึ้นจนเทียบได้กับเทพจริงๆ

-หากว่าไม่มีทีมที่เต็มไปด้วยสมาชิกระดับ 7 หรือแนวป้องกันที่เทียบได้กับป้อมปราการไทกอลแล้ว การเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการในสภาพนั่นไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเลย ดังนั้นเราต้องเลือกถอย

-แต่นั่นก็หมายความว่าเราก็แค่ต้องรอให้เวลาหมดลง นอกจากนี้การปลดปล่อยพลังเทพออกมาในสภาพปกติต่างกับการปลดปล่อยพลังเทพในสภาพบาดเจ็บ ในกรณีอย่างหลังแล้ว พวกมันจะคงสภาพความเป็นเทพไว้ได้ไม่นานนัก

-นอกจากนี้ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็ยังมีคำว่า ‘บ้าคลั่ง’ อยู่ในชื่อ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่มันจะเสียสติไปด้วย

ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา แบคแฮจูกำลังบอกว่าพวกเขาควรจะรอให้ยูนิคอร์นปลดปล่อยพลังแห่งเทพออกมา ก่อนจะกระจายตัวกันหลบหนี จากนั้นค่อยกลับมาปิดฉากในตอนที่เวลาของยูนิคอร์นหมดลง

แม้ว่าศัตรูอาจจะสาปแช่งว่าพวกเขาขี้ขลาด แต่ก็ไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่านี้แล้ว

ด้วยการเทเลพอตไปรอบๆของฟิลิป มูเลอร์ ชัยชนะแทบจะแน่นอน

แน่นอนว่ายูนิคอร์นก็อาจจะโกรธจนเลือกเป้าที่ใครสักคนก็ได้ แต่ซอลจีฮูก็สลัดความกังวลออกไป เขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเลือกอะไรได้มากอยู่แล้ว

ซอลจีฮูได้มองแบคแฮจูที่กำลังสูดหายใจอย่างสงบ เขาอดจะทึ่งไม่ได้ เธอสมกับเป็นชาวโลกที่มีประสบการณ์มากที่สุดจริงๆ กระแสของการต่อสู้ได้เปลี่ยนไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวอย่างที่เธอวางแผนไว้

ยืนยันจุดอ่อนของศัตรูในเวลาอันสั้นที่ปะทะกัน และหาวิธีที่มีประสิทธิภาพ ซอลจีฮูยอมรับในความสามารถของเธอจริงๆ

‘แค่ทำตามที่คุณแบคแฮจูบอก’

“แฮ่ก…. แฮ่ก ๆ….!”

ยูนิคอร์นหอบหนักออกมาพร้อมทั้งจ้องพวกเขา ในจุดนี้มันควรปลดผนึกพลังออกมาได้แล้ว แต่อาจจะเพราะมันรู้แผนของแบคแฮจูทำให้มันเกิดความลังเล

มันทำได้เพียงใช้ขาหน้าอันไร้เรี่ยวแรงสร้างลอยบนพื้นเท่านั้นเอง

“…ถึงการเข้าใกล้มันจะเป็นอันตราย แต่การโจมตีจากระยะไกลไม่น่าจะเกิดปัญหาใช่ไหม?”

มาแชล จิโอเนียเล็งหน้าไม้ออกไป ปัง เมื่อเขายิงลูกธนูหน้าไม้ออกไป สมาชิกที่เหลือก็ร่วมด้วย

ซอลจีฮูที่ฟื้นฟูมานามาได้เล็กน้อยก็ยังสร้างหอกมานาขึ้นมาขว้างออกไปเช่นกัน

เขารู้ดีว่าการโจมตีเพียงแค่นี้มันไม่พอจะล้มฝ่ายตรงข้าม แต่ก็แค่เพื่อบีบให้ฝ่ายตรงข้ามรีบปลดปล่อยผนึกออกมาเท่านั้นเอง

ยูนิคอร์นได้รีบถอยหลังไปราวกับการโจมตีเป็นภัยคุกคามต่อมันที่บาดเจ็บสาหัส ยังไงก็ตามไม่นานนักมันก็ล้มลง และพยายามขดตัวเหมือนกับเด็กน้อยโดนรังแก

ร่างกายของมันได้มีขนาดที่เล็กลงก่อนที่จะมีใครสังเกต เมื่อเทียบกับตอนแรกแล้วสภาพของมันดูน่าสังเวชมาก

“รีบปลดผนึกพลังออกมาได้แล้ว เร็วเข้า!”

“แกก็รู้นี่ว่าต้องทำอะไร! รีบทำมันได้แล้ว!”

พวกเขาได้เริ่มเยาะเย้ยยูนิคอร์นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งปลดปล่อยการโจมตีระยะไกลไปด้วย

“ฮ่าาห์ ฮ่าาห์! นี่้ข้า… นี่ข้า…!”

ยูนิคอร์นได้แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความขมขื่นบนใบหน้า

ผั๊วะ!

“อึก!”

แต่แล้วหลังจากโดนหอกมานาของซอลจีฮู มันก็ไม่อาจจะทนได้อีก จนต้องพูดขึ้น

“บะ บ้าเอ้ยยย! ชะ… ช่วยข้าด้วย!”

ซอลจีฮูตกตะลึงขึ้น

‘เมื่อกี้มันพูดว่ายังไงนะ?’

“ทะ ทำไมเจ้ายังเอาแต่ดูอยู่อีก!? ไม่ใช่ว่าท่านราชินีสั่งให้เจ้ามาที่นี่งั้นเหรอ?”

จากนั้นเอง

“…ช่างน่าละอาย”

น้ำเสียงสงบนิ่งแหลมสูงดังออกมา

ซอลจีฮูที่กำลังจะขว้างหอกมานาออกไปอีกเล่มได้หยุดชะงักไป

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น สมาชิกในทีมแต่ละคนต่างก็ยืนนิ่งตัวแข็งกับที่

มันไม่ใช่แค่เพราะจู่ๆมีเสียงลึกลับปรากฏขึ้นเท่านั้น แต่มันยังมีแรงกดดันอันมหาศาลที่เข้าปกคลุมพื้นที่อีกด้วย

“ข้าก็สงสัยอยู่เลย แต่ดูแล้วราชินีคงจะพูดถูก”

ซอลจีฮูเงยหน้าอย่างสับสน

ร่างตรงหน้ามีเขาสองข้างบนหัว กับหางยาวยื่นออกมากำลังลอยอยู่ และมองลงมาที่พวกเขาบนพื้น

ไม่สิ มันกำลังมองไปที่ยูนิคอร์น ไม่ใช่พวกเขา

‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’

ซอลจีฮูไม่รู้ตัวเลย นั่นหมายความว่าไม่มีใครสังเกตเห็นถึงตัวตนของเธอมาก่อน แม้กระทั่งแบคแฮจูก็ตามที

“ใครกันนะที่บอกข้าว่าจะจัดการพวกเขาทั้งหมดเอง?”

“นะ นั่นมัน…”

เมื่อม่านตาของสัตว์เลื้อยคลายสีเหลืองแนวตั้งจ้องลงมา ยูนิคอร์นก็หลบสายตาหันหน้าหนี

“เหอะ ข้าว่าเจ้าเป็นเจ้าโง่ที่รู้จักแต่อวดเบ่งเท่านั้นซะอีก คราวนี้พอตกอยู่ในอันตราย ก็รีบขายความภาคภูมิใจทิ้งไปเพื่อเอาชีวิตรอดเลยนะ ช่างน่าอับอาย”

เมื่อได้ยินคำเหน็บนี้ ใบหน้ายูนิคอร์นได้บิดเบี้ยวด้วยความอับอายและอัปยศ ชัดเจนมากว่ามันไม่พอใจ

ตัวตนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้แค่นเสียงขึ้น จากนั้นก็ปัดผมสีเงินออกไป

ในทางกลับกันสมาชิกทีมทำภารกิจต่างก็สับสนจนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

ตัวตนตรงหน้านี้เหนือยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆที่พวกเขาเคยพบมาก่อน พวกเขายังสัมผัสได้ถึงออร่าพลังอันไร้ขอบเขตได้อีกด้วย

มันเป็นพลังอันมหาศาลที่เหนือยิ่งกว่าโรเซร่า ลา กราเซีย และความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง

ในที่สุดเมื่อพวกเขาสบตากัน…

“หนี!”

แบคแฮจูที่สงบนิ่งมาตลอดได้ตะโกนขึ้นอย่างน่าประหลาด

จากนั้นเธอก็กระโจนออกไปเหมือนกับเสือ

ซอลจีฮูที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติผงะไป ในเวลาเดียวกันสายลมเยือกเย็นก็พัดผ่านมาที่คอเขา ก่อนที่จะมีคนดึงเขาขึ้นไปจากบนท้องฟ้า

“อึก-!”

เมื่อมองย้อนกลับไปเขาเห็นแบคแฮจูกำลังยกแขนขึ้นอยู่ มือของเธอกำลังทำท่าเตรียมฟันราวกับคิดจะฟาดลงมาที่คอเขา

แต่ปัญหาคือเธอยืนนิ่งโดยไม่อาจจะทำอะไรได้

เธอกำลังตัวสั่นเบาๆอย่างน่าอึดอัดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นจับเธอไว้

“ทำให้เขาสลบ และหนีไปโดยขัดกับความต้องการของเขา… ข้าขอชื่นชมกับไหวพริบของเจ้า”

แต่ก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ทำความเข้าใจอะไรมากกว่านี้ ร่างที่อยู่บนท้องฟ้าก็พูดต่อ

“แต่ในเมื่อข้าได้รับคำสังมาแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาไป ในตอนนี้พวกเจ้าก็มาถึงแล้ว อยู่ต่อสักหน่อยสิ”

ร่างนั้นได้แบมือออกมา

“กรอออดดดดด!”

เสียงฮึดฮัดของแบคแฮจูดังยิ่งขึ้น แขนและร่างกายส่วนที่เหลือของเธอได้เริ่มสั่นอย่างช้าๆ

เมื่อเธอพยายามขยับแขนอย่างหนัก หอกคถาคตที่เปล่งแสงสีเดียวก็ได้หมุนออกมา มันได้ทำให้เธอกลายเป็นอิสระจนถอนหายใจออกมา ยังไงก็ตามสีหน้ามืดมนของเธอยังคงไม่หายใจ

“โฮ่ สมกับที่เป็นคนมีชื่อเสียงกระทั่งในหมู่ผู้บัญชาการ”

ตัวตนบนท้องฟ้าดูประหลาดใจเล็กน้อย มันได้ดึงมือที่เอื้อมออกไปกลับมา และปัดมือ สีหน้าของมันดูเหมือนกำลังสนุกสนานและชื่นชม

“…ไม่มีทาง”

ในตอนนั้นเองฟิลิป มูเลอร์ที่จ้องเขม็งอย่างสับสนก็พูดออกมา ความสงสัยของเขาได้กลายเป็นจริงหลังจากที่เห็นตัวตนนั่นใช้มือข้างเดียวเล่นกับแบคแฮจู

“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้…”

น้ำเสียงของเขาสั่นเทาจนพูดได้ไม่จบประโยค เขาดูเหมือนจะปฏิเสธในความเป็นจริงไปแล้ว

หลังจากเงียบอยู่นาน ฟิลิป มูเลอร์ก็เค้นคำพูดออกมา

“ผู้บัญชาการ… กองทัพที่เจ็ด… ความเมตตา… อันบิดเบี้ยว…”

แม้ว่าเขาจะพูดติดอ่าง แต่ความเงียบกริบก็ได้ช่วยให้คำพูดของเขากระจายไปทั่ว

สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนได้กลายเป็นซีดไป

ถึงแมเว่าจะไม่ค่อยมีข้อมูลของผู้บัญชาการคนนี้ แต่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องราวของเธอมาบ้าง

เธอคนมังกรตนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในพาราไดซ์ เป็นผู้บัญชาการกองทัพเพียงคนเดียวที่ดูดซับพลังเทพได้จนหมด และเป็นผู้บัญชาการเพียงคนเดียวที่ไม่มีกองทัพ

เมื่อได้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว พวกเขาก็รู้เลยว่าข่าวลือไม่ได้เกินจริงสักนิด ในที่สุดพวกเขาก็รับรู้แล้วว่าตัวตนนี้ทรงพลังมากเพียงใด

ซอลจีฮูก็เช่นเดียวกัน

การได้เผชิญหน้ากับความเมตตาอันบิดเบี้ยวตรงๆมันทำให้ความสิ้นหวังเข้าปกคลุมร่างเขา

เขาต้องผ่านความยากลำบากมากมายกว่าจะรู้เรื่องของน้ำพุ และฝ่ามิติช่องว่างจนมาถึงอาณาจักรพูดได้ แถมต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าที่จะปราบความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้

แต่แล้ว… แต่แล้วแสงแห่งความหวังที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ดับวูบลง

“หืมม ดูสิ คนไหนดีนะ…”

และทั้งหมดนั่นก็เพราะการปรากฏตัวของความเมตตาอันบิดเบี้ยว ผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งที่สุด คนที่แม้แต่ผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่ง ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็ไม่อาจจะต่อต้านได้เลย