บทที่ 283 บุปผามรณะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 283 บุปผามรณะ

บนดาดฟ้าเรือบุปผามรณะ

โจวเค่อกำลังมองเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค่ที่ลอยลำอยู่ไม่ไกลด้วยแววตาตื่นเต้น

“คิดไม่ถึงเลยนะว่าคู่ต่อสู้รายแรกของพวกเราจะเป็นหลินเป่ยเฉิน หุหุ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”

เด็กสาวเลียริมฝีปาก

หลินเป่ยเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งไม่เป็นสองรองใคร

แต่สมาชิกร่วมกลุ่มของเขาเป็นรองทุกคนแล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ต้องชนะ

“พี่โจว คราวนี้เราจะใช้กลยุทธ์ใดดี?”

โมซินหวูถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เราจะใช้การรุกเป็นรับ การรับเป็นรุก”

โจวเค่อประกาศแผนการออกไปโดยไม่ลังเล “พวกเราทั้ง 5 คนบุกโจมตีทั้งหมด เจ้ากับจางหยิงมีหน้าที่จัดการมี่หรู่หยาน ส่วนพวกเราที่เหลืออีก 3 คน จัดการปิดล้อมหลินเป่ยเฉินและบดขยี้เขาให้ได้ เอาให้หลินเป่ยเฉินไม่มีโอกาสได้ปีนกลับขึ้นมาบนเรืออีกเลยจะเป็นการดีที่สุด”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นแผนการที่ประเสริฐยิ่ง”

“นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกในศึกชิงธง พวกเรามาประกาศศักดาของกลุ่มบุปผามรณะให้ทุกคนได้รู้กันเถอะ” โจวเค่อพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

สมาชิกกลุ่มทั้ง 4 คนของโจวเค่อต่างก็มีความมั่นใจเปี่ยมล้น แม้จะต้องเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉินพวกเขาก็ไม่หวั่น

จริงอยู่ที่บุตรชายของอดีตขุนนางนักรบแห่งสวรรค์มีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่ง แต่ปัญหาก็คือสมองของเขาโง่เขลามากเกินไป จึงได้เลือกแต่เศษสวะมาเป็นสมาชิกร่วมกลุ่มอย่างนั้น

ลมทะเลโชยพัด

ผิวน้ำไหวเป็นระลอกคลื่น

ทุกคนพร้อมแล้วที่จะต่อสู้

เรือรบทั้งสองลำแล่นเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุด ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็เหลือไม่ถึงสิบวา

แล้วทุกอย่างก็หยุดลงโดยทันที

“บัดนี้แหละ”

โจวเค่อชักกระบี่ออกมาด้วยความกระตือรือร้นและคำรามว่า “พวกเราบุก”

นางใช้มือซ้ายเหวี่ยงเชือกเส้นหนึ่งออกไปสุดแรงเกิด และตะขอที่อยู่บนปลายเชือกก็เกี่ยวเข้ากับกราบเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคอย่างพอเหมาะพอเจาะ

พริบตาต่อมา เด็กสาวก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ใช้สายเชือกแทนสะพาน บุกเข้าไปยังเรือของฝ่ายตรงข้าม

สมาชิกทั้ง 4 คนใช้วิชาตัวเบาตามติดมาไม่ห่างอยู่ด้านหลัง

ทุกคนเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว

ทุกคนมีท่าร่างที่สวยงาม

“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้ามาได้เพียงเท่านี้แหละนะ”

พลัน บังเกิดเสียงหัวเราะลอยมาตามสายลม

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปจึงได้พบว่า หลินเป่ยเฉินขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ มือของเขากำลังน้าวคันธนูเหล็กไหลและยิงลูกศรออกมา 2 ดอกติดๆ กัน

ลูกศรยังพุ่งเข้ามาไม่ถึงตัวเป้าหมาย แต่พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงพลังลมปราณที่แฝงเข้ามาแล้ว

เป้าหมายของลูกศรอยู่ที่จางหยิงกับโมซินหวู

พวกเขาทั้ง 2 คนไม่ทันระวังตัว จึงถูกลูกศรสอยร่วงลงไปจากเส้นเชือก ทันได้ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาเล็กน้อย เลือดสีแดงสดก็ไหลทะลักออกปาก พวกเขาหมุนคว้างหล่นลงไปในทะเลอันกว้างใหญ่เสียงดังตู้ม

“นี่มันอะไรกัน?”

โจวเค่อสามารถกระโดดขึ้นมายืนบนดาดฟ้าเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคได้สำเร็จ แต่นางก็ต้องเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น

หลินเป่ยเฉินสามารถยิงธนูได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

นอกจากเก่งเรื่องกระบี่แล้ว เขายังเก่งเรื่องการยิงธนูด้วยหรือ?

“พี่โจว พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”

หลินหลุนที่กระโดดขึ้นเรือตามกันมาส่งเสียงกระซิบ

โจวเค่อตัดสินใจลงมือไม่พูดมาก ดีดตัวขึ้นไปพุ่งเข้าหาหลินเป่ยเฉินบนเสากระโดงเรือ

จะฆ่างูก็ต้องตัดหัวงูก่อน

“พวกเจ้าตามข้ามา จัดการหลินเป่ยเฉินให้ได้” เด็กสาวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มตะโกนออกคำสั่ง

ตราบใดที่สามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็ไม่น่ากลัวอีกแล้ว เรียกได้ว่าถ้าโจวเค่อสามารถสยบเจ้าแกะดำได้ตั้งแต่แรก ตำแหน่งผู้ชนะประจำปีนี้ ก็ต้องเป็นของนางแน่นอน

เมื่อเห็นว่าโจวเค่อ หลินหลุนกับโจวซางกำลังใช้วิชาตัวเบาลอยตัวขึ้นมาหาตนเอง หลินเป่ยเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ

เขาเปลี่ยนมาสะพายธนูอยู่ที่หัวไหล่และดาวน์โหลดดาบศีลธรรมออกมาใช้งาน จากนั้นจึงกระโดดลงจากเสากระโดงเรือและคำรามว่า “เอาชนะผู้คนด้วยศีลธรรม!”

พลังกดดันพุ่งออกไปราวกับน้ำหนักของภูเขาขนาดใหญ่

เคล้ง!

กระบี่และดาบของพวกเขาปะทะกัน

โจวเค่อมีความมั่นใจเปี่ยมล้น แต่เมื่อรับแรงกระแทกจากดาบใหญ่ในมือของหลินเป่ยเฉิน ความมั่นใจของนางก็ถูกทำลายลงราบคาบ เช่นเดียวกับกระบี่ในมือที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“พรู๊ด!”

โจวเค่อกระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่

แรงปะทะจากคมดาบของหลินเป่ยเฉินทำให้เด็กสาวร่วงหล่นลงจากกลางอากาศ เสมือนดาวหางที่กำลังตกจากฟากฟ้า

หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะนี้โจมตีต่อเนื่อง เขาเปลี่ยนตำแหน่งท่าร่างกลางอากาศ ชั่วลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลินหลุนและฟันดาบออกมาอีกหนึ่งกระบวนท่า

“อ๊าก…”

หลินหลุนร้องโหยหวน กระบี่ในมือหักสะบั้นแตกกระจายไปทุกทิศทุกทาง เช่นเดียวกับตัวคนที่ร่วงหล่นลงไปตามโจวเค่อ

หลินเป่ยเฉินทำสิ่งที่เขาสมควรทำ เมื่อเคลื่อนไหวท่าร่างอีกครั้ง เขาก็ตวัดดาบฟันใส่โจวซางไปอีกหนึ่งกระบวนท่า

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้กินเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

กลุ่มคนดูที่รับชมการถ่ายทอดสดผ่านทางหน้าจอยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ พวกเขาก็เห็นโจวเค่อ หลินหลุน โจวซาง ซึ่งเป็นมือกระบี่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ กระเด็นตกลงมาจากกลางอากาศ กระแทกกับดาดฟ้าเรือของหลินเป่ยเฉินอย่างหนักหน่วง

ทั้ง 3 คนนั้นมีสภาพเลือดท่วมตัว คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

หลินเป่ยเฉินทะยานกลับขึ้นไปยืนประจำการอยู่บนเสากระโดงเรืออีกครั้ง เมื่อสองเท้ายืนหยัดได้อย่างมั่นคง เขาก็ควงดาบในมือพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ

“เจ้าเด็กน้อยพวกนี้ ยังอ่อนหัดอยู่มากมายนัก”

นี่คือคำพูดแทงใจดำ

โจวเค่อขึ้นยืนอีกครั้งและเงยหน้าจ้องมองหลินเป่ยเฉิน

เสื้อคลุมของนางเปียกโชกด้วยเลือดสีแดงสด ใบหน้าขาวใสนวลเนียนมีเลือดเปรอะเปื้อนเป็นด่างดวง ในหัวใจทั้งตกตะลึงและเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อไม่แพ้กัน

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น นางก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ก่อนหน้านี้ โจวเค่อได้สังเกตถึงฝีมือของหลินเป่ยเฉินมาตั้งแต่การแข่งขันรอบแรก และนางก็ยังคงมั่นใจในตนเองว่าต่อให้ไม่มีดีพอที่จะสามารถเอาชนะเขาได้ แต่อย่างน้อย นางสมควรทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นกว่าที่จะเอาชนะตนเองได้สำเร็จ

แต่เมื่อมาต่อสู้กันจริงๆ โจวเค่อถึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่งอย่างตงฟางจันกับมี่หรู่หยาน ถึงได้พ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างรวดเร็วขนาดนั้นในการประลอง

เจ้าแกะดำมีความน่ากลัวมากเกินไป

จังหวะที่กระบี่ของนางรับแรงปะทะจากดาบของเขา โจวเค่อรู้สึกเหมือนกำลังพบเจอกับแรงกระแทกจากภูเขาและท้องทะเลที่ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง

ช่องว่างของระดับพลังระหว่างนางกับเขามีมากเกินไป

หลินเป่ยเฉินมีอายุเท่านางจริงๆ หรือนี่?

ทำไมเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?

โจวเค่อคิดหาเหตุผลมาตอบตนเองไม่ได้

แต่นางรู้ดีว่ากลุ่มบุปผามรณะของนางพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว

พ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ต่อให้พวกนางทั้ง 3 คนร่วมมือกันโจมตีหลินเป่ยเฉินก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขาอยู่ดี

ไม่ใช่สิ ถ้าจะอธิบายให้ถูกต้องก็คือ ต่อให้นางและสมาชิกกลุ่มที่รวมกันได้ 5 คน ร่วมมือกันโจมตีหลินเป่ยเฉิน ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่ลูกธนูและคมดาบของเขาเพียงไม่กี่กระบวนท่า

นี่คือความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายยิ่ง

ในไม่ช้า ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้นด้านหลัง

ปรากฏว่าเป็นพวกของไป๋ชินหยุน เยว่หงเซียง มี่หรู่หยานและฮันปู้ฟู่ อาศัยเส้นเชือกที่อีกฝ่ายเกี่ยวเชื่อมระหว่างเรือทั้งสองลำเอาไว้ เดินทางกลับมาจากเรือบุปผามรณะ พร้อมด้วยธงประจำเรือของโจวเค่อ

เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครเป็นผู้แพ้ผู้ชนะ

“หลินเป่ยเฉิน ข้าประมาทเจ้ามากเกินไป”

โจวเค่อเงยหน้าขึ้น เส้นผมสีดำขลับของนางเปียกชุ่มด้วยหยดเลือด “นับจากวันนี้ไป ข้าจะไม่ลืมความแค้นครั้งนี้ สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้”

“เอาที่สบายใจเถอะนะ” หลินเป่ยเฉินเก็บดาบศีลธรรมกลับเข้าที่และพูดว่า “บัดนี้ มีคนต่อแถวรอล้างแค้นข้าอยู่มากมาย เจ้าก็รอหน่อยแล้วกัน”

โจวเค่อพ่นลมผ่านทางจมูกทิ้งท้ายและนำสมาชิกกลุ่มของตนเองกลับไปที่เรือบุปผามรณะ

ขณะนี้ โมซินหวูกับจางหยิงสามารถปีนกลับขึ้นไปบนเรือได้สำเร็จแล้ว แต่พวกเขาก็ต้องอาเจียนเอาน้ำทะเลออกมาอยู่อีกอึดใจใหญ่ ลูกธนูของหลินเป่ยเฉินมีอานุภาพการโจมตีรุนแรงมากเกินไป พวกเขารู้สึกจุกเสียด ราวกับว่าอวัยวะภายในเคลื่อนย้ายตำแหน่ง และไม่มีใครเหลือขวัญกำลังใจที่จะต่อสู้อีกต่อไปแล้ว…

หลังจากนั้นไม่นาน

เรือบุปผามรณะก็เล่นหายลับไปจากสายตา มี่หรู่หยานกับคนอื่นๆ ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ

“เราชนะแล้ว”

“จริงหรือ?”

“แบบนี้ถือว่าชนะง่ายเกินไปหน่อยนะ”

“ข้ายังไม่มีเวลาได้แสดงฝีมือเลย ก็สามารถชิงธงมาได้สำเร็จแล้ว”

เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้ง 4 คนพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังอยู่ในความฝัน

การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มากทีเดียว

บัดนี้ คนดูร่วมหมื่นชีวิตที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณท่าเรือ ต่างก็ต้องส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงในฝีมือสุดแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉิน