บทที่ 284 หมาป่าไฟ
ผู้เข้าแข่งขันที่ได้เข้ารอบสิบคนสุดท้ายทุกคน ต่างก็ถือเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในด้านพรสวรรค์ คุณสมบัติส่วนตัว หรือความสามารถในการต่อสู้ ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นสองรองใครทั้งสิ้น
โจวเค่อสามารถพิสูจน์ถึงความเก่งกาจของตนเองให้ทุกคนได้ประจักษ์แล้วตลอดการแข่งขันหลายรอบที่ผ่านมา
แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน ทำไมนางถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้?
“นางพ่ายแพ้รวดเร็วเกินไปแล้ว”
“ถูกต้อง… แต่หลินเป่ยเฉินก็เอาชนะคู่ต่อสู้รวดเร็วเช่นนี้อยู่เสมอ”
“ข้ารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา ถ้าสามารถเลือกแทงพนันได้ตอนนี้ ข้าจะต้องลงเงินไปที่เขาแน่นอน”
“โจวเค่อประมาทมากเกินไป กลยุทธ์รับคือรุก รุกคือรับของนาง อาจจะสามารถเอาชนะผู้อื่นได้ก็จริง แต่นี่นางกำลังเจออยู่กับหลินเป่ยเฉินผู้เพียบพร้อมไปด้วยทักษะการต่อสู้หลายแขนง ก็ไม่แปลกหรอกที่นางจะแพ้ให้แก่เขาในไม่กี่กระบวนท่า”
“มิผิด นางเลือกใช้กลยุทธ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลย ผลสุดท้ายกลุ่มบุปผามรณะก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียว สมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มของเขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ หากเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์อื่น หลินเป่ยเฉินคงไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ เช่นนี้แน่”
ท่ามกลางกลุ่มคนดูบริเวณท่าเรือ ได้มีนักวิจารณ์จับกลุ่มรวมตัวกันวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
การต่อสู้ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันโดยรวม
แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สามารถระบุผู้ชนะการแข่งขันได้อยู่ดี
เหล่าคนดูต่างก็ซึมซับความตื่นเต้นในหัวใจ และก็อดไม่ได้ที่จะรอคอยการต่อสู้ครั้งต่อไปด้วยใจจดจ่อ
บนที่นั่งของแขกคนสำคัญ
หลังจากได้รับชมการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค หวังหรู่อี้ก็ถึงกับต้องยอมรับว่าหลินเป่ยเฉินมีทักษะการต่อสู้ดีเกินกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้
ในที่สุด เด็กหนุ่มเสเพลก็แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้วสินะ
ในเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกัน ยากนักที่จะหาใครมีทักษะการต่อสู้เทียบเคียงเขาได้
สถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญไม่เคยมีลูกศิษย์ในรูปแบบนี้มาก่อน
คิดไปคิดมา หวังหรู่อี้ก็ต้องหันมามองหลินเป่ยเฉินในมุมใหม่
และบนที่นั่งที่ห่างกันไม่ไกล อาจารย์ใหญ่รวมถึงอาจารย์ระดับสูงของสำนักกระบี่ต่างๆ ล้วนแล้วแต่กำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเผ็ดร้อน
แม้ว่าการต่อสู้บนดาดฟ้าเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคจะเกิดขึ้นเพียงไม่นาน แต่มันก็ทำให้พวกเขาเห็นมากพอที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้โดยง่าย
“ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องมอบตำแหน่งลูกศิษย์คนพิเศษให้เขาให้ได้”
“ยอดฝีมืออย่างนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด”
“สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีทักษะการต่อสู้รอบด้าน นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง เราต้องจับตาดูเขาให้ดีทีเดียว”
“หลังจบการแข่งขันวันนี้ รีบส่งคนของเราไปติดต่อกับสถานศึกษากระบี่ที่สามทันที ข้าประทับใจในฝีมือของเด็กหนุ่มผู้นี้มาก และอยากจะพูดคุยกับเขาสักหน่อย”
“รับทราบขอรับ อาจารย์หวง”
เสียงพูดคุยทั้งหลายแหล่ลอยมาเข้าหูหวังหรู่อี้
นางพ่นลมออกมาทางจมูกด้วยความเหยียดหยาม
จังหวะนั้น เกิดเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
ปรากฏว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นอีกแล้ว คราวนี้มันเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างโจวฉุยหวูซวงกับเฉาพั่วเถียน และเด็กหนุ่มผมทองผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มยังไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ หลินอี้กับตงฟางจันเพียงสองคน ก็สามารถบดขยี้โจวฉุยหวูซวงและสมาชิกร่วมกลุ่มได้อย่างราบคาบ
“อ่อนแอเกินไป”
เฉาพั่วเถียนมองผืนธงสีทองรูปเปลวไฟที่ได้มาจากเรือฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง
“มีฝีมือเพียงเท่านี้ ดีพอที่จะนำชื่อของตนเองมาตั้งชื่อกลุ่มว่าผู้ชนะสิบทิศแล้วหรือ?” ตงฟางจันหัวเราะในลำคอ กระชากป้ายชื่อลงมาจากเสากระโดงเรือและใช้เท้าเหยียบย่ำก่อนจะเตะไปหาผู้เป็นเจ้าของเรือ ซึ่งกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน “ข้าขอแนะนำให้เจ้าเปลี่ยนชื่อกลุ่มดีกว่านะ เปลี่ยนเป็นโจวฉุยหวูซวง ผู้แพ้สิบทิศก็ดูจะเหมาะสมดี”
มู่อวี่ซุนและเจิ้งโจวระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน
ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างฉายขึ้นบนหน้าจอถ่ายทอดสดที่ท่าเรือ
“แข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว”
“เพียงตงฟางจันกับหลินอี้สองคน พวกเขาก็สมควรเป็นหนึ่งในผู้เข้ารอบสุดท้ายด้วยซ้ำ แต่เจิ้งโจวกับมู่อวี่ซุนนี่สิ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าทั้ง 2 คนแข็งแกร่งขึ้นเมื่อติดตามเฉาพั่วเถียนนะ”
“การต่อสู้คู่ที่สองก็ยังชนะกันขาดลอยเหมือนเดิม”
“ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย”
“เจ้าว่าถ้าเกิดหลินเป่ยเฉินมาสู้กับเฉาพั่วเถียน ใครจะเป็นฝ่ายชนะ?”
“ยังจะต้องถามอีกหรือ ก็ต้องเป็นเฉาพั่วเถียนอยู่แล้ว ที่ผ่านมาหลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะพวกของโจวเค่อได้ด้วยความสามารถของเขา แต่เฉาพั่วเถียนยังไม่ต้องออกแรงเลยสักกระบวนท่าเดียว นี่คือความแตกต่างของสมาชิกกลุ่มของพวกเขาไงล่ะ”
“หลินเป่ยเฉินไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้เลย”
บรรดานักวิจารณ์ต่างก็วิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกัน
มู่ซินเยว่สวมใส่เสื้อคลุมผ้าฝ้าย บนศีรษะมีหมวกปีกกว้างสีขาวปิดบังหน้าตา นางนั่งปะปนอยู่ในกลุ่มคนดู รับฟังบทวิเคราะห์วิจารณ์ที่ดังขึ้นรอบกายพร้อมกับเฝ้าดูการถ่ายทอดสดบนหน้าจอตาไม่กะพริบ
หลินเป่ยเฉินที่สามารถเอาชนะโจวเค่อได้ในไม่กี่กระบวนท่า เคยเป็นถึงสุนัขรับใช้ของนาง ยินดีทำตามทุกอย่างที่นางสั่ง
ก่อนหน้านี้ มู่ซินเยว่เคยเข้าใจว่าเป็นฝ่ายที่สามารถควบคุมทุกอย่างอยู่ในมือ จึงดูถูกดูแคลนเขามากเกินไป สำหรับในสายตาของนาง หลินเป่ยเฉินมีค่าเป็นเพียงกระเป๋าเงินเดินได้ เพราะเขาเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น
นางรู้สึกว่าตนเองวิเศษวิโสเหลือเกิน
มู่ซินเยว่เชื่อว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเสมือนลูกไก่ในกำมือ เช่นเดียวกับบุรุษทุกคนที่นางเคยโปรยเสน่ห์ใส่
แต่บัดนี้ นางกลับต้องเป็นฝ่ายนั่งอยู่ในกลุ่มคนดูธรรมดา รับฟังนักวิจารณ์กำลังวิเคราะห์ถึงการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน มู่ซินเยว่กลายเป็นฝ่ายที่ต้องแหงนหน้ามองขึ้นไปหาหลินเป่ยเฉิน ที่อยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ยักษ์…
มู่ซินเยว่รู้สึกว่าโชคชะตาช่างโหดร้ายเหลือเกิน
คนเราไม่ควรประมาทกับสิ่งที่มีมากเกินไป
เพราะเมื่อรู้ตัวอีกที อาจจะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วก็ได้
ในกลุ่มคนดูจำนวนนับหมื่นชีวิตเหล่านั้น ยังมีอีกหลายผู้คนที่เคยเป็นอริกับหลินเป่ยเฉิน ไม่ว่าจะเป็นกวนเฟยตู้ เจาอู๋หยาง อู๋เสี่ยวฟาง ฯลฯ พวกเขาต่างก็มีหลากหลายความรู้สึกปนเปกันไป
แต่ทุกคนก็ทำได้เพียงพยายามลืมอดีตให้ได้เท่านั้น
ถ้าในอดีตพวกเขาเป็นเพื่อนกับหลินเป่ยเฉิน เช่นเดียวกับเยว่หงเซียงและฮันปู้ฟู่ รวมถึงไป๋ชินหยุน ไม่แน่บัดนี้พวกเขาก็อาจจะได้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มของเจ้าแกะดำก็เป็นได้
…
“ข้าต้องขออภัยทุกคนด้วยจริงๆ”
บนเรือบุปผามรณะ โจวเค่อเดินเข้าไปขอโทษผู้ติดตามทุกคน
“ข้าประมาทมากเกินไป จึงได้เลือกใช้กลยุทธ์ที่ผิดพลาด”
เด็กสาวเปิดเผยถึงความจริงใจ
“พี่โจว เป็นพวกเราเองที่ประมาท”
“ใช่แล้ว พี่ไม่ต้องมาขอโทษพวกเราหรอก เรายังไม่ได้ตกรอบสักหน่อย ถ้าสามารถแย่งธงของเรือลำอื่นมาได้ เราก็ยังมีโอกาสแข่งขันต่อไป”
จางหยิงและคนอื่นๆ พยายามให้กำลังใจ
โจวเค่อพูดว่า “ถูกต้อง บัดนี้พวกเราใช้เวลาพักตั้งสติกันสักครู่ โคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บกันก่อน เราเสียธงประจำเรือไปแล้ว การต่อสู้ครั้งต่อไป จะพ่ายแพ้กันไม่ได้อีกแล้ว พวกเรามาร่วมกันต่อสู้ให้ถึงที่สุดกันเถอะ”
ในไม่ช้า สมาชิกกลุ่มบุปผามรณะก็สามารถปลุกปลอบขวัญกำลังใจกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง รวมถึงอาการบาดเจ็บของหลายคนที่ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัส ก็สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าที่คิด
ว่าด้วยกฎของศึกชิงธงในครั้งนี้ กลุ่มที่สูญเสียธงประจำเรือไปแล้วไม่ใช่ว่าจะต้องถูกคัดออกจากการแข่งขัน เพราะสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือรอการเผชิญหน้ากับเรือลำอื่น เมื่อพวกเขาสามารถแย่งชิงธงจากเรือผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้ 3 ลำซ้อน กลุ่มบุปผามรณะก็จะได้รับอนุญาตให้กลับเข้าสู่การแข่งขันอีกครั้ง
…
บนเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค
“ศิษย์พี่หลิน ท่านลงมือรวดเร็วมากเกินไป ครั้งหน้าเปิดโอกาสให้พวกเราได้แสดงฝีมือบ้างสิ” ไป๋ชินหยุนบ่นกระปอดกระแปดขณะที่ให้อาหารนกนางนวลของตนเอง
ฮันปู้ฟู่พยักหน้าเห็นด้วย “ดูอย่างตอนที่กลุ่มของเฉาพั่วเถียนเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้สิ เขาไม่ต้องแสดงฝีมือด้วยซ้ำ เราก็น่าจะเอาอย่างเขาบ้างนะ”
มี่หรู่หยานกับเยว่หงเซียงก็มีความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว พวกเขาไปชิงธงมาจากเรือของโจวเค่อได้ง่ายดายเหมือนเดินไปซื้อของในตลาด
ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก็ตอบว่า “ตกลง พวกเจ้าลงมือ ข้าจะไม่แสดงอะไรอีกแล้ว”
สิ่งนี้เหมาะสมกับคนขี้เกียจอย่างเขามากที่สุด
การต่อสู้ที่เพิ่งผ่านไป หลินเป่ยเฉินไม่มีโอกาสได้เปิดสัญญาณไวฟาย กว่าจะนึกได้การต่อสู้ก็จบลงแล้ว
“มาเถอะ พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันต่อดีกว่า”
มี่หรู่หยานรับคำเชิญด้วยความยินดี นางยังแค้นไม่หายที่หลินเป่ยเฉินล้มกระดานไปเมื่อตาที่แล้ว
แต่ยังไม่ทันจะตั้งกระดาน เรือรบอีกลำหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนน่านน้ำทางทิศตะวันตก
เสียงหวูดเรือดังแสบหู
“นั่นเรือหมาป่าไฟ….”
มี่หรู่หยานหมุนตัวกลับมาให้ข้อมูลกับทุกคนว่า “หมาป่าไฟเป็นชื่อกลุ่มของซูเสี่ยวหยาน”
หลังจากนั้น เยว่หงเซียงก็ให้ข้อมูลเสริมว่าสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มหมาป่าไฟมีใครบ้าง ซึ่งมันก็ประกอบไปด้วยหลินผิน หวังซีหลง หลิวเยว่หนานและหวังหยานหู่ ทุกคนต่างก็แสดงฝีมือได้โดดเด่นในการแข่งขันรอบที่ผ่านมา
“ครั้งนี้พวกเจ้าจัดการกันเองก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ของเสากระโดงเรือ เขาเปิดสัญญาณไวฟายและเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับเพื่อนๆ ทั้ง 4 คน
“อ๊า…”
ทันใดนั้น เสียงครวญครางด้วยความสยิวก็ดังออกมาจากดาดฟ้าเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค